อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่เกรงใจอีก เดินไปที่ริมกะละมังทองแดง หยิบสบู่มาล้างมือ แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง ค่อยว่า
“ตอนออกล่าสัตว์ อย่าใช้แต่อารมณ์ ถ้าจับไม่ได้จริงๆ ก็กลับมาเถิด”
นอกกระโจม ไม่ไกลกันนั้น เสียงกลองระรัวดังกระหึ่ม ส่งสัญญาณว่า ฤกษ์งามยามดีในการบวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน เจ้าป่าเจ้าเขากำลังจะมาถึงในไม่ช้า เหล่าพลพรรคผู้ล่าทยอยกันเดินออกจากกระโจม พลางส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง ดังสะเทือนเลือนลั่น สะท้อนไปทั่วอาณาบริเวณป่าล้อมที่ลึกและกว้าง แทบจะกลบเสียงของนางจนหมดสิ้น แต่เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน จึงเดินเข้าหา
คราวนี้เขาไม่ลังเลใจอีก อ้าแขนทั้งสองข้างออก โอบกอดนางจากด้านหลัง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองสัมผัสแนบชิด แต่เป็นครั้งที่จริงจังมากที่สุดครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มกระชับวงแขนแน่น จนอวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับมาไม่ได้ แต่แปลก ครั้งนี้ นางไม่คิดจะดิ้นให้หลุด เพียงรู้สึกว่ามีเสียงอ้อนแบบทุ้มๆ ดังอยู่ข้างหู “…รอข้ากลับมา”
ที่ผ่านมา นางรู้ว่าเขาพยายามบอกใบ้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็ทำเป็นไม่ได้ยินทุกครั้งไป หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องอื่นแทน นางตั้งใจก่อกำแพงใจขึ้นมา
เพื่อให้กำแพงเตือนสตินางทุกเมื่อเชื่อวันว่า ชายหนุ่มผู้นี้คือฮ่องเต้ในอนาคต ฮ่องเต้คือใคร คือผู้ชายที่มีมเหสีและนางสนม มีความรักให้กับผู้หญิงมากมาย ผู้ชายเช่นนี้ เป็นไปได้หรือที่จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียว?
มีก็แต่ในนวนิยายปรัมปราเท่านั้น
และหนึ่งในข้อควรระวังมากที่สุดของการกลับมาเกิดใหม่ของนางคืออะไร คือการไม่กระทำผิดซ้ำซาก แบ่งหลังบ้านและสามีร่วมกับผู้อื่นอีก
ตอนนี้กำแพงนั่นก็ยังคงอยู่ แต่นางกลับอยากที่จะก้าวข้ามมันไป
เป็นเพราะเรื่องอวี้เฉินกังหรือ ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะนางคิดเช่นนี้แต่แรกแล้ว และพอมีเหตุการณ์ประเดประดังมากระตุ้น ความคิดที่สะสมเรื่อยมาจึงระเบิดออก
และตอนนี้ ‘รอข้ากลับมา’ สี่คำนี้ ทำให้นางสติหลุดลอย รอข้ากลับมา หมายความว่าอาจกลับมา หรืออาจไม่กลับมาก็เป็นได้
ลมหายใจอันร้อนแรงของชายหนุ่ม ทำให้หูของนางเปียกชื้น นางจึงหันมา แล้วว่า
“เก่งจริงก็กลับมาให้เร็วหน่อย ข้าไม่รอนานให้โง่หรอก ฝันไปเถอะ”
ทว่าใจของซย่าโหวซื่อถิงกลับหวั่นไหวอย่างแรง…ในที่สุดนางก็ใจอ่อนแล้ว?
