พระราชนิเวศน์ไคหยวน ข้างป่าล้อมฮู่หลง ยามค่ำคืน
คล้ายถูกปกคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำอันไร้ซึ่งขอบเขต ทำให้ที่ประทับอันโอ่อ่าเรืองรองของโอรสสวรรค์แลดูลึกลับชอบกล
ที่ตำหนักชางผิง หน้าประตูใหญ่ พอเหยาฝูโซ่วเห็นพระมาตุลาเจี่ยงเดินตรงเข้ามา ก็ตกใจ ด้วยเป็นไปได้ยากที่พระมาตุลาจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตัวเอง
ซึ่งครั้งนี้ที่ฝ่าบาทต้องพาเจี่ยงยิ่นมาล่าสัตว์ด้วย ก็เพราะต้องการรั้งตัวเขาไว้ โดยระหว่างทาง ทรงพูดเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ในเมืองหลวง ทำงานให้ราชสำนัก แต่พระมาตุลากลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสีย
สองสามวันมานี้ยังไม่แม้แต่จะออกจากกระโจม ฝ่าบาทจึงจนปัญญา เจี่ยงยิ่นในวัยหนุ่มเป็นคนหยิ่งยโส ตอนนี้พออายุมากหน่อย ก็บำเพ็ญเพียรจนไม่แยแสสนใจใคร ไม่ปรารถนาสิ่งใด หัวรั้นมากขึ้น
แต่ตอนนี้กลับเดินมาเฝ้าด้วยตัวเอง เปลี่ยนนิสัยแล้วหรือ?
เหยาฝูโซ่วยังไม่ทันก้าวเข้าไปคารวะ เจี่ยงยิ่นก็เอ่ยปากก่อน “ฝ่าบาทอยู่ในตำหนักไหม”
“เพิ่งเสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จ กำลังอยู่ด้านใน เชิญพระมาตุลา เชิญพ่ะย่ะค่ะ” เหยาฝูโซ่วรีบผายมือ
ห้องบรรทม
พอหนิงซีฮ่องเต้เห็นเจี่ยงยิ่นมาหา ก็ดีพระทัยมาก รีบตรัส “ยกเก้าอี้ให้พระมาตุลานั่ง รินน้ำชา”
นางในยกเก้าอี้พนักทรงกลมเข้ามา แต่เจี่ยงยิ่นกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ยกแขนเสื้อขึ้น แสดงท่าทีหยิ่งทะนงแบบผู้ตรวจราชการในปีนั้นออกมา ยากพบเห็นยิ่ง
“ออกไปเถิด ข้ากับฝ่าบาทมีเรื่องต้องคุยกัน”
นางในกับขันทีซึ่งคอยปรนนิบัติรับใช้สองสามคนจึงรีบเลิกผ้าม่านขึ้น ทยอยเดินออกจากห้องไป
หนิงซีฮ่องเต้นึกเอะใจอยู่เหมือนกัน ด้วยรู้ว่าถ้าไม่มีเรื่อง เขาก็ไม่มาหาหรอก จึงยิ้มแหยๆ แล้วว่า
“หรือพระมาตุลาคิดเปลี่ยนใจ อยากอยู่พัฒนาต้าเซวียนต่อ? เห็นที ไม่เสียแรงแล้วที่เราพามาล่าสัตว์ด้วย”
