บทที่ 129 บาดแผลทั่วร่าง สะเทือนจิตใจ

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

คิ้วเรียวของเขาขมวดแน่น มือหนึ่งกุมหน้าท้องเอาไว้

ผ่านไปชั่วครู่ เขาได้เก็บฟืนที่แห้งกรอบขึ้นมาจากบนพื้นท่อนหนึ่ง เอากัดไว้ในมาก อีกมือหนึ่งก็ยื่นเข้าไปที่หน้าท้อง ดึงเอามีดเล็กที่ปักอยู่ในท้องของเขาออกมา

เอามีดเล็กออกมาแล้ว เลือดก็พุ่งกระฉูดออกมา

เขาเจ็บปวด แต่กลับกัดฟันกลืนความเจ็บปวดนั้นเข้าไปในลำคอ ไม่ยอมให้เสียงเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่เอะเดียว

ถ้าหากไม่เป็นเพราะร่างกายเขาที่สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาแค่เอาสิ่งของธรรมดาออกมาเท่านั้น

เอามีดเล็กออกมาได้เล่มหนึ่ง เขาลงมือดึงอีกเล่มหนึ่งออกมาอีก

เลือดยังคงไหลไม่หยุด ย้อมบริเวณพื้นจนกลายเป็นสีแดง และย้อมดวงตาที่ขุ่นมัวของกู้ชูหน่วนให้แดงฉานไปด้วย

เซียวหยู่เซวียนเอ่ยด้วยเสียงสั่นว่า “เขาทำเช่นนี้ จะตายหรือไม่”

กู้ชูหน่วนส่ายหน้า

“ข้าไม่รู้ว่าเขาจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้หรือไม่ แต่ถ้าหากเข้าไปตอนนี้ จะเป็นการทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตายเท่านั้น”

ทุกคนต่างก็มีศักดิ์ศรี

เย่เฟิงก็ไม่ต่างกัน

มีดเล็กห้าเล่ม เย่เฟิงดึงออกมาเองสามเล่ม จากนั้นเหมือนพลังของเขาถูกใช้ไปหมดแล้ว เขาพึงกำแพงเอาไว้หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง

เหงื่อเม็ดใหญ่ๆกับเลือดผสมปนเปกันยังคงไหลลงที่พื้นไม่หยุด เย่เฟิงมองไปทางนอกหน้าต่างนิ่งๆ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความผันผวนและเศร้าโศก

เวลาเดินไปอย่างช้าๆ บริเวณหางตาของเย่เฟิงมีน้ำตาใสไหลรื้นออกมา ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไร เขากอดเข่าของตัวเองเอาไว้ เอาหัวมุดเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดของเข่า ร้องไห้อย่างไร้สุ้มเสียง

นี่เป็นท่าทีที่ไร้หนทางที่สุด และสิ้นหวังที่สุด

ถ้าหากเขาสามารถร้องไห้ออกมาได้คงดี แต่เขากลับสกัดกั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองเอาไว้

มองดูร่างกายของเขาที่สั่นสะท้านและเสียงร้องไห้ที่กล้ำกลืนเอาไว้ หัวใจของกู้ชูหน่วนและเซียวหยู่เซวียนแตกสลายเป็นเกือบครึ่งหนึ่ง

ประสบพบเจอกับเรื่องน่าสังเวชใจอะไรกันแน่ จึงได้ทำให้คนที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เย็นชาหยิ่งยโสรู้สึกสิ้นหวังได้ถึงเพียงนี้

“นายหญิงกู้”

ในราตรีที่มืดมิด เงาร่างคนที่ราวกับวิญญาณผีได้โผล่ออกมา ได้คำนับกู้ชูหน่วนอย่างเคารพ

หลังจากที่กู้ชูหน่วนเดินออกห่างจากวัดร้างพอสมควรแล้ว สองมือไขว้หลัง กวาดตามองฝูกวงที่อยู่ข้างหน้าด้วยสายตาเย็นชา

“นายหญิงกู้ ตรวจสอบจนรู้ชาติกำเนิดของเย่เฟิงแล้ว เขาเติบโตมาในเผ่าปีศาจ เป็นนักดีดพิณของหัวหน้ากองธงกล้วยไม้แห่งเผ่าปีศาจ และเป็นผู้สร้างความบันเทิงคนหนึ่ง”

“นักดีดพิณ ผู้สร้างความบันเทิง ดีดพิณให้คนมีความสุขหรือ”

“ไม่ใช่……”

ใบหน้าอันงดงามของฝูกวงมีแววเขินอายอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนวาบผ่าน

เซียวหยู่เซวียนตบเข่าดังฉาด “เจ้าว่าเป็นผู้สร้างความบันเทิง คงไม่ได้หมายถึงสร้างความบันเทิงในด้านนั้นกระมัง”

ฝูกวงก้มหน้าลง ท่าทียังคงนอบน้อมเช่นเดิม “ใช่ พูดอย่างไม่น่าฟัง ก็คือ…เป็นของเล่นของหัวหน้ากองธงกล้วยไม้”

สีหน้าเย็นชาของกู้ชูหน่วนเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที “เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างชัดเจน”

“ขอรับ เย่เฟิงเป็นเด็กกำพร้า เติบโตในเผ่าปีศาจมาตั้งแต่เด็ก หัวหน้ากองธงกล้วยไม้มีความชื่นชอบพิเศษ ชอบทรมานคน ยังชอบ……ตอนเย่เฟิงอายุห้าขวบ เพราะเขาหน้าตาดี และยังมีนิสัยเชื่อฟังรู้ความ จึงถูกส่งไปให้หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ขืนใจทินให้กับเขา”

เซียวหยู่เซวียนพูดแทรกขึ้นมาทันที “เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เจ้าพูดอะไร ห้าขวบ ตอนเย่เฟิงห้าขวบก็ถูกหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ข่มขืนแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว……”

ตอนที่เขาเพิ่งได้รับข่าว ก็รู้สึกตกใจจริงๆ

การตรวจสอบหลังจากนั้น เขาจึงได้รู้ว่า ที่แท้ไม่ได้มีแค่เย่เฟิงคนเดียว ยังมีเด็กอีกมากมาย

และเด็กๆเหล่านั้นส่วนใหญ่จะถูกกระทำชำเราจนตาย

“หลายปีมานี้ หัวหน้ากองธงกล้วยไม้จะทำการรังแกเย่เฟิงเป็นประจำ ชีวิตเขาในเผ่าปีศาจนั้นลำบากมาก อยู่อย่างอดอยากเป็นประจำ ถูกทารุณกรรม จะบอกว่าอยู่ไม่สู้ตาย ก็ไม่เกินไปเลยสักนิด”

“หัวหน้ากองธงกล้วยไม้อยากจะได้กระดิ่งทลายวิญญาณ แต่กระดิ่งทลายวิญญาณอยู่ในวังหลวงของแคว้นเย่ ในวังมีคนของท่านอ๋องหานเทพสงครามอยู่เต็มไปหมด หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ขโมยกระดิ่งทลายวิญญาณอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ พอได้ยินว่าฮ่องเต้เย่จัดงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น ตั้งใจจะยกกระดิ่งทลายวิญญาณให้เป็นของขวัญ กับคนที่ชนะการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้หัวหน้ากองธงกล้วยไม้จึงส่งตัวเย่เฟิงที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่งเข้าร่วมการแข่งขัน”