บทที่ 200 เย้าแหย่อย่างมีความสุข

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

จางอี๋นอนหลับลึกมาก จนกระทั่งฟ้าสางก็ยังไม่ตื่น

แม้ว่าซ่งชูอีไม่รังเกียจที่จะร่วมเตียงเดียวกับจางอี๋ ทว่าเมื่อมีชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอยู่ตรงนั้น นางกลับไม่พยายามฉวยโอกาส นางยอมละทิ้งความตั้งใจดีของสวรรค์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะเขาไม่ใช่ชายในฝันของผู้แซ่ซ่งเช่นนางจริงๆ

ครั้งนี้ซ่งชูอีถือป้ายราชโองการไปยังหน้ากระโจมของจางอี่โหลวและเดินเข้าไปด้วยความหยิ่งผยองโดยไม่ถามแล้ว

แสงไฟภายในห้องดุจเมล็ดถั่ว เจ้าอี่โหลวคล้ายเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่หน้าโต๊ะ ผมสีดำเปียกชื้นพาดอยู่ด้านหลัง ร่างกายที่เริ่มแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏให้เห็นเลือนรางภายใต้เสื้อตัวกลางสีขาว แม้แต่ใบหน้าด้านข้างก็สะดุดตาราวกับดวงจันทราสุกใสบนท้องนภากว้างใหญ่ ภายใต้แสงอบอุ่นนั้น ดอกท้อบนโต๊ะสะท้อนอยู่บนใบหน้าของเขา ทำให้ลายเส้นที่แข็งทื่ออ่อนโยนลงเล็กน้อย เมื่อความอ่อนโยนที่ไม่ได้ตั้งใจปรากฏสู่สายตาเช่นนี้ทำให้น่าดึงดูดอย่างอธิบายไม่ได้

นึกถึงตอนพบหน้ากันครั้งแรก ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าเขามีท่วงท่าดุจมังกรและสง่างามดังหงส์แล้ว บัดนี้กลับรู้สึกว่าไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมมาบรรยายได้อีก

เงียบงันครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวจึงหันไปมองนาง แสงไฟที่สะท้อนจากด้านหลังทำให้ดวงหน้าคล้ายภาพวาดของเขายิ่งลึกซึ้งกว่าเดิม ยากที่จะคาดเดาอารมณ์เล็กน้อย มีเพียงคิ้วที่ขมวดกันแน่นเด่นชัด “เจ้าถึงยืนอยู่ตรงนั้นทำไม?”

“แค่ก ความหมายของเจ้าคือ…” เมื่อครู่ซ่งชูอีเพียงลวนลามเขาด้วยสายตา บัดนี้เขากล่าวเช่นนี้ทำให้ซ่งชูอีอดรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังเชื้อเชิญให้นางลงมือ

ซ่งชูอีนั่งลงตรงข้ามเขา จับจ้องใบหน้าของเขาพลางเอ่ย “เจ้าไม่โกรธแล้วหรือ?”

“ข้าเคยบอกว่าโกรธเมื่อไรกัน” ไม่ว่าเจ้าอี่โหลวจะประสบกับความลำบากมากเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยอ่อนหัด ทนไม่ได้ที่นางจ้องมองมาตรงๆ ทำได้เพียงก้มหน้าเพื่อปกปิดความกระอักกระอ่วนใจของตัวเอง

“ยังจะปากแข็งอีก” ซ่งชูอีไม่คิดที่จะถามต่อว่าสาเหตุที่เขาโกรธคืออะไร ถ้าหากไปทำให้เขาโกรธอีก ดอกท้อก็เหี่ยวแล้ว ควรจะง้อเยี่ยงไรอีกเล่า! ดังนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อเรียบๆ “เจ้าอ่านหนังสืออะไร?”

“เป็นหนังสือใหม่ ‘เหลียวจื่อ’” เจ้าอี่โหลวคลี่สมุดไผ่ออก

แววตาของซ่งชูอีเย็นเยียบ กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ใครให้หนังสือเจ้า!”

