บทที่ 201 เจียงจะไปกับท่าน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ส่งสารให้หน่วยสอดแนมช่วยเหลือจี๋อวี่อย่างลับๆ” ซ่งชูอีโยนกระบอกไม้ไผ่และจดหมายลับลงในเตา

“ขอรับ!” หลังจากจี้ฮ่วนรับคำสั่งแล้วก็ถามอย่างลังเล “ท่าน พี่ใหญ่มีอันตรายหรือ?”

“มีอันตรายหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง” ซ่งชูอีกางใบไผ่ออก ท่าทางราวกับว่าไม่ต้องการพูดอะไรมาก

จี้ฮ่วนเห็นดังนี้ก็รับทราบและถอยออกไป

ทันทีที่เห็นข่าวเมื่อครู่ ซ่งชูอีรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ส่งจี๋อวี่ไปยังรัฐปา ทว่าไม่ช้ามันก็จางหายไป จี๋อวี่เป็นผู้ชายที่สามารถอยู่คนเดียวได้และคิดว่าเขาก็ไม่อายที่จะตามหลังผู้หญิง ต่อให้สุดท้ายแล้วเขาต้องตายเพราะคุณธรรมก็ยังเป็นผู้ชายที่น่าชื่นชม

ซ่งชูอีถอนหายใจ ช่างเถิด! เดิมทีก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตอยู่แล้ว ถ้าต้องกังวลใจเช่นนี้ทุกครั้ง เกรงว่าจะต้องสูญเสียพลังงานไปมากทีเดียว!

ซ่งชูอีอ่านเอกสารที่วางอยู่เต็มโต๊ะจนจบโดยไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆ กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ตนคาดหวังจึงจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง

อูเฉิงในรัฐปา

อากาศขมุกขมัว เสาทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ห้าต้นตั้งอยู่บนแท่นดินสูงทางตอนใต้ของนคร ด้านบนมีลายเส้นลึกลับสลักอยู่ มันคือเรื่องราวลึกลับที่มีเพียงจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ มีข่าวลือว่ามันเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและปีศาจโบราณ

ที่เสาทองสัมฤทธิ์ต้นกลาง มีผู้ชายในชุดสีน้ำเงินถูกมัดไว้พร้อมผมที่ปล่อยสยาย เขาถูกตรึงอยู่บนไม้สูง ผู้คนด้านล่างแท่นดินมองเห็นได้เลือนรางว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผมหงอกนั้นยังอ่อนเยาว์และหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง

ผู้คนรอบด้านมืดฟ้ามัวดินทว่ากลับเงียบสงัดเหลือเกิน ได้ยินเพียงเสียงของหญิงงามนางหนึ่งที่ถูกมัดลิ้นส่งเสียงอู้อี้

จู่ๆ จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่สิบสองคนที่สวมหน้ากากเขี้ยวทองสัมฤทธิ์บนแท่นบูชาอ้าปาก ร้องเพลงคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ไปยังแท่นประหาร ฉากนี้ดูขึงขังยิ่งนัก

หลังจากร้องเพลงจบ หนึ่งในจอมเวทย์ก็เอ่ยขึ้นด้วยภาษาเชียงโบราณ “จุดไฟ”

ชายหนุ่มชาวปารูปร่างกำยำหลายคนสาดบางอย่างที่สีมืดดำลงไปบนฟืนและบนตัวของชายผู้นั้น ทันทีที่คบเพลิงสัมผัสกับของเหลวสีดำเหล่านี้ก็ลุกเป็นไฟทันที

“ท่านพี่!” เสียงกรีดร้องแหลมคมด้านล่างเวทีทำลายความเงียบ ไม่รู้ว่าหญิงสาวที่ถูกมัดตัวไว้หลุดพ้นจากพันธนาการตั้งแต่เมื่อใด เดินโซซัดโซเซไปบนแท่นดิน

