“ผมขอโทษ ผมขอโทษผมผิดไปแล้วที่ปล่อยข่าวลือเรื่องของคุณ โปรดยกโทษให้ผมเถอะพี่ชาย ผมยอมทุกอย่างแล้วจริง ๆ อย่าทำร้ายผมอีกเลย!”

หว่านเฮิงถูกต่อยหลายหมัดจนใบหน้าบวมปูดไปหมด เขาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะไม่อยากจะโดนต่อยอีกแล้ว ความหยิ่งผยองที่เขาแสดงออกมาเมื่อครู่ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป…

“ฮึ่ม! ถ้างั้นแกออกมากับฉัน!”

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หว่านเฮิงด้วยสายตาดูถูกพร้อมกับเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“หา? ออกไป? ไปไหนเหรอพี่ชาย?”

“แน่นอนว่าออกไปขอโทษฟ่านซีเหยียน!”

อวี้ฮ่าวหรานตะคอกกลับเสียงดัง

จากนั้นอวี้ฮ่าวหรานสั่งให้หว่านเฮิงลงจากรถ และลากแขนอีกฝ่ายตรงไปที่ภัตตาคารจินหัว

“พี่ชาย เจ็บ เจ็บ!”

ในขณะที่โดนลากแขน หว่านเฮิงก็ร้องโอดครวญขึ้นมาเพราะอวี้ฮ่าวหรานกำแขนเขาแรงไม่ใช่น้อย…

เห้นได้ชัดว่าคน ๆ นี้ใจเสาะมากแค่เพียงโดนอัดไม่เท่าไหร่ก็เรียกอวี้ฮ่าวหรานที่เด็กกว่าตนเองมากว่าพี่ชายซะแล้ว

ที่ด้านในภัตตาคาร อวี้ฮ่าวหรานลากหว่านเฮิงเข้าไปในห้องส่วนตัวที่เขาจองเอาไว้ให้กับฟ่านซีเหยียน

หลังจากเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้าไป ฟ่านซีเหยียนหันมามองด้วยสีหน้าตกตะลึงทันทีกับภาพที่เห็น

“อวี้ฮ่าวหรานนี่คุณพาใครเข้ามากันเนี่ย? แล้วทำไมสภาพของเขาเป็นแบบนี้? แต่การที่คุณพาคนอื่นเข้ามาเห็นว่าเราอยู่ด้วยกันเพิ่มแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะรู้ไหม ถ้าข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปอีกฉันคงเดือดร้อนมากกว่าเดิมนะรู้รึเปล่า?”

เมื่อเห็นว่า ฟ่านซีเหยียนจำหว่านเฮิงไม่ได้เพราะใบหน้าที่ปูดบวม อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“คุณไม่ต้องกังวลหรอกนี่คือหว่านเฮิง คนที่ถ่ายภาพของคุณไง ผมพาเขามาที่นี่เพราะต้องการจะให้เขาขอโทษคุณ”

“หา? เป็นเขาเองเหรอ?”

ฟ่านซีเหยียนตกตะลึง เธอดูไม่ออกเลยว่าแท้จริงแล้วคน ๆ คือหว่านเฮิง ตัวปัญหาของเธอ

อย่างไรก็ตามหลังจากหายจากอาการตกตะลึง สีหน้าของฟ่านซีเหยียน ก็เปลี่ยนเป็นเดือดดาลทันที

“นี่นายน่ะ! ทำไมนายต้องเขียนข่าวให้ฉันเสียหายแบบนั้นด้วย? นายรู้หรือเปล่าว่าฉันยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!”

ฟ่านซีเหยียนรู้สึกโมโหจริง ๆ คน ๆ นี้ทำให้เธอไม่กล้าออกมาเดินข้างนอกตั้งวันสองวัน!

“เร็วเข้าลบรูปภาพและเนื้อหาในข่าวทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”

ในทางกลับกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าฟ่านซีเหยียน ท่าทีของหว่านเฮิงกลับกลายเป็นดื้อรั้นเหมือนเดิม

“ไร้ประโยชน์ทุกอย่างถูกโพสต์ลงไปในอินเตอร์เน็ตหมดแล้ว ต่อให้ลบออกไปตอนนี้มันก็ไม่มีผลอะไรเพราะตอนนี้คงมีใครหลายคนที่ก๊อปปี้ข่าวนี้เก็บเอาไว้ไปเป็นที่เรียบร้อย อย่างมากที่สุดที่ฉันจะทำได้คือไม่ตามถ่ายรูปเธออีก!”

