ผ่านไปราวห้านาที เฉี่ยวเย่ว์ก็ออกจากตำหนักชางผิง รีบกลับไปรายงานความเคลื่อนไหวของเจี่ยงยิ่นให้ท่านหญิงหย่งจยาฟังอย่างละเอียด
ท่านหญิงหย่งจยาก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน จากนั้นค่อยเบาใจลง ระบายยิ้มที่มั่นใจว่าชนะอย่างแน่นอนออกมา นี่มิใช่สวรรค์เข้าข้างข้าหรอกหรือ แล้วจึงเหลือบมองท้องฟ้านอกกระโจมสวย ก่อนถาม
“เวลานี้ พวกผู้หญิงน่าจะไปที่สระน้ำร้อนกันหมดแล้วสินะ”
เฉี่ยวเย่ว์ติดตามท่านหญิงหย่งจยามานานหลายปี ไหนเลยจะไม่รู้ว่าท่านหญิงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงอึ้ง แต่ก็รีบตอบ “เพคะ ท่านหญิง…คุณหนูอวิ๋นก็น่าจะไปแล้วเช่นกัน”
ดวงตาเปี่ยมรอยยิ้มของท่านหญิงหย่งจยาชำเลืองมองอาหารเย็นบนถาดไม้แดงที่ยังไม่ถูกเก็บออกไป พลางหยิบสุราขวดเล็กที่กลั่นจากส้มมือ[1]และยังไม่ได้เปิดจุกขึ้นจากถาด จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ส่งสายตาบอกให้สาวใช้นำผ้าคลุมไหล่มาคลุมให้ตนเอง
“ท่านหญิงกำลังจะ…” เฉี่ยวเย่ว์มองนิ่ง
“เจ้ามิใช่เพิ่งนำส่งบทกวีที่ข้าแต่งไปให้เสด็จลุงฝ่าบาทหรอกหรือ มีบทกวีแต่ไม่มีสุรา ใช้ได้ที่ไหนกัน”
เอาเถอะ นางต้องไปเติมเชื้อฟืนลงในกองไฟด้วยตัวเองเสียแล้ว ช่วยโหมกระพือให้เปลวไฟแรงขึ้นอีกนิด ถ้าสำเร็จ รอจนญาติผู้พี่กลับมา…เกรงว่าชาตินี้ทั้งสองคงไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว
คุณหนูอวิ๋นนั่นจะได้เลิกฝันกลางวันเสียที
“ท่านหญิง สุราส้มมือฤทธิ์แรง ฝ่าบาทคออ่อน ดื่มไม่ถึงสองจอกก็ทรงเมาแล้ว ท่านลืมไปแล้วหรือ…” เฉี่ยวเย่ว์เตือน
ท่านหญิงหย่งจยามองเฉี่ยวเย่ว์อย่างล้ำลึก
เฉี่ยวเย่ว์พลันเงียบเสียง เข้าใจในทันที นี่ล่ะ คือเหตุผลที่ทำให้ท่านหญิงตัดสินใจ
ตำหนักชางผิง
หลังจากเจี่ยงยิ่นจากไป หนิงซีฮ่องเต้ก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดขณะนั่งอยู่บนตั่ง พอได้ยินคนในวังแจ้ง
จากด้านนอกว่า ท่านหญิงหย่งจยาเสด็จ สีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้น “รีบให้เข้ามา”
หลานสาวที่อยู่ตรงหน้ายังเหมือนเดิมไม่มีผิด อ่อนโยนน่ารัก พอถวายบังคมเรียบร้อย ก็ก้าวเข้ามานั่งข้างๆ พลางพูดออดอ้อน
“ทำไมวันนี้เสด็จลุงดูไม่สบายพระทัยจัง หรือหย่งจยาทำอะไรไม่ดีไว้ ตรงไหนที่ทำให้ทรงกริ้วเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้จับจมูกหลานสาวอย่างเอ็นดู “ทุกคนสามารถทำให้ลุงกริ้วได้ แต่เจ้าไม่”
“อ้าว มีคนทำให้เสด็จลุงกริ้วจริงๆ หรือเพคะ”
หย่งจยาหน้าสลด ย่นจมูกเนียนขาว แก้มเริ่มแดง ราวกับผู้ที่ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วเหมือนศัตรูผู้ฆ่าบิดาของตนอย่างไรอย่างนั้น มือน้อยๆ ตบลงบนโต๊ะ ทำท่าฮึดฮัด คิดจะเรียกคนเข้ามา
เฉี่ยวเย่ว์กำลังแอบดูอยู่ หลายปีมานี้ ที่ฝ่าบาทโปรดปรานท่านหญิงก็ตรงนี้ล่ะ และแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมา ก่อนพูดยับยั้งนาง
“เอาล่ะๆ เจ้ามีความกตัญญู ไม่มีอะไรแล้ว”
“เมื่อเสด็จลุงใจกว้าง ก็แล้วกันไป มิเช่นนั้นหย่งจยาต้องไม่ให้อภัยคนผู้นั้นแน่ๆ”
หย่งจยาทำปากยื่นปากยาว “ใต้หล้านี้ ยังมีคนริอาจยั่วโมโหองค์หมื่นปีด้วยหรือเพคะ กินดีหมีมาหรือไง”
หนิงซีฮ่องเต้ถอนหายใจเบาๆ
“เป็นองค์หมื่นปีแล้วไง ใช่ว่าต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ อยากได้อะไร ก็ไม่แน่ว่าต้องได้เสมอไป”
ท่านหญิงหย่งจยารู้ว่าฝ่าบาทถอนหายใจเรื่องอะไร จึงชะงักเล็กน้อย ทำหน้าบ้องแบ๊ว พลางพูดจาแบบเด็กๆ
“เสด็จลุงตรัสอะไรเพคะ ถ้าแม้แต่โอรสสวรรค์ยังมีสิ่งที่อยากได้แล้วไม่ได้ เช่นนั้นคนธรรมดาอย่างเราๆ มิต้องกลุ้มใจตายกันหมดหรือ! ผู้เป็นฮ่องเต้ ควรได้ทุกสิ่งในใต้หล้าสิเพคะ หาไม่แล้วจะเป็นไปทำไม! มีของที่ทรงอยากได้แล้วไม่ได้ด้วยหรือ? คนและทุกอย่างในใต้หล้า ใช่ว่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว ถ้าของสิ่งนั้นไม่มี ก็หาสิ่งอื่นแทนได้นี่เพคะ! ฝ่าบาทเป็นผู้มั่งคั่งในปฐพี เป็นไปได้อย่างไรที่จะหาของที่อยากได้ไม่พบ!”