ฝูงชนโกลาหลเล็กน้อย ทว่าเนื่องจากมีจอมเวทย์ทั้งสิบสองคนอยู่ด้วยจึงไม่กล้าเอ่ยปากวิจารณ์ ชายที่ถูกมัดไว้กับเสาก้มหน้ามองนาง สีหน้าเจ็บปวด ส่ายศีรษะไม่หยุดราวกับรบเร้าต้องการให้หญิงสาวหนีไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้

ไฟบนแท่นดินโหมกระหน่ำ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ หญิงสาวผู้นั้นพุ่งเข้าไปในเปลวไฟโดยไร้อุปสรรคกีดขวาง

“ท่านพี่ เจียงจะไปกับท่าน” หญิงสาวเอื้อมมือคว้าตัวเขาไว้ ความเจ็บปวดจากการที่ผิวหนังถูกเผาไหม้ไม่สามารถหยุดยั้งรอยยิ้มทุกข์ใจและเด็ดเดี่ยวของนางได้

ดวงตาแดงก่ำราวกับเลือดของชายผู้นั้นหลั่งโลหิตออกมาฉับพลัน สะอื้นอยู่ในลำคอ

‘อาเจียง จีเหมียนติดค้างเจ้าในชีวิตนี้’

จี๋อวี่ที่ซ่อนตัวอยู๋ในความมืดกุมด้ามดาบแน่น สองคนที่อยู่บนแท่นดินนั้น คนหนึ่งเคยเป็นแขกที่ปรึกษาแห่งจวนท่านแม่ทัพหลงกู่ อีกคนก็เป็นถึงองค์หญิง เขาเกือบจะพุ่งตัวเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงอันตรายแล้ว ทว่าคำพูดของซ่งชูอีดังขึ้นมาในสมองของเขา “เจ้าต้องจำไว้ แค่ส่งจดหมายนี้ให้กับจีเหมียนเท่านั้นแล้วกลับมาทันที แม้เจ้ากับจีเหมียนจะเป็นสหายเก่า ทว่าทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยานของตัวเอง เขาต้องแบกรับจุดจบในทางที่เขาเลือกเอง”

คำเตือนหลายพันคำ ตอนนั้นฟังแล้วรู้สึกไร้ต้นสายปลายเหตุ ทว่าบัดนี้มันกลับทิ่มแทงหัวใจของจี๋อวี่ราวกับเข็มนับพันเล่ม

ท่าน…ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้แต่ก็ยังส่งเขามาเพื่อทดสอบเขากระมัง?

จี๋อวี่เงียบงัน เมื่อหกวันก่อนเขาได้มอบจดหมายให้กับจีเหมียนไปแล้ว แม้เขาไม่เข้าใจการปฏิรูป ทว่าก็มองออกว่ารัฐปาไม่ใช่สถานที่ที่น่าคบค้าด้วยนัก จึงต้องการจะอยู่ต่ออีกสองสามวันเพื่อดูว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมจีเหมียนได้หรือไม่

จี๋อวี่รู้มาโดยตลอดว่าจีเหมียนเป็นคนดื้อรั้น แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะดื้อรั้นกับการปฏิรูปถึงขั้นนี้

แค่จีเหมียนก็ช่างประไร ทว่าเจียงที่สิบหกเป็นถึงองค์หญิง…

สายฝนในปาสู่ทอดยาวทุกทิศทาง ไม่ช้าทั่วทั้งอาณาเขตก็ถูกปกคลุมไปด้วยสายพิรุณ มันยังแพร่กระจายไปหลายแห่งในรัฐฉินและรัฐฉู่

ซ่งชูอีได้รับข่าวลับเป็นประจำ เรื่องความล้มเหลวในการปฏิรูปของรัฐปาก็ถูกส่งมาที่โต๊ะของนางในทันที บางทีอาจเป็นเพราะซ่งชูอีกำชับให้สายลับใส่ใจข่าวของจีเหมียนอยู่เสมอ ดังนั้นการตายของเขาคราวนี้จึงถูกเขียนโดยละเอียด

“ไอ้จิ้งจอกเฒ่า!” ซ่งชูอีพ่นเสียงเย็นชา มือกดหนังสือไหมบนโต๊ะแน่นจนข้อนิ้วกลายเป๊นสีขาว

เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมก่อนและหลังของปาอ๋องแล้ว ความจริงใจของเขาต่อการการปฏิรูปมีน้อยมาก

อย่างไรก็ตามซ่งชูอีตระหนักดีถึงความตั้งใจของปาอ๋องจากเหตุการณ์นี้ ปาอ๋องต้องการหลุดพ้นจากการปกครองของเหล่าจอมเวทย์ นี่ก็เหมือนกับเหล่าจูโหวในจงหยวนที่ต้องการปราบปรามเหล่าตระกูลเก่าแก่ผู้มีอำนาจ ไม่มีองค์จวินองค์ไหนที่เต็มใจถูกผู้อื่นควบคุม

แม้ว่าวัฒนธรรมแม่มดในปาสู่จะเป็นที่นิยม ทว่ารัฐสู่และรัฐจูกลับไม่มีอุปราชจอมเวทย์! ดังนั้นปาอ๋องจึงทนไม่ไหว

และซ่งชูอีก็คว้าโอกาสนี้ไว้อย่างไม่ลังเล

นางสั่งคนให้ปล่อยข่าวลือไปถึงพระราชวังปาอ๋องโดยใช้การตายของจีเหมียนและฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องในปาสู่เมื่อเร็วๆ นี้ให้เป็นประโยชน์ กล่าวว่าปัจจุบันรัฐปามีการติดเชื้อจากต่างรัฐบ่อยครั้ง มีผู้ชายน้อยลงทุกที สวรรค์ทรงสงสาร จึงส่งอวี๋ซุ่น[1]ไปจุติและกอบกู้อาณาจักรปา ทว่าโศกนาฏกรรมในเปลวเพลิงนั้นทำให้แม้แต่สรวงสวรรค์ต้องแอบหลั่งน้ำตา

โดยกล่าวถึงการสังเวยนี้ว่า: จักรพรรดิเอ๋ยลงมาที่ปาสู่ มองเข้าไปในหัวใจที่เศร้าหมอง สายลมพัดผ่านทุกอย่างพริ้วไหว หลับไหลอยู่ในความฝันไม่ตื่น…

…มองริมน้ำเฉินหยางช่างห่างไกล แม่น้ำกว้างใหญ่วิญญาณโบยบิน วิญญาณที่โบยบินไม่หยุดพัก สตรีผู้มีเมตตาทอดถอนใจยาว น้ำตาเอ๋ยไหลพราก ครั้นคิดถึงเจ้าช่างปวดใจ

บทกวีสังเวยนี้บอกเล่าเรื่องราวหนึ่ง หลักๆ คือการบรรยายถึงเทพเจ้าสององค์ที่อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เป็นความรู้สึกที่แม้แต่ความตายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ท่อนแรกพร่ำร้องถึงความรักน่าสมเพศด้วยเสียงของเทพบุตร ท่อนหลังพร่ำร้องถึงฉากรักอันสิ้นหวังด้วยเสียงของเทพธิดา สุดท้ายก็ใช้คร่ำครวญถึงจิตวิญญาณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สายลับฝ่าฝนทั้งวันและคืนเพื่อนำสิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้าไปในมือของชาวปาทั่วทุกหนแห่งอย่างเร่งด่วนตามคำสั่งของซ่งชูอี เพียงแต่บัดนี้ยังไม่แพร่กระจายไปยังภายนอก รอจนกระทั่งมั่นใจว่าปาอ๋องได้ทอดพระเนตรสิ่งนี้และมีความเคลื่อนไหวแล้ว จากนั้นก็รอโอกาสที่จะกระจายข่าวลืออย่างเงียบๆ ในหมู่ผู้คนเพื่อเป็นกำลังช่วยเหลือ

อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิมาจากเทพเจ้า ปาอ๋องผู้อ้างตนเป็นเทพเจ้าแต่ถูกครอบงำโดยจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เคยคิดที่จะเอาชนะหล่าจอมเวทย์มานานแล้ว เพียงแต่สถานะของพวกเขาในรัฐปาสูงส่งยิ่ง หากไม่มีเหตุผลเพียงพอก็ยากที่จะลงมือ ซ่งชูอีทำเช่นนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเขาเท่านั้น และเพื่อล่อลวงให้ปาอ๋องตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้

ครั้นปาอ๋องเห็นบทกวีสังเวยนี้จะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน ทว่าฟ้าฝนช่างเป็นใจอย่างหาได้ยากยิ่ง เว่ย์เจียงก็ยอมสละตัวเองเพื่อความรักที่มีต่อจีเหมียน บวกกับบทกวีสังเวยอันน่าตกใจนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเวลาอันเหมาะสม อีกทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมก็เอื้ออำนวยเสียเหลือเกิน แสดงให้เห็นว่าโอกาสนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้อีกแล้ว ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าปาอ๋องจะยอมทิ้งโอกาสนี้!

หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว ก็ขอให้จางจี๋ออกเดินทางอย่างช้าๆ ยืดเวลาออกไปสักสามถึงห้าวันค่อยไปถึงรัฐสู่ ให้เวลารัฐปาได้บ่มเพาะความโกลาหล ถึงอย่างไรเสียฝนที่ตกหนักก็ทำให้เดินทางลำบาก ถึงช้าสักสองสามวัน ทางรัฐสู่ก็ไม่สงสัยมาก

ซ่งชูอีหมกมุ่นอยู่กับงานไม่กินไม่นอน ครั้นรู้สึกง่วงนอนก็ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยไม่รู้ตัวแล้ว!

เดิมทีเจ้าอี่โหลวกำลังคิดว่าจะปฏิบัติต่อซ่งชูอีอย่างไรดีเนื่องจากถูกนางลวนลามโดยไม่สามารถโจมตีได้ ทว่าเมื่อเห็นนางทำงานหนักทั้งวันทั้งคืนก็อดกังวลไม่ได้

โตมาจนป่านนี้ เจ้าอี่โหลวมีการติดต่อกับสัตว์ร้ายในป่าเขามากกว่า เขาไม่ได้คุยกับใครนานแล้วจนกระทั่งได้พบกับซ่งชูอี ดังนั้นพฤติกรรมทุกอย่างของเขาจึงต่างจากคนปกติเล็กน้อย

บางคราวเขาก็ไม่ได้โมโหมากขนาดนั้น เพียงแต่จะไม่ซ่อนความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองเหมือนกับคนธรรมดา ก็เหมือนกับไป๋เริ่น เมื่อมีเนื้อกินก็สามารถกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เมื่อไม่ให้เนื้อมันกินก็มีท่าทีเฉื่อยชาเหมือนจะเป็นจะตาย คนปกติสามารถซ่อนเร้นความรู้สึกได้ ทว่าเขากลับไม่ปิดบัง เพียงแต่คนที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ทำให้ดูเหมือนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากออกมาจากป่านานแล้ว เจ้าอี่โหลวก็เริ่มที่จะค่อยๆ สำรวจตัวเอง เมื่อจดจำการศึกษาที่เขาได้รับตอนเป็นเด็กได้ทีละน้อยๆ เขาก็ตระหนักดีว่าเขาไม่ควรทำตามใจตัวเองแบบนี้

ภายในกระโจม ซ่งชูอีกินข้าวที่เย็นชืดแล้วสองสามคำ หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วกำลังปีนขึ้นเตียงนั้นก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกรายงาน “ท่าน ตูเว่ยมาแล้วขอรับ”

“เข้ามาเถอะ” ซ่งชูอีเข้าไปในผ้าห่ม

เจ้าอี่โหลวเห็นว่าห้องด้านนอกไม่มีคน ก็เดินอ้อมไปยังห้องด้านใน รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าซ่งชูอีดูเหมือนจะหลับอยู่

“วันนี้ไม่ไปฝึกทหารรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถามกะทันหัน

“ฝนตกแล้ว” เจ้าอี่โหลตอบ

ซ่งชูอีลืมตาขึ้นเล็กน้อย เห็นว่ามีคราบน้ำบนชุดเกราะสีดำของเขา ตอบรับว่าอืมเสียงหนึ่ง “ท่ามแม่ทัพซย่ามิได้มอบหมายงานใดให้เจ้ารึ?”