เจ้าอี่โหลวผงะไปครู่หนึ่ง แม้ว่าบัดนี้ซ่งชูอีจะไม่ได้ระเบิดโมโหหรือด่าคนในตอนนี้ ทว่าเขาก็สามารถรู้สึกได้ว่านางโกรธแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบัง “ตอนที่อยู่ในรัฐฉิน พ่อค้าชาวเว่ยนามว่าอิ่นชวนมอบให้ข้า เขาบอกว่าผู้นี้เป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้ แม้จะไม่มีชื่อเสียงเท่า ‘ซุนจื่อ’ หรือ ‘ยุทธวิธีซือหม่า’ ทว่าเป็นตำรายุทธพิชัยที่ดีมาก”

“อิ่นชวน…รัฐเว่ย” ซ่งชูอีไม่รู้จักบุคลลนี้ ทว่านางมักจะคิดเรื่องกลยุทธ์อยู่เสมอ “ช่างเป็นวิธีที่ต่ำช้าจริงๆ!”

เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่านางไม่คล้ายพูดเล่น ก็เคร่งขรึมขึ้นมา “มีปัญหาอะไรเช่นนั้นหรือ?”

“‘เหลียวจื่อ’ มีทั้งหมดสามพันคำ ทว่าเนื้อหากลับมีสีสันยิ่ง ไม่เลวร้ายในฐานะตำรายุทธพิชัย แต่คำกล่าวในนั้นที่ว่า ‘หากใช้ทหารให้ดี สามารถฆ่าได้ถึงครึ่ง เพิ่มอำนาจในใต้หล้า’ ขาดคุณธรรมด้อยศีลธรรม ไม่เหมาะกับการอยู่ในโลกใบนี้” ซ่งชูอีพูดพลางเก็บหนังสือม้วนนั้น “อี่โหลว เดิมทีการต่อสู้ในสนามรบนั้นบ้าคลั่งอยู่แล้ว ทว่าในหนังสือเล่มนี้กลับสอนการฆ่านองเลือดซึ่งผิดกฎของธรรมชาติ หากเจ้าทำการตามหนังสือนี้ สวรรค์จะต้องทนไม่ได้เป็นแน่ เจ้าคิดว่าเว่ยอ๋องจะมีของดีอย่างนี้แต่ไม่ใช้ได้เยี่ยงไร?”

เจ้าอี่โหลวอยู่ในป่าเขาเป็นเวลาหลายปี กระทำการใดๆ ย่อมอุกอาจกว่าคนทั่วไป ทว่าอารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง หลังจากติดตามปรมาจารย์ดาบผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักม่อมานานกว่าหนึ่งปี อย่างไรก็ดีใช่ว่านิสัยดุร้ายจะสามารถเปลี่ยนได้ภายในปีหรือสองปี เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยของเขาได้อย่างสมบูรณ์ หากให้เขาอ่าน “เหลียวจื่อ” อีกจะกระตุ้นความดุร้ายที่ซ่อนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย บวกกับต้องรับใช้แม่ทัพรัฐฉิน ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะเหนือจินตนาการ

วาจาของซ่งชูอีไม่ใคร่น่าฟัง ทว่าเจ้าอี่โหลวรู้สึกได้ว่าที่นางจริงจังเพียงนี้เพราะเป็นห่วงเขา แน่นอนว่าเขาแยกแยะถูกผิดได้ จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นข้าไม่อ่าน”

“อ่านพวก ‘ซุนจื่อ’ ‘ยุทธวิธีซือหม่า’ ‘ลิ่วเทา’ ให้มากหน่อย มันมิได้กล่าวถึงยุทธพิชัยมากนัก ตราบใดที่สามารถใช้กองกำลังวัดระดับสถานการณ์ ปรับตัวได้ดี มีความยืดหยุ่น อ่านตำรายุทธพิชัยเล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว

“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบ

“หากมีเวลาว่างก็อ่านเหล่าจื่อ จวงจื่อ ขงจื่อ เมิ่งจื่อ มันมีประโยชน์ต่อเจ้า…” ซ่งชูอีเห็นว่าเจ้าอี่โหลวสีหน้าขึงขัง ไม่มีความขอไปทีแม้แต่น้อย ในใจก็รู้สึกว่าตนเดาเขาไม่ออกอีกแล้ว ทั้งๆ ที่วันนี้ตนกล่าววาจาแหลมคม น้ำเสียงก็ไม่ใคร่ดีนัก เหตุใดเขาจึงไม่โมโหเล่า?