เขาไม่เคยมีความสุขเต็มอก ดุจน้ำขึ้นในทะเลสาบเช่นนี้มาก่อน ไม่แม้แต่จะคิด เขาจับนางหันกลับมา จับมือนางขึ้นมาไว้ใต้เสื้อเกราะ ทาบติดกับชุดผ้าไหม แล้วเคลื่อนไปรอบๆ
นางตกใจ นี่เป็นอารมณ์ปรารถนาแบบไหนของผู้ชายกัน เพิ่งพูดดีๆ กับเขาหน่อยเดียวก็สติแตกแล้วหรือ แต่พอเงยหน้าขึ้น กลับสบกับดวงตาที่สดใสแกมยิ้มของเขา
“…ตรงนี้ เจ้าก็เคยเห็นมาแล้ว แค่นี้ไม่ตายหรอก ข้าดวงแข็งมาก”
มือของนางถูกบีบเบาๆ ให้สัมผัสกับแผลเป็นที่ทรวงอกของเขาไปมา แล้วนางก็พลันเขย่งเท้า
ยังไม่ทันมีปฎิกิริยาตอบกลับ เขาก็รู้สึกว่า ปากถูกอะไรนิ่มๆ ประกบ ต่อด้วยฟันอันแหลมคมซี่เล็กๆ แถวหนึ่งกัดลงบนเนื้อตรงริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ไม่เบาเลย แสบเอาการ
เขาตะลึงงัน นี่คืออะไร
“เจ็บไหม” อวิ๋นหว่านชิ่นแหงนหน้าขึ้น ยิ้มอย่างมีเสน่ห์ แล้วยกนิ้วขึ้น ลูบเบาๆ ตรงรอยเลือดซิบๆ ที่ริมฝีปากของเขา
“เจ้าว่าเจ็บไหมล่ะ” เขาตอบเสียงเย็นชา
“เจ็บก็ดี จะได้จำเอาไว้ว่า มีแต่ข้าที่ทำให้ท่านเจ็บได้” ครั้งนี้กลับเป็นน้ำเสียงที่ชอบธรรมและจริงจัง
นี่เป็นการประทับรอยความทรงจำลงบนตัวเขาหรือ แม้รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้มิใช่เด็กสาวที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมแบบเด็กสาวทั่วไป แต่การกระทำเช่นนี้ ก็พิสดารเกินไปจริงๆ
ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตาลง สองแขนรัดนางให้แน่นขึ้น พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “ร้ายกาจนัก”
ขณะเดียวกัน เสียงกระแอมไอของเยี่ยนอ๋องก็ดังขึ้นสองครั้งที่นอกกระโจม ขัดจังหวะความเย้ายวนใจในกระโจม ตามด้วยเสียงที่ไม่ดังแต่ก็ไม่เบา กึ่งจริงจังกึ่งล้อเล่น
“อะแฮ่ม พี่สาม เสด็จพ่อส่งคนมาเชิญแล้ว ถ้าทรงติดธุระ น้องไปบอกให้ก็ได้ว่า ครั้งนี้ไม่ไปแล้ว ดีไหม”
ซย่าโหวซื่อถิงคลายมือออกจากอวิ๋นหว่านชิ่น จัดแจงผมเผ้าที่เบี้ยวไปของนางให้เรียบร้อย ขานรับไปคำหนึ่ง ก่อนหันกายไปหยิบเสื้อคลุมที่ฉากกั้น
ซือเหยาอันก้าวเข้ามา หยิบอุปกรณ์ล่าสัตว์ติดตัวของท่านสามขึ้น แล้วเดินออกไปพร้อมกับนาย
ก่อนออก เขาหันคอมา วางมาดเท่อย่างมีเอกลักษณ์ โครงหน้าด้านข้างดุจรูปสลักคืนกลับไปเย็นชาดังเดิม เพียงริมฝีปากแย้มยิ้มเล็กน้อย
ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นก้าวออกจากกระโจม จังหวะกลองของการออกล่าสัตว์ก็ดังกระหึ่มขึ้นเป็นครั้งที่สอง นางจึงรีบเดินกลับไปยังปรัมพิธี
ขณะเดินผ่านกระโจมหลายหลัง เหลือเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงปรัมพิธีฝั่งสตรี กลับได้ยินเสียงเรียกอย่างสดใสเริงร่าดังมาจากด้านหน้า “ท่านพี่!”
อวิ๋นจิ่นจ้งเรียกพลางวิ่งเข้าหา โดยมีเฉินจ้าวเดินตามอยู่ด้านหลัง
หลายวันที่ผ่านมา อวิ๋นจิ่นจ้งเดินทางมากับขบวนตามเสด็จฝ่ายชาย ยากที่จะเจอกับพี่สาว วันนี้พอเจอเฉินจ้าวโดยบังเอิญ จึงฉวยโอกาสขณะที่ทุกคนอยู่ในป่าล้อม ขอให้เขามาตามหาพี่สาวเป็นเพื่อน เยี่ยมเยียนดูสักครั้ง
เพิ่งไม่เจอกันสองสามวัน อวิ๋นหว่านชิ่นกลับคิดถึงเหลือหลาย พอเห็นหน้าน้องชาย ก็ลากเข้าไปในศาลา
เล็กๆ หลังหนึ่ง ถามไถ่สองสามคำ ก็หัวเราะพลางหันไปพูดกับเฉินจ้าว
“ขอบคุณพี่ใหญ่มาก”
เฉินจ้าวได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหลินลั่วหนานแต่แรก จึงถามถึงสองสามคำ
แต่อวิ๋นจิ่นจ้งกลับถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วว่า
“เฮ้อ พี่นี่ก็เคราะห์ร้ายจริง! โชคดีที่ไม่มีเรื่องมีราวแล้ว!”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางปลอบใจเขา และพอเห็นว่าวันนี้เฉินจ้าวสวมชุดเกราะขี่ม้าทหารที่มีสนับเข่าสนับศอกเต็มรูปแบบ จึงถาม
“วันนี้พี่ใหญ่ก็ออกล่าสัตว์กับเขาด้วยหรือ”
อวิ๋นจิ่นจ้งชิงพูดขึ้นก่อน “ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของพี่ใหญ่ร้ายกาจเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทิ้งไว้ในกระโจมได้อย่างไรกัน วันนี้ยังทรงเลือกให้เป็นหัวหน้าองครักษ์ของกลุ่มด้วย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ “จิ่นจ้ง เจ้ากลับไปที่กระโจมก่อน ถ้าออกมานานเกินไป อาจถูกคนครหาได้”