เจ้าอี่โหลวเอ่ยว่า “ให้ข้าไปจัดการเสบียงทัพ เพราะว่าฝนตก ดังนั้นเมื่อข้าตื่นมากลางดึกเพื่อลาดตระเวนก็จัดการไปแล้ว”

เสบียงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทัพ การที่ซย่าเฉวียนให้เจ้าอี่โหลวไปดูแล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจะฝึกเด็กใหม่หรือเพราะเชื่อใจเจ้าอี่โหลวจริงๆ

“ท่าน จี้ฮ่วนขอพบครับ!” เสียงของจี้ฮ่วนดังแทรกสายฝนอยู่ด้านนอกราวกับฟ้าร้อง

ดวงตาของซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมาก “เข้ามา”

จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของจี้ฮ่วน ซ่งชูอีลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว รีบเดินออกไปยังห้องด้านนอก เมื่อเห็นจี้ฮ่วนเนื้อตัวสะบักสะบอม บริเวณหน้าอกและแขนของเสื้อเกราะยังคงเปื้อนเลือด อดที่จะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำมิได้ “อวี่กลับมาแล้ว?”

“ขอรับ” จี้ฮ่วนน้ำเสียงอู้อี้ “ท่าน พี่ใหญ่บาดเจ็บหนักมาก เสียเลือดมากด้วย…”

“เช่นนั้นเจ้ายืนสะอื้นเหมือนนกหามารดาเจ้ารึ! คนอยู่ที่ไหน?” ซ่งชูอีดึงตัวจี้ฮ่วนแล้วพุ่งออกไป วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาเอ่ย “อี่โหลว ไปเรียกท่านหมอทั้งหมดมาที่นี่!”

“ได้!” เจ้าอี่โหลวก้าวเท้ายาวๆ ตามออกไป

ฝนข้างนอกโหมกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นคนที่อยู่ไกลกว่าระยะสิบก้าว น้ำเย็นเยียบทำให้ความง่วงของซ่งชูอีหายเกือบเป็นปลิดทิ้ง

ก่อนหน้านี้ที่ซือหม่าชั่วเป็นแม่ทัพที่นี่ กระโจมของจี้ฮ่วนและจี๋อวี่ก็มิได้จัดแจงให้ผู้อื่นอีกภายใต้ความดูแลของเขา

ทันทีที่ซ่งชูอีก้าวเข้าไปในกระโจม กลิ่นเลือดหนักหน่วงลอยเข้ามาแตะจมูก แค่ดมกลิ่นก็รู้แล้วว่าอาการบาดเจ็บสาหัส นางเดินอ้อมเข้าไปในห้องด้านใน เมื่อเห็นจี๋อวี่มีใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากก็เม้มกันโดยไม่รู้ตัว

“พี่ใหญ่ ท่านมาแล้ว” จี้ฮ่วนนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง

จี๋อวี่ลืมตาช้าๆ ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างทว่าถูกซ่งชูอีขัดจังหวะ “หากไม่เกี่ยวข้องกับบาดแผลของเจ้า วันหลังค่อยพูดเถิด”

“ไม่เป็นไร” จี๋อวี่ไม่ฟังคำของนาง พูดต่อ “ไหสองใบนั้นเป็นเถ้ากระดูกของจีเหมียนกับองค์หญิงเว่ย์ ได้โปรดท่านนำไปฝังดินด้วย”

ซ่งชูอีสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมาช้าๆ ข่มความรู้สึกเจ็บปวดไว้ในใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้”

[1] อวี๋ซุ่น หนึ่งเป็นกษัตริย์ยุคโบราณสมัยสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิที่ตั้งรกรากอยู่แถวเป๋ยไห่