“ได้” เจ้าอี่โหลวตอบรับ

ซ่งชูอีมองดูเขาที่เชื่อฟังกะทันหัน อดที่จะยิ่งรู้สึกสับสนมิได้ เมื่อคิดแล้วสมองบวมและไร้เหตุผลก็เอ่ยอย่างหงุดหงิด “นอนๆ! อายุน้อยมีพลัง อย่าพลาดช่วงเวลาดีๆ”

“พรืด!” เจ้าอี่โหลวกำลังกลืนน้ำชาลงคอกลับต้องสำลักเพราะคำพูดของนาง พ่นน้ำออกมาเต็มโต๊ะ ใบหน้าแดงก่ำ

ซ่งชูอีรู้สึกสนุก ครุ่นคิดดูแล้วก็ร้องเพลงออกมา “ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นอย่างงดงาม ทุกบ้านต่างยุ่งหว่านเมล็ด อายุน้อยมีพลัง อย่าพลาดช่วงเวลาดีๆ”

เพลงที่ร้องสุ่มขึ้นมาฟังแล้วค่อนข้างส่อไปในทิศทางนั้น ความหมายมีพลังบวก เพียงแต่เมื่อร้องขึ้นมากลางดึกแล้วรู้สึกไม่ถูกต้องเท่าใดนัก! บวกกับความหมายของซ่งชูอีก่อนหน้านี้ เจ้าอี่โหลวกลั้นหายใจและรู้สึกเขินอายชั่วขณะ จับจ้องนางด้วยความโมโหสุดขีด

ครั้นซ่งชูอีเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเขาก็รู้สึกว่ามันงามมาก ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสุข ขณะที่ขึ้นเตียงในห้องอยู่นั้นก็ไม่ลืมที่จะประเมินตนเอง “เรียบง่ายทว่าสามารถซาบซึ้งได้ทุกระดับชั้น!”

เจ้าอี่โหลวนั่งอยู่ข้างนอกนานครึ่งชั่วยาม เมื่อกลับเข้าไปในห้องซ่งชูอีก็หลิบสนิทไปแล้ว นางพันตัวอยู่ในผ้านวมจนมองไม่เห็นหัวเท้า

เจ้าอี่โหลวนวดคลึงขมับ เอื้อมมือดึงนางออกมาจากข้างใน หลังจากจัดเตียงเสร็จแล้วก็โยนเข้าไปอีกรอบ ส่วนตัวเองก็หาตำแหน่งที่สบายแล้วนอนลง

รุ่งสาง

เจ้าอี่โหลวอารมณ์ดียิ่ง ไปฝึกทหารตั้งแต่เช้าแล้ว

สถานที่ฝึกทหารซ่อนตัวอยู่ใต้เชิงเขานอกเมือง การฝึกทหารรักษาการณ์โดยทั่วไปก็มีเพียงไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่ฝึกความอดทนทางร่างกายรวมถึงความรวดเร็วในการดำเนินตามคำสั่งท่านแม่ทัพ ทุกรัฐไม่มีสิ่งใดที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงจากราษฎรในบริเวณใกล้เคียง

เริ่มแรกทุกคนต่างไม่พอใจกับเจ้าอี่โหลวเด็กหนุ่มผู้นี้มาก นอกจากนี้รูปร่างหน้าตาของเขายังดูดียิ่ง บุคลิกสง่างาม ทุกคนจึงคิดว่าเขาเป็นลูกหลานของตระกูลที่มีอำนาจ ทว่าเจ้าอี่โหลวไม่เหมือนตูเว่ยทั่วไปที่นั่งดูเฉยๆ อยู่ข้างบนไม่ทำอะไร เขาลงสนามมาฝึกฝนเช่นเดียวกับทหารทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นดาบ ง้าว หรือหอกก็ล้วนร่ายรำได้อย่างแข็งแรงและยอดเยี่ยม หลายร้อยคนไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ชาวฉินชื่นชอบการต่อสู้และความกล้าหาญเข้ากระดูก สรรเสริญในพลังอำนาจ ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ดูถูกเขาอีก

แม้ว่าเจ้าอี่โหลวจะไม่ค่อยพูดต่อหน้าคนอื่น ทว่าในหนึ่งเดือนนี้ เขาฝึกซ้อมและกินข้าวร่วมกับนายทหารคนอื่นๆ แม้แต่แป้งทอดแห้งๆ จุ่มน้ำก็สามารถรับประทานได้อย่างเพลิดเพลิน อีกทั้งยังเจริญอาหารมากด้วย ปกติไม่ว่าใครคุยด้วยเขาก็ไม่ถือตัว เหล่าทหารจึงต่างชื่นชมเขา