คำพูดนี้ถ้าเป็นผู้อื่นพูด ต้องถูกประหาร หรือไม่ก็ถูกลงโทษไปแล้ว แต่ถ้าออกจากปากหย่งจยา ก็เหมือนหลานสาวไร้เดียงสาอายุน้อย กำลังถกเรื่องในใจกับญาติผู้ใหญ่ ไม่ทำให้กดดันแต่อย่างใด
หย่งจยาพูดจนหนิงซีฮ่องเต้รู้สึกเหมือนได้ฟังคำคมแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ฉุกคิดขึ้นมาได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว หลังจากถูกเจี่ยงยิ่นห้าม ก็ทรงลังเลใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ ความกังวลใจทั้งหมดล้วนมลายหายสิ้น ทรงกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังเลิกรา ทรงติดใจอยู่เรื่องหนึ่ง เพียงอยากเห็นหน้าเด็กสาวนั่นสักครั้ง ใช่
แล้ว ทรงเป็นโอรสสวรรค์ หรือเรื่องแค่นี้ก็ยังทำตามใจปรารถนาไม่ได้
หย่งจยารู้อุปนิสัยของเสด็จลุงดี พอเห็นท่าทางการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของพระองค์ ก็ยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้มที่มุมปาก ก่อนเหลือบมองไปยังบทกวีที่เฉี่ยวเย่ว์นำส่งให้ก่อนหน้านี้ ซึ่งวางไว้กับโต๊ะตัวเล็กบนตั่ง จากนั้นก็ถามอย่างไร้เดียงสา
“เสด็จลุงได้อ่านบทกวีของหย่งจยาหรือยัง แต่งได้ไม่ดีใช่ไหมเพคะ”
แน่นอนว่า บทกวี ‘ล้อมป่าล่าสัตว์’ นางมิได้แต่งเอง แต่ลอกเขามาทั้งดุ้น ยกเอาผลงานของกวีเอกเลื่องชื่อคนหนึ่ง ในยุคหลังยุคใดยุคหนึ่ง มาเป็นผลงานของตนเอง ซึ่งบทกวีนี้โด่งดังมากในสมัยนาง ถูกนำมาเผยแพร่อย่างกว้างขวางตามหนังสือแบบเรียน กระทั่งเด็กห้าขวบก็ยังท่องได้อย่างคล่องแคล่ว จึงไม่ต้องพูดถึง ทุกประโยคล้วนดีงามและลื่นไหลจนเป็นที่นิยมทุกยุคทุกสมัย คุ้มค่าที่จะนำมาชื่นชมและขบคิดอยู่บ่อยๆ
แรกเริ่มเดิมทีที่หย่งจยาลอกเลียนแบบผลงานผู้อื่น ยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ยังคิดแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ แต่ต่อมา หน้าก็ด้านขึ้นเรื่อยๆ และลอกมาทั้งดุ้นในที่สุด
“บทกวีของหญิงสาวผู้โด่งดังและมากพรสวรรค์จากในวัง จะไม่ดีได้อย่างไรกัน”
พอพูดถึงบทกวีที่หลานสาวแต่ง หนิงซีฮ่องเต้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตอนทรงเป็นหนุ่ม ก็ชอบแต่งกวีเหมือนกัน จึงชอบและนับถือผู้รอบรู้เอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นหลานสาวของตนเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรักและเอ็นดูเข้ากระดูกดำ
“เพิ่งอ่านคร่าวๆ ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด แต่ก็รู้สึกว่าทรงพลังและลึกซึ้ง กล้าหาญและเข้มแข็ง ไม่มีอารมณ์ดัดจริตแบบกวีสตรีแต่อย่างใด ถ้าดูแต่การใช้คำ ก็คล้ายเห็นภาพการล่าสัตว์อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าหย่งจยาเป็นคนแต่ง เรายังนึกว่าคนแต่งเป็นผู้ชายเสียอีก! กวีบทนี้แต่งได้ดี ต้องตบรางวัล รางวัลใหญ่!”
หย่งจยาทำหน้าเขินอาย “เสด็จลุงเยินยอจนหย่งจยาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว” แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนปรบมือเรียกให้คนนำสุราส้มมือเข้ามา
“ดื่มสุราเคล้าบทกวี ถึงจะได้อรรถรสนะเพคะ”
แล้วจึงรินสุราเต็มจอกหยกขาว ยื่นให้หนิงซีฮ่องเต้ด้วยตัวเอง
——
[1] ส้มมือ ผลไม้จำพวกส้มชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายมือ