ตอนที่ 112-4 มีแต่ข้าที่ทำให้ท่านเจ็บได้

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นว่าท่านพี่คล้ายมีเรื่องจะพูดกับพี่ใหญ่ จึงเชื่อฟังและกลับไปแต่โดยดี

 

 

รอให้เหลือกันเพียงสองคนในศาลา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า

 

 

“ข้ามีเรื่องๆ หนึ่งอยากไหว้วานพี่ใหญ่ แต่พูดไม่ออก”

 

 

เฉินจ้าวจ้องมองนาง “เรื่องที่เจ้าอยากไหว้วานข้า มีอยู่ไม่มากจริงๆ”

 

 

แม้บอกว่ารู้จักกันแต่เด็กและเรียกกันแบบพี่น้อง แต่อย่างไรก็มิใช่พี่น้องแท้ๆ ตามปกติถ้าไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะไปรบกวนเขา แต่ครั้งนี้ เมื่อเขาออกล่าสัตว์ด้วย…จึงไม่ลังเลใจอีก

 

 

“พี่ใหญ่เชี่ยวชาญการขี่ม้า ติดตามแม่ทัพเฉินเข้านอกออกในค่ายทหารแต่เด็ก พละกำลังและวรยุทธ์ล้วนไม่ธรรมดา ข้าจึงอยากฝากฝังคนๆ หนึ่งให้พี่ใหญ่ดูแลสักพักหนึ่ง”

 

 

เฉินจ้าวเอะใจ พอจะเดาออกว่าใคร และแล้ว นางก็เอ่ยปากออกมา

 

 

“ฉินอ๋องรับหน้าที่เป็นผู้ล่ากับฝ่าบาท แต่หน้าที่ในครั้งนี้เสี่ยงกว่าเมื่อปีก่อนมาก ถ้ามีพี่ใหญ่คอยช่วยเหลือ ย่อมเพิ่มประสิทธิภาพการล่าได้มาก เชื่อว่าต้องจับสัตว์ร้ายที่เป็นทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แน่”

 

 

เมื่อชาติที่แล้ว เฉินจ้าวมีวรยุทธ์แข็งแกร่ง แต่กลับต้องออกจากเมืองหลวง ไปประจำการยังชายแดนทางตอนเหนือ เป็นการใช้คนที่ไม่คุ้มค่ายิ่ง ชาตินี้ ถ้าเขากับฉินอ๋องสามารถเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ต่อไปฉินอ๋องย่อมเห็นเขาเป็นคนสำคัญ อย่างน้อยก็มีอนาคตสว่างไสวกว่าชาติที่แล้ว

 

 

ถือว่าต่างฝ่ายต่างชนะ ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

 

 

แม้เฉินจ้าวคาดเดาได้แต่แรก ทว่าตอนนี้พอได้ยิน ใบหน้าก็ยังตึงๆ อยู่ดี

 

 

นางเป็นคนเย็นชา ไม่หมกมุ่นกับความรักระหว่างชายหญิง เห็นได้จากเรื่องที่นางตั้งใจถอนหมั้นกับมู่หรงไท่ แต่ตอนนี้นางกลับไหว้วานให้ตนดูแลฉินอ๋อง แสดงว่านางกับฉินอ๋อง สนิทกันมากขึ้นอีกระดับแล้ว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสำรวจมองสีหน้าเฉินจ้าว ซึ่งสุดท้าย เขาก็กอดอก ไม่ได้ถามอะไรมาก

 

 

“กว่าน้องสาวจะขอร้องสักครั้ง เหตุใดข้าจะไม่รับปากเล่า”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นประสานมือไว้ที่เอว แล้วย่อตัวลง “ขอบคุณพี่ใหญ่”

 

 

เช่นนี้ก็ทำให้อนาคตของเขาดีขึ้นด้วย อย่างน้อย ก็ได้เป็นคนโปรดของฝ่าบาท ไม่ต้องไปตกระกำลำบากที่ชายแดนทางตอนเหนือซึ่งมีพายุหิมะตกอย่างต่อเนื่องอีก หวังแต่เพียง ต่อไปเฉินจ้าวจะเข้าใจในความตั้งใจของตน

 

 

พี่ใหญ่? คำที่นางเรียกขานในวัยเด็กตอนนั้น กลายเป็นคำเรียกขานไปทั้งชีวิตจริงๆ?

 

 

ริมฝีปากชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ เขารู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็รีบให้มันกลืนไปกับใบหน้าอย่างไร้ร่องรอย

 

 

รอยยิ้มของหญิงสาวดุจแสงตะวันอันอบอุ่นในฤดูหนาว สะท้อนแสงวิบวับบนเกลียวคลื่นในทะเลสาบ ทำให้โลกปัจจุบันปลอดภัย อบอุ่น สงบเงียบ ทำให้ผู้คนไม่อยากทำลายความงดงามนี้ และยอมเอาใจใส่ปกปักษ์รักษาโดยไม่หวังผลตอบแทน

 

 

เช่นนี้ ยังจะมีอะไรพูดอีก?