ไม่ว่าเจ้าอี่โหลวจะปรับตัวได้ดีเพียงใด ก็ไม่ดีเท่าไป๋เริ่นที่ปรับตัวได้ราวกับปลาที่อยู่ในน้ำ ในตอนแรกหมาป่าตัวยักษ์ที่หมอบอยู่ข้างสนามทำให้ทุกคนตกใจ ทว่าไม่นานก็พบว่านิสัยของมันอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลาที่มีคนให้อาหารมันก็เชื่องเหลือคณา ทุกคนในกองทัพล้วนประหลาดใจกับเรื่องนี้และบอกว่ามันเป็นสัตว์เทพ ผู้คนรู้สึกว่าการบูชาสัตว์เทพจะได้รับพร จึงต่างแย่งกันเอาอาหารไปให้มันกิน

การที่เจ้าโง่ตัวนี้ควบคุมทุกอย่างทำให้เจ้าอี่โหลวรู้สึกกดดันเป็นเท่าตัว

หลังจากการฝึกซ้อมในหนึ่งวันเสร็จสิ้นก็นั่งกินอาหารในสนามการต่อสู้

ไป๋เริ่นวิ่งตะปัดตุเป๋เข้ามาหาเจ้าอี่โหลวพร้อมคาบไก่ย่างที่ได้มาในวันนี้ วางมันลงในชามของเขาอย่างเสียมิได้

เจ้าอี่โหลวมองดูไก่ย่างเปื้อนน้ำลายอย่างพูดไม่ออก บวกกับสายตาที่ยิงเข้ามารอบด้าน เขาหยิบไก่ขึ้นมาเงียบๆ แล้วยัดเข้าปากของไป๋เริ่น จากนั้นเจ้าหมอนี่ก็ก้าวย่างจากไปด้วยความสง่างามท่ามกลางเสียงร้องเพลงยกย่องสรรเสริญ

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าไป๋เริ่นเหมือนซ่งชูอีเข้าไปทุกที แม้ว่ามันจะดูโง่กว่าหน่อย

เจ้าอี่โหลวกัดแป้งทอดไปชิ้นหนึ่ง รู้สึกว่าวันนี้มันนิ่มไปบ้าง ขณะที่กำลังกินอย่างเต็มที่ ทันใดนั้นเสียงเพลงพื้นบ้านก็ดังขึ้น

“ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นอย่างงดงาม ทุกบ้านต่างยุ่งหว่านเมล็ด อายุน้อยมีพลัง อย่าพลาดช่วงเวลาดีๆ” เสียงเด็กน้อยที่ดังก้องในภูเขาดูสนุกสนาน

“เอื้อก!” ชิ้นแป้งทอดติดอยู่ในลำคอของเจ้าอี่โหลว เขากลืนมันลงไปอย่างแรง สำลักจนเจ็บทรวงอก

“เอ๋ ข้าไม่เคยได้ยินเพลงพื้นบ้านเช่นนี้เลย เพลงใหม่รึ” มีคนเอ่ยด้วยความแปลกใจอยู่ข้างๆ

ในสมัยนี้การเข้าออกอาศัยการเดินเท้า สื่อสารด้วยเสียงคำราม เพลงพื้นบ้านจึงเป็นไปตามท้องถิ่นนั้นๆ คนที่อาศัยอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานเป็นไปได้ว่าไม่เคยได้ยินเพลงใหม่มาหลายปี อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติที่จะชื่นชมบทเพลงยิ่งใหญ่และสง่างาม ดังนั้นเพลงพื้นบ้านจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก

บทเพลงที่ซ่งชูอีถ่ายทอดนี้มีทำนองเรียบง่ายและติดหู ไม่นานหลายคนก็เริ่มร้องตามได้แล้ว

เจ้าอี่โหลวกินอาหารด้วยความรวดเร็ว ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากสนามรบ

เขาพุ่งไปยังหน้ากระโจมของซ่งชูอีแต่แล้วก็หยุดกะทันหัน เรื่องนี้ต่อให้เจอนางก็ทำได้เพียงเอ่ยปากถาม เรื่องที่นางเผยแพร่บทเพลงนี้ที่จริงก็มิได้มีความผิดอะไร ในโลกใบนี้นอกจากนางแล้วก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ “ความหมายแฝง” ในเพลง เขาจะทำอะไรได้?