เจี่ยงยิ่นเป็นคนมีความสามารถที่โดดเด่นคนหนึ่ง ซึ่งนอกจากความสามารถเฉพาะตัว ก็ยังมีบารมีและเครือข่ายสมัยเป็นอำมาตย์และผู้ตรวจการหลงเหลืออยู่ โดยมีทั้งลูกศิษย์ลูกหาและผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย ที่ยังคงรอเขาคืนสู่ราชสำนัก ผู้ใหญ่ในวังก็คือเหล่าขุนนางระดับสูงทั้งบุ๋นและบู๊ นอกวังก็คือเหล่าพ่อค้าวานิชและเศรษฐี รวมทั้งหน่วยกล้าตายจำนวนหนึ่ง แม้ก่อนที่เขาจะเข้าป่าบำเพ็ญเพียร คนเหล่านี้ล้วนแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังยกให้เขาเป็นผู้นำ ซึ่งถ้าเขากลับเข้ารับราชการจริงๆ เรียกเพียงคำเดียว คนเหล่านี้ก็จะยกโขยงกันมา ช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อวีรบุรุษของพวกเขา แล้วคนเช่นนี้ หนิงซีฮ่องเต้จะยอมปล่อยไปได้อย่างไรกัน
เจี่ยงยิ่นจ้องมองฮ่องเต้ “วันนี้ข้าน้อยบังเอิญเจอกับลูกสาวท่านเจ้ากรมกลาโหม นึกไม่ถึงว่าคุณหนูอวิ๋นก็เข้าร่วมประเพณีล่าสัตว์ในปีนี้ด้วย”
หนิงซีฮ่องเต้หนังตากระตุก ก่อนพูดเสียงเรียบ
“อืม ก็ กองกิจการภายในเป็นคนคัดเลือกลูกสาวขุนนางเอง”
เจี่ยงยิ่นยกมุมปากขึ้น แววตาไม่อยากจะเชื่อ “อ้อ? มิใช่เจตนาของพระองค์หรอกหรือ”
หนิงซีฮ่องเต้ถูกถามจนต้องหรี่ตาลง “เจ้าหมายความว่าอะไร ต่อให้เป็นเจตนาของเรา แล้วจะทำไม เหล่าสตรีที่ตามเสด็จล่าสัตว์ เราอยากให้ใครเข้าร่วม ก็ให้ใครเข้าร่วม!”
โอรสสวรรค์ทรงกริ้ว กระทั่งอากาศก็ค้างแข็ง ไม่ขยับไปหมด คนในวังที่คอยรับใช้อยู่นอกม่านล้วนก้มหน้าลง ไม่กล้าหายใจแรง
แต่เจี่ยงยิ่นกลับยิ้มเย็นชา ทำให้ใบหน้าที่ผอมและขาวซีดอยู่แล้วของเขา เยือกเย็นยิ่งขึ้น ดุจแสงจันทร์สีเขียวกับหินมรกต
“ฝ่าบาทอยากเรียกใครให้เข้าร่วม ก็เรียกใครให้เข้าร่วมได้แน่ ยกเว้นคุณหนูอวิ๋น ส่วนเหตุผลคืออะไรนั้น ทรงรู้อยู่แก่ใจดี ครั้งนี้ให้แล้วกันไป ต่อไปทางที่ดีควรหยุดเสีย”
คนในวังที่อยู่ด้านนอกสะดุ้งตกใจ พระมาตุลาในวัยหนุ่มเป็นคนตรงที่กล้าท้วงติง ตอนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาท อะไรก็กล้าพูดออกมาทั้งนั้น ตอนนี้กลับยิ่งอหังการหนักกว่าเดิม บำเพ็ญเพียรจนคลุ้มคลั่งไปแล้วหรือ ถึงได้กล้าสั่งสอนฝ่าบาทดุจเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น ‘ครั้งนี้ให้แล้วกันไป ต่อไปทางที่ดีควรหยุดเสีย’ นี่มันคำพูดกบฎชัดๆ!