“นี่นาย!!”

เมื่อเห้นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธ ฟ่านซีเหยียนทุบโต๊ะด้วยความเดือดดาล

คน ๆ นี้มันน่ารังเกียจจริงๆ

ทางด้านของ อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาหัวเราะอย่างอย่างเย็นชาและจากนั้นเขาจับไปที่ไหล่ของหว่านเฮิงและบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ

“อ๊าก! เจ็บ เจ็บ เจ็บ!!”

หว่านเฮิงร้องเสียงหลงทันที

“หุบปากแล้วคิดหาวิธีการแก้ไขที่ดีกว่านี้ไม่งั้นฉันจะบดกระดูกหัวไหล่ของแกให้ละเอียดจนแกต้องพิการไปตลอดชีวิต!”

อวี้ฮ่าวหรานกระซิบข้างหูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“พ…พี่ชาย ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดอย่าทำฉันอีกเลย! ฉันยอมแล้ว!” เมื่อได้ยินคำกระซิบของอวี้ฮ่าวหราน หว่านเฮิงรีบอ้อนวอนขอความเมตตาทันที

“ถ้างั้นบอกมาให้ฉันฟังทีว่าแกจะแก้ไขแบบไหน?”

“ฉ…ฉัน หลังจากฉันกลับไปที่สำนักข่าวฉันจะถอนข่าวนี้ออกทั้งหมด ล…และฉันจะเขียนบทความขอโทษอย่างเป็นทางการให้กับฟ่านซีเหยียน!”

จากคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง…หว่านเฮิงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ฮึ่ม! แกนี่มันเป็นพวกประเภทไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ!” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพร้อมกับปล่อยมือจากไหล่ของอีกฝ่าย

ฟ่านซีหยียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจเช่นกันกับวิธีการแก้ปัญหานี้

“อืม! แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย!”

วิธีการแก้ปัญหานี้เป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้มากที่สุด

เมื่อไหร่ที่ประเด็นข่าวของเธอถูกถอดถอนและสำนักข่าวออกมาเขียนบทความขอโทษเธอ ข่าวลือเรื่องที่เธอเผชิญจะหมดไปในทันทีและยิ่งไปกว่านั้นสิ่งนี้จะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเธอกลายเป็นน่าสงสารซึ่งเป็นผลบวกกับตัวเธอเอง

“ขอบคุณจริง ๆ ที่ช่วยเหลือฉันอีกครั้ง หากไม่ได้คุณฉันคงจะต้องแย่อีกตามเคย”

หลังจากโล่งอกแล้ว ฟ่านซีเหยียนก็ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณอวี้ฮ่าวหราน

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ารับคำขอบคุณจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“อืมไม่เป็นไร เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

“หืม? คุณจะไปแล้วงั้นเหรอ?”

ฟ่านวีเหยียนถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ

อย่างไรก็ตามอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบกลับ เขาเดินออกไปพร้อมกับลาก หว่านเฮิงออกไปด้วยในทันที

“เฮ้อ…เป็นคนที่เย็นชาอะไรได้ขนาดนี้? เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ?”

ฟ่านซีเหยียนบุ้ยปากในระหว่างที่มองอวี้ฮ่าวหรานเดินลับหายจากประตูไป

ที่ด้านนอกภัตตาคาร

“อ…เอ่อพี่ชาย พี่จะพาฉันไปไหนอีกงั้นเหรอ?”

เมื่อเห็นว่า อวี้ฮ่าวหรานยังคงลากตัวเองไปมา หว่านเฮิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าทั้งหวาดกลัวทั้งสงสัย

“แน่นอนว่าฉันมีงานบางอย่างอยากให้แกทำให้!”

หลังจากตอบกลับ อวี้ฮ่าวหรานลากอีกฝ่ายกลับไปที่รถตู้คันเดิม

เมื่อขึ้นไปบนรถ อวี้ฮ่าวหรานถามต่อทันที “แกได้รับสิทธิ์ให้เขียนบทความอะไรก็ได้ใช่ไหม?”

“เอ่อ…พี่ชายต้องการจะทำอะไรงั้นเหรอ…”

หว่านเฮิงรู้สึกทะแม่ง ๆ ว่า อวี้ฮ่าวหราน จะต้องบังคับให้เขาทำอะไรที่มันอันตรายกับตัวเขาอย่างแน่นอน

ทำไมเขาต้องมาเจอกับปีศาจตัวนี้ด้วยกันเนี่ย?

“แกได้เห็นข่าวที่เกี่ยวกับบริษัทชิวเฮิงเมื่อเร็ว ๆ นี้แล้วใช่ไหม?” อวี้ฮ่าวหรานถามขึ้นด้วยสีหน้าชั่วร้าย

“ผ..ผมเห็นแล้ว ข่าวนั้นส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับบริษัทชิวเฮิง แต่ว่าตอนนี้พวกเขาก็รอดพ้นจากคำครหาทั้งหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? แถมผมไม่ใช่คนที่เขียนข่าวเกี่ยวกับบริษัทชิวเฮิงซะหน่อย…”

“ถึงแม้ว่าตอนนั้นแกจะไม่ใช่แต่ตอนนี้แกต้องเขียนแล้ว!”

“ห๊ะ!?”

“แกจงเขียนข่าวลงไปให้รายละเอียดของมันเป็นประมาณว่าที่บริษัทชิวเฮิงและฉีถงมีปัญหาในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยามันมีสาเหตุมาจากบริษัทไป๋เชาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แกจงเขียนให้มันเหมือนกับว่าแกได้ไปสืบจากวงในมาด้วยความยากลำบากอะไรประมาณนี้ ฉันรู้ว่าแกทำได้ นี่เป็นสิ่งที่แกถนัดอยู่แล้วนี่ใช่ไหม? ไอ้การนั่งเทียนเขียนข่าวแบบนี้น่ะ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หว่านเฮิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก!

“ได้เลย ถ้าเป็นเรื่องนี้ง่ายมากเลยพี่ชาย! ของแบบนี้ฉันถนัดอยู่แล้วฉันรับประกันได้เลยว่าข่าวที่ฉันเขียนมันจะต้องอลังการอย่างแน่นอน!”

นี่เป็นงานถนัดของเขาอยู่แล้ว!

จากนั้น หว่านเฮิงหยิบโน็ตบุ๊คของเขาขึ้นมาและเริ่มพิมพ์ลงไปที่แป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว

แค่ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็ส่งโน็ตบุ๊คให้อวี้ฮ่าวหรานดู

บทความที่เขาเขียนเนื้อหาของมันเจาะจงไปที่เรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทชิวเฮิงที่จู่ ๆ ก็เกิดปัญหาอย่างกระทันหันโดยมีผู้ไม่หวังดีเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง

“ยอดมาก! โพสต์ลงไปได้เลย!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะขี้ขลาดและโลภมาก แต่ความสามารถในการเขียนบทความของเขานับได้ว่ายอดเยี่ยมจริงๆ

บทความที่เขาเขียนออกมามันสมจริงเป็นอย่างมาก

หลังจากโพสต์ลงไปในอินเตอร์เน็ตหัวข้อข่าว : ข่าวด่วน! ฉาววงการเวชภัณฑ์ บริษัทไป๋เชาผู้อยู่เบื้องหลังแผนร้ายบ่อนทำลายสองบริษัทยักษ์ใหญ่ร่วมวงการ!…ก็ร้อนแรงแทบจะในทันที

ด้วยสาเหตุที่แอคเค้าท์ของผู้เขียนบทความนี้โด่งดังอยู่แล้วในโลกออนไลน์ แต่ไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริง บทความนี้จึงได้รับความสนใจอย่างล้มหลาม

ถัดจากนั้นไม่นานบรรดาสื่อต่าง ๆ ก็พากันรายงานเรื่องบทความนี้กันแทบทุกช่อง

“บริษัทไป๋เชาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”

“นี่ไอ้บริษัทไป๋เชามันไม่สนใจชีวิตของผู้ป่วยบ้างเลยรึไง! พวกแกนี่มันแย่ยิ่งกว่าหมาซะอีก”

“ฉันขอไม่ซื้อยาจากบริษัทมันอีกตลอดชีวิต!!!”

“…”

คอมเม้นต์ที่ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่ถูกโพสต์ลงในเว็บบอร์ดมากมาย

แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดแต่จะพึ่งพาแค่บทความอย่างเดียวเท่านั้น เขายังผนึกกำลังกันระหว่างบริษัทของเขาบริษัทชิวเฮิงและบริษัทฉีถงในการกระพือข่าวให้มากกว่าเดิม!