บทที่ 202 แสร้งหมดสติเป็นเรื่องดี

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้นนอกห้อง ซ่งชูอีกล่าวเสียงสูง “ท่านหมอเข้ามา”

ซ่งชูอีเห็นว่าหัวหน้าหมออายุมากกว่าหกสิบแล้ว เอ่ยปากห้ามไม่ให้เขาค้อมคารวะ “มาดูคนไข้ก่อน”

เห็นได้ชัดว่าท่านหัวหน้าหมอพบเจอเรื่องเร่งด่วนเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ได้ยินแล้วก็หมุนตัวไปที่ข้างเตียงเพื่อจับชีพจรของจี๋อวี่

หลังจากนั้นไม่นานก็หยิบเข็มออกมาจากกล่องยาทันที “ถอดเสื้อของเขาออกอย่างระวังด้วย”

เนื่องจากจี๋อวี่เสียเลือดมากเกินไปจึงเวียนศีรษะเล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่ลืมว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ทอดถอนใจ บุคคลผู้นี้ขาดสติเกินไปแล้ว! จึงกัดฟันแสร้งทำเป็นหมดสติไป ปล่อยให้จี้ฮ่วนถอดเสื้อของเขาจนเปลือยเปล่า

รอยแผลเป็นบนร่างกายที่แข็งแรงนั้นมีทั้งรอยแผลเก่าทับแผลใหม่ เลือดเปื้อนไปทั่วตัว ดูน่าตกใจเป็นอย่างมาก

ซ่งชูอีเห็นว่าหมอสี่คนที่เหลือต่างจับจ้องการฝังเข็มของท่านหัวหน้าหมอตาไม่กะพริบ รู้ว่าพวกเขาคิดจะขโมยวิชา จึงรู้สึกโมโหชั่วขณะ เอ่ยอย่างเย็นชา “ยังไม่รีบไปช่วยเตรียมการอีก มัวแต่ยื่นศีรษะรอรับมีดอยู่ตรงนี้รึ?”

น้ำเสียงนั้นไม่ดัง ทว่าคำพูดที่เยือกเย็นนั้นทำให้หมอทั้งสี่คนสะดุ้งโหยง รีบถอยออกไปข้างนอกเพื่อเตรียมของที่อาจจะต้องใช้แล้ว

สองรอยแผลที่สำคัญที่สุดของจี๋อวี่อยู่บนหน้าอก คล้ายเป็นรอยแผลจากคมดาบ ปากแผลสั้นแต่ดูออกว่าจะต้องลึกมากอย่างแน่นอน

และไม่รู้ว่าอวัยวะภายในจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่!

ซ่งชูอีขมวดคิ้วมองดูหัวหน้าหมอค่อยๆ ถอนเข็มออกและเลือดก็ไหลซึมออกมาจากบาดแผลอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าเวลานั้นยาวนานราวกับหยุดนิ่ง ในใจร้อนรนอย่างอธิบายไม่ได้ทว่ากลับไร้ทั้งความสามารถและพลัง

นางตั้งใจดูจนมิทันสังเกตว่าเจ้าอี่โหลวเดินเข้ามาด้วยซ้ำ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หัวหน้าหมอจึงลุกขึ้นและประสานมือคำนับซ่งชูอี “เรียนท่านที่ปรึกษา บัดนี้เลือดหยุดแล้ว ตราบใดที่ไม่มีไข้ภายในครึ่งเดือนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ซ่งชูอีหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก หัวหน้าหมอเดินตามออกไปอย่างรู้งาน

“อวัยวะภายในบาดเจ็บด้วยหรือไม่?” ซ่งชูอีกระซิบถามเสียงต่ำ

“ไม่มีขอรับ หากบาดเจ็บถึงจุดสำคัญเช่นนั้น ก็ไม่สามารถทนได้จนบัดนี้” หัวหน้าหมอตอบด้วยความมั่นใจ

ซ่งชูอีเบาใจลงมาเล็กน้อย เอ่ยเรียก “ฮ่วน”

จี้ฮ่วนรีบวิ่งออกมาจากในห้อง “ขอรับ”

“ไปเอาสุราฤทธิ์แรงที่กระโจมข้ามาไหหนึ่ง” ซ่งชูอีสั่ง

จี้ฮ่วนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบสนองและรีบออกไปทันที นี่คือวิธีโบราณที่ทำสืบทอดกันมาในสนามรบ หากใช้สุราล้างบาดแผลมันก็จะไม่อักเสบและกลัดหนอง ทว่าสุราทั่วไปนั้นอ่อนมาก ผลลัพธ์จึงน้อยตามไปด้วย ส่วนสุราฤทธิ์แรงนั้นหาได้ยาก ทว่าซ่งชูอีนั้นมิได้ชอบอะไรไปมากกว่าการจิบสุราสองสามคำ ดังนั้นตอนที่อยู่ปาสู่จึงสะสมไว้ไม่น้อย

“มีสุราฤทธิ์แรงก็จะดี” หัวหน้าหมอกล่าว

ซ่งชูอีเอ่ย “ท่านจัดการต่อเถิด”

“มิบังอาจ” แม้ลำดับขั้นตามอายุและการเคารพผู้อาวุโสเป็นเรื่องธรรมชาติ ทว่าในเวลานี้อยู่ในค่ายทหาร ตำแหน่งของหมอไม่สูง หัวหน้าหมอจึงแสดงความเกรงใจต่อความเคารพของซ่งชูอีเล็กน้อย จากนั้นก็พาหมอไม่กี่คนเข้าไปในห้องเพื่อพันแผลและรักษาอาการบาดเจ็บให้กับจี๋อวี่

เจ้าอี่โหลวจับจ้องซ่งชูอีอย่างเงียบๆ ตลอดเวลา นางมิได้เผยความตื่นตระหนกเลยตั้งแต่ต้นจนจบ กำชับงานอย่างมีระเบียบแบบแผน ทว่ามีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมออกมาข้างขมับแล้ว

“ข้ากลายเป็นคนหน้าตาดีหรือไง? ทำให้เจ้ามองจนหลงใหลเพียงนี้?” ซ่งชูอีหันมองเขา

“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบตามความจริง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งๆ ที่เป็นคิ้วตาอันเดียวกันทว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกว่ามันดูดีมาก

ซ่งชูอีอึ้งไปเล็กน้อย ยกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากของเขา

เจ้าอี่โหลวปัดมือของนางอย่างแรง

ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “ข้าชอบท่าทางที่เจ้าเคอะๆ เขินๆ เหมือนเด็กสาวเยี่ยงนี้”

เจ้าอี่โหลวเปลี่ยนจากหน้าดำเป็นหน้าแดงเพียงชั่วพริบตา บางคราวเขาต้องการที่จะข่มความรู้สึกจริงๆ ทว่าเมื่อคนส่วนใหญ่ถูกซ่งชูอียั่วโมโหแล้วก็อดไม่ไหวที่จะระเบิดออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขามักจะแสดงทุกอย่างทางสีหน้าเสมอ

“จางจื่อไปนานเท่าใดแล้ว?” เรื่องสาบานเป็นพี่น้องมีเพียงซ่งชูอีกับจางอี๋สองคนเท่านั้นที่รู้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เรียกว่าพี่ใหญ่เวลาที่อยู่ข้างนอก

เจ้าอี่โหลวเอ่ย “ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ได้ยินว่าปาอ๋องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะผลักความผิดทั้งหมดไปที่รัฐฉิน ส่วนหนังสือรับรองแห่งรัฐที่รัฐสู่ตั้งคำถามไว้ก็ได้ถูกส่งต่อไปยังนครเสียนหยางนานแล้ว”

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ  พยักหน้า การพัฒนาของเจ้าอี่โหลวเกินความคาดหมายของนางมาก เด็กหนุ่มผู้ที่ปกป้องอาหารในขบวนรถนักแสดงและตื่นตัวเสมอเมื่อเห็นคนแปลกหน้าราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยในตอนนั้น บัดนี้ได้เป็นถึงตำแหน่งตูเว่ย การเปลี่ยนราวฟ้ากับเหวเช่นนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสองปีเท่านั้น ครั้นเวลาผ่านไปก็จะต้องประสบความสำเร็วสูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน!

จี้ฮ่วนอุ้มไหสุราเดินเข้ามา เมื่อเห็นรอยยิ้มของซ่งชูอี ก็ถามด้วยความดีใจฉับพลัน “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรหรือ?”

“ตอนนี้ไม่เป็นไร ขอเพียงระวังไม่ให้มีไข้ก็พอแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย

สีหน้าของจี้ฮ่วนห่อเหี่ยวอีกครั้ง เวลาที่สู้รบ ทหารส่วนมากมิได้เสียชีวิตจากบาดแผลฉกรรจ์ทว่าจากผลข้างเคียงร้ายแรงของบาดแผลนั้น

“จิ๊ ข้าว่าเจ้าก็คิดในแง่ดีบ้างมิได้หรือ?” หากไม่เห็นแก่จี้ฮ่วนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองอยู่เสมอ ซ่งชูอีก็อยากเตะเขาสักทีเสียจริง “คราวก่อนเขาบาดเจ็บร้ายแรงแค่ไหน! ก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นกันมิใช่หรือ? อวี่ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นอะไรดอก”