ทุกคนเงียบกริบ รอให้หนิงซีฮ่องเต้ทรงพิโรธ กระทั่งตะโกนออกมาว่า ให้นำตัวพระมาตุลาออกไป
ทว่าในห้องกลับสงบนิ่งอยู่เนิ่นนาน จากนั้น ผิดคาด…ลมและฝนกำลังดี ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เจี่ยงยิ่นจ้องมองหนิงซีฮ่องเต้ที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แม้โอรสสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้ามิได้โต้ตอบตน แต่การกระทำของเขา เห็นชัดว่าสนใจคุณหนูอวิ๋นอยู่บ้าง มิเช่นนั้นเหตุใดถึงได้ดึงเด็กสาวให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับวังหลวงทีละนิดเล่า
ขณะเดียวกัน นอกตำหนักชางผิง เฉี่ยวเย่ว์ที่ปฎิบัติตามคำสั่งของท่านหญิง คอยจับตาดูพระมาตุลาทั้งวัน พบว่า ตั้งแต่เขาออกจากป่าไผ่ ก็นั่งไม่ติดมาตลอด ตอนนี้ยังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีก…เห็นทีเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับคุณหนูอวิ๋นนั่นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉี่ยวเย่ว์ก็รีบไปที่ตำหนักชางผิง
พอเหยาฝูโซ่วเห็นคนสนิทของท่านหญิงหย่งจยา ก็พูดอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ฝ่าบาทมีแขก ทำไมหรือ ท่านหญิงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เฉี่ยวเย่ว์ยิ้มหวาน ก่อนนำม้วนกระดาษที่เตรียมไว้แต่แรกออกจากแขนเสื้อ แล้วแกว่งไปมา
“เหยากงกง วันนี้ตอนอยู่ที่ป่าล้อม ท่านหญิงของบ่าวเห็นท่าทางอันสง่างามของฝ่าบาทกับเหล่าผู้สูง
ศักดิ์บนหลังม้า ก็เกิดแรงบันดาลใจ คิดแต่งเป็นบทกวี ตอนนี้ เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาให้ฝ่าบาททรง
พิจารณาและแก้ไขโดยเฉพาะ”
ท่านหญิงหย่งจยามักแต่งกลอนแล้วใช้ให้คนมาส่งมาให้ฝ่าบาททรงพิจารณา ซึ่งฝ่าบาทก็ชอบที่จะเป็น
อาจารย์ของหลานสาวคนนี้มาก เหยาฝูโซ่วจึงไม่สงสัยใดๆ เดินนำเฉี่ยวเย่ว์เข้าไปด้านใน
“เช่นนั้น แม่นางเฉี่ยวเย่ว์ก็รออยู่ในห้องโถงนี้ก่อน ให้พระมาตุลาออกมา แล้วค่อยเข้าไป”
เฉี่ยวเย่ว์ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินไปนั่ง
สักพัก พอเห็นเหยาฝูโซ่วเดินออกไป เฉี่ยวเย่ว์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พลางคิด เหยาฝูโซ่วเดินออกไปแล้ว ขันทีน้อยกับนางในไม่กี่คนนับเป็นอะไรได้
จึงโบกมือ “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าเฝ้าตรงนี้เอง”
ในวังหลวงท่านหญิงหย่งจยาเป็นใคร แค่นางขมวดคิ้ว ฝ่าบาทก็ทำโทษคนไปหลายคนแล้ว! คนในวังจึงไม่กล้าพูดอะไร ถอยออกไปด้านนอกเงียบๆ
เฉี่ยวเย่ว์จึงก้าวเข้าไปยืนแนบม่านประตู ฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง ได้ยินเสียงต่ำๆ ที่บุรุษทั้งสองสนทนากัน คล้ายกำลังพูดถึงเรื่องในอดีตเมื่อหลายปีก่อน
แต่ละคำแต่ละประโยคชัดเจนยิ่ง จนเฉี่ยวเย่ว์ถึงกับทำตาโต ไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง จวบจนได้ยินคล้าย เจี่ยงยิ่นขอตัวลา จึงรีบแว่บกลับไปนั่งที่เดิม พอเห็นเจี่ยงยิ่นเดินออกมา ค่อยล้วงบทกวีออก ฝืนยิ้ม ก่อนก้าวเข้าด้านในไป