“อายุน้อยมีพลัง อย่าพลาดช่วงเวลาดีๆ”

ทันใดนั้นเจ้าอี่โหลวก็ได้ยินเสียงอุทานของจางอี๋ดังมาจากในกระโจม “เรียบง่ายทว่าสามารถซาบซึ้งได้ทุกระดับชั้น!”

ซ่งชูอีคนนี้นี่ไม่รู้ว่า…ไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไรจริงๆ! เจ้าอี่โหลวหมุนตัวกลับกระโจมด้วยความโมโห จู่ๆ ก็ไม่สามารถยับยั้งการระเบิดโทสะได้ ทหารรักษาการณ์โดยรอบล้วนเงียบงันเนื่องจากความกลัว

“หวยจินเอ๋ย สันหลังข้าเย็นวาบ ข้าช่วยข้าดูดวงให้ดีหรือไม่ว่าไปรัฐสู่คราวนี้จะเคราะห์ดีหรือร้าย?” ภายในกระโจม จางอี๋ลงหมากตัวหนึ่ง ยกมือลูบๆ หลังคอของตัวเอง

“ยังจะดูดวงอะไรกัน จะต้องเคราะห์ดีแน่นอน ตราบใดที่ดำเนินการอย่างรอบคอบก็จะไม่ผิดพลาด” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย

จางอี๋พยักหน้า “หยุดเดินหมากก่อนเถิด ไว้ข้ากลับมาค่อยเดินต่อ”

ทั้งสองคนเดินหมากมาทั้งวันแล้ว ในตอนนี้จางอี๋เป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่อเห็นว่ายังไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ในขณะนี้จึงตกลงที่จะรอให้จางอี๋กลับมาจากรัฐสู่ก่อนจึงจะเดินหมากต่อ

วันนี้ซ่งชูอีได้เย้าแหย่ใครบางคนอย่างเพลิดเพลินยิ่ง หลังจากส่งจางอี๋อย่างมีความสุขแล้วก็เตรียมยกอาหารไปกินที่กระโจมเจ้าอี่โหลว

“ท่าน จี้ฮ่วนขอพบขอรับ” คนที่อยู่นอกกระโจมกล่าว

ซ่งชูอีวางหมากลง เอ่ยขึ้น “เข้ามาเถิด”

จี้ฮ่วนเข้ากระโจม หยิบกระบอกไม้ไผ่สีเขียวขนาดเล็กสองอันออกจากหน้าอกและส่งให้ซ่งชูอี

นี่คือรายงานลับจากสายลับในปาสู่ นางยื่นมือออกไปรับทันที ใช้มีดงัดเปิดจุก เอาหนังสือผ้าไหมบางๆ ออกมาจากด้านในแล้วกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว

เนื้อหาด้านในทำให้นางสูญเสียความเข้มแข็งในทันใด

ครั้นจี้ฮ่วนเห็นว่าสีหน้าของซ่งชูอีเปลี่ยนไป ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “ท่าน เกิดเรื่องหรือ?”

“จีเหมียน” ซ่งชูอีทอดถอนใจ “กว่าจดหมายฉบับนี้จะมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลาหกถึงเจ็ดวัน บางทีมันอาจจะสายเกินไปแล้ว ได้แต่หวังว่า…ได้แต่หวังว่าอวี่จะทำตามคำก่อนจากลา”

แม้ซ่งชูอีจะไม่ต้องการเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ทว่านางก็นับว่าเมตตาจีเหมียนมากแล้ว ปกป้องเว่ย์เจียงแทนเขา เตือนและให้คำแนะนำเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งด้วยความอ่อนหวานและตรงไปตรมา อย่างไรก็ดีมันไม่มีอะไรที่แน่นอน นางไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวิธีการของตัวเองนั้นถูกต้องหรือวิธีของจีเหมียนผิด ต่างคนต่างมีความทะเยอะทะยาน บังคับกันไม่ได้

ผลลัพธ์นี้ก็เกือบจะอยู่ในความคาดหมายของซ่งชูอี

สิ่งที่นางกังวลคือนิสัยของจี๋อวี่ นิสัยที่ดีที่สุดของเขาคือความจงรักภักดีและความกล้าหาญ แต่จุดที่อ่อนแอที่สุดก็คือความจงรักภักดีและความกล้าหาญเช่นกัน…

ซ่งชูอีถอนหายใจ หวังว่าเรื่องในรัฐเว่ย์จะสามารถทำให้เขาเลิกยึดติดกับมันได้!