จี้ฮ่วนเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี ทว่าก็อดเป็นกังวลมิได้

ซ่งชูอีก็ไม่เคยเห็นผู้ชายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าผู้นี้เป็นเช่นนี้มาก่อน จึงมิได้พูดมากอีก ยกมือขึ้นตบๆ ไหล่ของเขา “ดูแลอวี่ให้ดี”

จี้ฮ่วนส่งสุราให้ท่านหมอ ยืนรอที่ม่านประตูที่กั้นระหว่างห้องข้างนอกและข้างใน

กลิ่นสุราฤทธิ์แรงลอยคลุ้งเต็มกระโจม หลังจากผ่านไปสักพักบรรดาหมอเก็บของและออกมาก่อน

ในที่สุดหัวหน้าหมอก็ออกมาจากห้อง อดที่จะเอ่ยอุทานมิได้ “ท่านจี๋สมกับเป็นลูกผู้ชายจริงๆ ตลอดเวลานี้ไม่ร้องเลยสักแอะ”

หากเขาหมดสติไปจริงๆ หัวหน้าหมอคงไม่กล่าวเช่นนี้ ดังนั้น เรื่องแสร้งหมดสติจึงถูกเปิดโปงแล้ว…

ซ่งชูอีเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ยังสามารถแกล้งหมดสติได้ นับว่าเป็นเรื่องดี”

ทันใดนั้นจี้ฮ่วนก็นึกถึงว่าเรื่องที่จี๋อวี่ถูกเปลื้องเสื้อผ้าเมื่อครู่ สีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เดินก้าวยาวๆ เข้าไปข้างในห้อง กล่าวอธิบาย “พี่ใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าท่านไม่ได้หมดสติ…”

พูดออกมาเช่นนี้! หมายความว่าหากเขาหมดสติก็สามารถถูกผู้อื่นเปลื้องผ้าและดูได้ตามอำเภอใจเช่นนั้นหรือ?

จี้ฮ่วนตระหนักได้ว่าตนพูดผิดแล้วก็รีบแก้ไข “ไม่ใช่ เพราะข้าร้อนใจจึงมิได้สังเกต”

เช่นนี้จึงจะดูดีหน่อย จี๋อวี่เอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้ามิได้ผิด” ความผิดอยู่ที่บุคคลสติแตกผู้นั้นที่ไม่รู้วิธีหลบหลีกต่างหาก!

แม้ว่าในช่วงเวลาอื่นซ่งชูอีก็อาจจะไม่มีสติในการหลบหลีก ทว่าจี๋อวี่รู้ว่าเมื่อครู่เป็นเพราะห่วงใยเขา จึงมิได้กล่าววาจาจี้ใจดำในตอนแรก ก็ผู้ชายนี่นา ถูกมองนิดมองหน่อยคงไม่เสียหายมากดอกกระมัง

สายฝนยามราตรีโปรยปราย

หลังจากซ่งชูอีอาบน้ำแล้วก็นั่งอยู๋ในกระโจม เหม่อมองไปยังไหสีดำใหญ่สองใบที่จี๋อวี่นำกลับมา

“หวยจิน เจ้าจะต้องมีชีวิตกลับมา พวกเราจะมาเล่นหมากลิ่วป๋อกันอีก!”

จีเหมียนกล่าวกับนางเช่นนี้ตอนที่นางไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวในรัฐเว่ย์

บัดนี้คำพูดยังคงอยู่ในหู ทว่าผู้พูดกลับจากไปแล้ว

“ข้าไม่ตาย แต่เจ้าจากไปก่อนแล้ว สุดท้ายแล้วหมากลิ่วป๋อนี้ก็ไร้บทลงเอย” ซ่งชูอีลูบๆ ไห หลุบตาลง “อู้เม่ย ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ยุคของนักนิติธรรมที่ปฏิรูปกฎหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เป็นนักยุทธศาสตร์ต่างหากที่กุมสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต”

เจ้าอี่โหลวเดินอยู่ในสายฝนยามค่ำคืนโดยมีร่มอยู่ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างถืออาหารที่มีควันร้อนพวยพุ่ง ครั้นได้ยินซ่งชูอีพูดอยู่ข้างในก็ค่อยๆ หยุดฝีเท้า

“ความทะเยอทะยานไม่บรรลุผล ทว่ากลับมีภรรยาที่ร่วมเป็นร่วมตายกันได้ ชีวิตนี้มีสามีที่ดีเช่นนี้ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว!” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนในตอนท้าย

……

“คารวะท่านตูเว่ย” ทหารที่เฝ้ากระโจมทำหน้าที่เป็นอย่างดี