 

 

 

 

 

นอกกระโจมที่ประทับ

 

 

พิธีบวงสรวงก่อนออกล่าสัตว์เรียกให้ทุกคนมารวมตัวกัน แต่งตัวให้รัดกุม พร้อมออกเดินทาง

 

 

ลมภูเขาพัดหวีดหวิว ธงตราสัญลักษณ์แต่ละกลุ่มโบกสะบัด อานม้าสลักทองคำ โกลนหยกสีม่วง เคล้าเสียงกลองรัวถึงจุดสูงสุด ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน กระทั่งผู้ชมที่ปรัมพิธีฝั่งสตรี ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

 

 

หลังจากกราบไหว้บูชาเนื้อสัตว์สามชนิดต่อเทพเจ้าประจำป่าเขาเสร็จสิ้น เหล่าชายชาตรีก็ทยอยกันขึ้นนั่งบนหลังม้า กลุ่มองครักษ์เบิกทางอยู่ด้านหน้า หนิงซีฮ่องเต้ขี่ม้าด้วยองค์เอง นำเหล่าเชื้อพระวงศ์ซย่าโหวและขุนนางยอดฝีมือ ควบม้าเข้าไปในป่า

 

 

เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เริ่มมีคนกลับออกมาเรื่อยๆ ผู้นำคือหนิงซีฮ่องเต้ ส่วนเกวียนเทียมม้าที่อยู่ด้านหลังก็ลากเอาสัตว์ป่าน้อยใหญ่หลายชนิดเข้ามา ผู้คนบนหลังม้ายังไม่กลับกระโจมทันที ต่างพากันยินดีปรีดา และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ส่วนฝ่าบาท พอกลับไปยังกระโจมที่ประทับ ก็เริ่มแจกจ่ายสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ เป็นรางวัลตามชิ้นงานของแต่ละคน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่เป็นเพื่อนข้างกายซย่าโหวถิง จึงได้ยินคนในวังเข้ามารายงานเป็นระยะ

 

 

ก่อนกลับกระโจมขณะฟ้ามืด ก็ได้ยินว่า คนกับม้าที่ออกไปตอนกลางวันส่วนใหญ่กลับมากันหมดแล้ว จวบจนหยิ๋นเชวี่ยเข้ามารายงานเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

“…กลับมากันเกือบหมดแล้วเพคะ นอกจากฉินอ๋องที่นำคนกับม้ากลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ในป่า รอดักจับหมีดำ ถ้าสำเร็จ เร็วสุดก็น่าจะกลับมาภายในวันพรุ่งนี้”

 

 

ยังก็มีเฉินจ้าวที่ทำตามคำสัญญา ตามกลุ่มล่าหมีไปด้วย ยังไม่กลับ

 

 

 

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นกลับถึงกระโจม เจิ้งหวาชิว เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียงก็รีบเข้ามารุมล้อม ถามนั่น

 

 

ถามนี่อย่างตื่นเต้น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเล่าเหตุการณ์ที่เห็นจากป่าล้อมให้ทุกคนฟัง ซึ่งเฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงฟังพลางหน้าแดงไปตามๆ กัน ส่วนเจิ้งหวาชิวกับเมี่ยวเอ๋อร์และสาวใช้อีกสองคนกำลังยกอาหารเย็นเข้ามา เจิ้งหวาชิวยิ้มแล้วว่า “กินข้าวกันได้แล้ว”

 

 

ทุกคนจึงพากันเดินยิ้มไปที่โต๊ะ เพิ่งหยิบตะเกียบขึ้น ยังไม่ทันคีบผัก นอกกระโจมก็มีเสียงแหลมเล็กของเริ่นกงกงดังมา

 

 

เจิ้งหวาชิวนึกว่ามาแจ้งกำหนดการของวันพรุ่งนี้ จึงเลิกผ้าม่านขึ้น ก้าวออกไปต้อนรับ

 

 

เริ่นกงกงถือถาดใบหนึ่งในมือ ในถาดมีอาหารป่าที่ได้รับการปรุงอย่างดีที่สุดจากพ่อครัวในวังสองสาม

 

 

จาน เป็นกับข้าวที่ปรุงจากสัตว์ป่าที่ล่าได้ในวันนี้ มีไก่ป่าเนื้อขาวนิ่ม เนื้อกวางที่หั่นไว้อย่างเรียบร้อย ทานร่วมกับ

 

 

น้ำจิ้มผสมน้ำผึ้งสูตรชาววัง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว หน้าตาโดนใจและน่ากินมาก เห็นแล้วก็น้ำลายสอ

 

 

เริ่นกงกงถ่ายทอดพระดำรัส

 

 

“ต้องขอขอบใจเหล่าสตรีที่ลำบากตรากตรำตามเสด็จมาป่าล้อม นี่คืออาหารที่ทรงแบ่งมายังกระโจมของพวกเจ้า อีกสักครู่ถ้ารับประทานกันเสร็จ ตามระเบียบของปีก่อน สตรีที่ตามเสด็จในวันนี้สามารถไปแช่ตัวในสระน้ำร้อนข้างพระราชนิเวศน์ ชะล้างความเหนื่อยล้าที่เจอะเจอมาทั้งวันได้ พี่เจิ้งช่วยบอกลูกสาวท่านเจ้ากรมอวิ๋นด้วย”

 

 

เจิ้งหวาชิวดีใจยิ่ง รีบขานรับ “ลำบากกงกงแล้ว”