บทที่ 128 ตกใจที่เห็นเย่เฟิง บันดาลโทสะ

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

ในที่สุด กู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนก็มองเห็นคนที่เดินมาอย่างชัดเจน

จากนั้น ร่างของพวกเขากลับสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ม่านตาหดลง ดวงตาที่สว่างคู่หนึ่งเต็มไปด้วยความไม่คาดคิดและตื่นตะลึง แม้แต่ร่างกายก็สั่นเทาตามไปด้วย

เป็นเย่เฟิง

เป็นเย่เฟิงจริงๆด้วย

เพียงแต่เย่เฟิงในตอนนี้ ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เงียบขรึมไม่พูดจา หยิ่งยโสมีสง่า

เขาในตอนนี้ ไม่ว่าจะใช้คำพูดอะไรบนโลกนี้ก็ไม่สามารถเปรียบเปรยถึงความอนาถของเขาได้

มือหนึ่งของเขากุมหน้าท้องที่มีเลือดสดไหลออกมาไว้แน่น มือหนึ่งราวกับถูกหักแขน ได้แต่พิงต้นไม้ใหญ่เอาไว้ หอบหายใจแรง ราวกับมีเพียงการพิงต้นไม้ใหญ่เอาไว้เท่านั้น จึงจะทำให้ร่างกายของเขาไม่ถึงกับล้มลงไป

แล้วมองดูบนร่างเขา

เสื้อของเขาถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นบาดแผลที่โหดเหี้ยมและน่ากลัว

บาดแผลเหล่านั้นน่าตกใจมาก มีหลายที่ที่ถูกกัดจนเนื้อหลุดออกไปเป็นชิ้นๆ

บริเวณหน้าอกกับหน้าท้องถูกเผาจนเผยให้เห็นแม้กระทั่งกระดูก เลือดแดงฉานเต็มไปหมด

ที่บริเวณหน้าท้องของเขา ยังมีมีดเล่มเล็กห้าหกเล่มปักอยู่ มีดนั้นแทบลึกเข้าสู่กระดูก เลือดสดๆไหลตามปลายมีดออกมา

นอกจากนี้แล้ว รอยกากบาทบนร่างของเขา ยังเต็มไปด้วยบาดแผลจากแส้ ไม้ และดาบเป็นต้น ทั่วร่างของเขาพูดได้ว่าไม่สามารถหาจุดที่ดีได้เลย

แต่สิ่งที่ทำให้กู้ชูหน่วนและเซียวหยู่เซวียนโมโหมากที่สุดคือ

นอกจากร่องรอยบาดแผลพวกนี้แล้ว ร่างของเย่เฟิงที่แทบจะไม่มีเสื้อผ้าปกปิด ยังมีบาดแผลที่เกิดจากการร่วมรักอีกหลายแห่ง สีหน้าเขาขาวซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิง สองขาสั่นเทา มุมปากบวมเบ่งขึ้น ดูก็รู้ว่าถูกคนรังแกมา

น่าโมโหนัก

น่าโมโหที่สุด

กู้ชูหน่วนแทบจะใช้แรงกายทั้งหมดที่มี จึงบังคับให้ตัวเองไม่ถึงกับเดินเร็วๆเข้าไปหา

กลิ่นบนร่างกายของพวกเขารุนแรงเกินไป

เย่เฟิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เจ็บปวดมีแววแห่งความตกตะลึงและลนลานผุดขึ้นมาสายหนึ่ง

พระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าไร้เมฆ ภายใต้แสงจันทร์ขาวนวลที่สาดส่องลงมา แม้จะไม่มีทางส่องสว่างไปทุกสิ่ง แต่สามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

เย่เฟิงรีบกุมร่างกายที่เผยออกมาภายนอกอย่างลนลาน ร่างกายขดตัวเป็นก้อนกลม ราวกับไม่กล้าให้ใครเห็นทุกสิ่งของเขา และไม่กล้ามองพวกเขาด้วย

แต่เสื้อผ้าบนร่างเขามีน้อยนัก ไม่ว่าจะบังอย่างไร ก็ไม่สามารถปิดบังร่างกายที่เผยออกมาภายนอกได้

“เย่เฟิง……”ลำคอของเซียวหยู่เซวียนราวกับถูกก้างปลาทิ่มแทง คำพูดมากมายถูกหลอมเป็นคำว่าเย่เฟิงคำเดียว

เขาอยากจะเดินเข้าไปประคองเขา

เย่เฟิงกลับถอยหลังไม่หยุด หวาดกลัวที่จะสัมผัสกับเขา

เขาวิ่งโซซัดโซเซไปทางวัดร้าง แต่เพราะว่าบาดแผลสาหัสเกินไป จึงล้มลง

“ตุบ……”

ไม่รู้ว่าเพราะตี่นเต้นมากเกินไปหรือไม่ เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่างกายโอนเอนไปมา

“เจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก ข้าจะช่วยห้ามเลือดให้เจ้า”

“อย่าเข้ามา ไม่เอา ขอร้องเจ้าล่ะ……”

น้ำเสียงสะอื้นอย่างสิ้นหวังขอร้องขึ้น เสียงที่ออกมาแหบแห้ง ทำให้เซียวหยู่เซวียนกับกู้ชูหน่วนรู้สึกสงสารมาก

เย่เฟิงอยากจะลุกขึ้นมา แต่บาดแผลสาหัสเกินไป ลุกยืนไม่ไหว

ได้แต่ใช้การคลาน ค่อยๆขยับร่างไปยังวัดร้าง

บนร่างเขายังมีมีดเล็กปักอยู่ เพราะการคลานเช่นนี้ ทำให้มีดนั้นยิ่งแทงลึกเข้าไป แต่เหมือนราวกับเขาจะไม่รู้สึกตัว ได้แต่ใช้ความเร็วที่สุดของตัวเองคลานไปยังวัดร้าง

เซียวหยู่เซวียนทนไม่ได้ อยากจะไปประคองเขา กู้ชูหน่วนกลับดึงเขาเอาไว้

สายตาที่เย็นชาแฝงแววสงสาร นางเอ่ยขึ้นช้าๆว่า”เหลือเกียรติให้เขาบ้างเถอะ ”

เซียวหยู่เซวียนเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ในใจยังคงตกตะลึงไม่หาย

ใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ชายคนหนึ่งที่ร่างอาบไปด้วยเลือดคลานไปยังวัดร้างด้วยความยากลำบาก เขาคลานได้ช้ามาก การคลานหนึ่งครั้งราวกับได้ใช้พลังและเลือดของเขาไปจนหมดแล้ว

ตลอดทางที่ผ่าน บนพื้นมีรอยเลือดเป็นสายทิ้งเอาไว้

ผ่านไปเป็นเวลานาน เย่เฟิงจึงคลานไปถึงวัดร้าง

วัดร้างไม่ได้ถูกซ่อมแซมมานานแล้ว หน้าต่างผุพังไปตั้งน่านแล้ว ลมเย็นพัดโกรก

ใต้แสงจันทรา กู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนมองเห็นเย่เฟิงที่พิงร่างกับกำแพงหายใจหอบไม่หยุด ราวกับกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดอันมหาศาล