ตอนที่ 112-2 มีแต่ข้าที่ทำให้ท่านเจ็บได้

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เยี่ยนอ๋องเห็นสายตาครุ่นคิดของพี่สาม ก็คิดในใจว่า เมื่อตนพาคุณหนูอวิ๋นมาโดยพลการแล้ว ใยจะไม่สนองตอบความปรารถนาของพี่สาม ทำเรื่องดีๆ ต่อให้ถึงที่สุดเล่า จึงส่งสายตาบอกหย่งจยาว่า เราสองควรออกไปกันก่อน ปล่อยให้คุณหนูอวิ๋นอยู่ต่อ

 

 

แต่หย่งจยากลับทำเป็นมองไม่เห็นคำบอกใบ้ของเยี่ยนอ๋อง ก้าวเข้าไปยืนข้างๆ ญาติผู้พี่ แล้วหันกายมา กั้นขวางอวิ๋นหว่านชิ่นเอาดื้อๆ แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ราชาสุนัขที่ญาติผู้พี่จูงอยู่ จึงไม่กล้าเข้าใกล้มาก ได้แต่พูดจาออดอ้อน

 

 

“ซวนซวนอยากไปป่าล้อมเป็นเพื่อนเสด็จพี่ฉินอ๋อง ยังไง เอาสุนัขให้คนอื่นจูงก่อนดีไหมเพคะ” ว่าแล้วก็ชำเลืองมองซือเหยาอัน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่า ท่านหญิงหย่งจยาทำท่าเหมือนกำลังแย่งของรักของหวงกับตน จึงไม่อยากยุ่งด้วย ถอยออกมาสองก้าว แล้วพูดเสียงเรียบ

 

 

“สุนัขก็คล้ายคน ชอบข่มผู้ที่อ่อนแอกว่า กลัวผู้ที่เข้มแข็งกว่า ท่านหญิงไม่ต้องกลัว ปฎิบัติกับมันตามปกติก็พอ มิฉะนั้นก็จะเป็นแบบเมื่อครู่อีก”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาเห็นนางพูดถึงเรื่องน่าอายเมื่อครู่ของตนอีกรอบ เหมือนกลัวว่าญาติผู้พี่จะจำไม่ได้ นี่มิใช่จงใจทำให้ตนรู้สึกอึดอัดใจหรือ จึงเจ็บใจ หันมองนาง แต่กลับยิ้มอบอุ่น ก่อนพูดเสียงค่อนข้างใส

 

 

“คุณหนูอวิ๋นฝึกสุนัขเป็นด้วยหรือ โอ้ว ข้าลืมไปว่า เพิ่งสอนวิธีบังคับม้าให้องค์หญิงฉางเล่ออยู่แหม่บๆ นี่นา เปลี่ยนมาเป็นฝึกสุนัขจึงไม่น่าจะมีปัญหา อย่างที่เขาว่า พูดง่าย แต่ทำยาก หย่งจยาชักอยากเห็นแล้วสิว่า ราชาสุนัขจะเชื่อฟังคุณหนูอวิ๋นหรือเปล่า”

 

 

“หย่งจยา” ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้ว

 

 

“ญาติผู้พี่” หย่งจยาเบะปาก “ข้าแค่อยากขอคำชี้แนะในการแก้ปัญหาจากคุณหนูอวิ๋น ไม่ได้หรือ”

 

 

“ไม่มีปัญหา” อวิ๋นหว่านชิ่นทอประกายตา ถูมือเบาๆ แล้วลงนั่งยองๆ

 

 

เยี่ยนอ๋องก้มตัวลง พูดเสียงต่ำ “เจ้าอย่าอวดเก่งไป ราชาสุนัขเป็นสุนัขตัวโปรดของพี่สาม มันไม่ฟังคำสั่งคนอื่นหรอก”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยิ้มไม่เปลี่ยนใจ กลับยื่นแขนเรียวยาวไปทางราชาสุนัข แบมือทั้งสองข้างออก แล้วยกริมฝีปากแดงอันอวบอิ่มขึ้น “มามะ”

 

 

เดิมทีซย่าโหวซื่อถิงกะแอบส่งสัญญาณบอกราชาสุนัข ด้วยเกรงว่านางจะหน้าแตก แต่ยังไม่ทันก้มลงมอง ก็รู้สึกว่าปลายสายจูงในมือขยับ ราชาสุนัขยื่นลิ้นแดงๆ ออกมา พลางจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งอยู่พักหนึ่ง และพอเจ้าของคลายมือออก มันเลยลองก้าวเข้าหา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นมือทั้งสองเข้าไปใกล้อีก พลางยิ้มโดนใจ

 

 

“เก่งมาก ราชาสุนัข”

 

 

ทั้งๆ ที่พบสุนัขตัวนี้เป็นครั้งแรก แต่กลับเรียกมันอย่างสนิทสนมเหมือนน้องชาย เฮ้อ นี่ก็อายตัวเองเหมือนกัน แต่ที่ต้องทำ เพราะไม่อยากให้ท่านหญิงหย่งจยาดูถูก

 

 

ราชาสุนัขร้องหงิงๆ เหมือนเด็กน้อยก็มิปาน ก่อนหันกลับมามองเจ้าของด้วยแววตาบริสุทธิ์ กำลังตัดสินใจว่า จะไปหรือไม่ไปดี

 

 

ท่านหญิงหย่งจยากลั้นหายใจ นี่มันบ้าบออะไรกัน หรืออวิ๋นหว่านชิ่นมีวิชาอาคมอะไรจริงๆ

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ ปล่อยหูจับสายจูงในมือ ราชาสุนัขเข้าใจเจตนาเจ้าของ คล้ายรู้ว่าเจ้าของตามใจ จึงอดใจไม่ไหวกับความเย้ายวนตรงหน้า วิ่งเข้าหาอย่างลิงโลด ตรงไปยังมือทั้งสองข้างของอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่หลีกหนี ปล่อยให้สุนัขป่าพันธุ์ผสมเลียมือตนเอง สุดท้ายยังจับศีรษะของมันด้วย

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงค่อยขยับมุมปาก “กลับมานี่”

 

 

ราชาสุนัขแสดงความรักต่ออวิ๋นหว่านชิ่นจนพอใจ ค่อยเดินกลับมาหาเจ้าของพลางส่ายหางไปมาอย่างมีความสุข อีกทั้งพอกลับมา ก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง เหมือนมีเจ้าของเพิ่มขึ้นมาอีกคน

 

 

เยี่ยนอ๋องซูฮกนางจริงๆ จึงยิ้มออกมา พลางเหล่ตามองท่านหญิงหย่งจยา

 

 

“เอาเถอะ หย่งจยา กลัวสุนัขก็อย่าฝืนอีกเลย สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ มันรู้ว่าใครชอบหรือเกลียดมันจริงๆ จึงมีปฎิกิริยาตอบสนอง เมื่อเจ้ากลัว ก็อย่าเข้าใกล้ ไม่งั้นจะถูกกระโจนใส่อีก”

 

 

ฝ่าเท้าของหย่งจยาราวกับถูกเข็มทิ่มแทงก็มิปาน แอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนพูดเสียงเบา

 

 

“เช่นนั้นหย่งจยาก็ส่งตรงนี้แล้วกัน ขอเสด็จพี่ฉินอ๋องเดินทางปลอดภัย” สองมือประสานเข้าที่เอวข้างหนึ่ง แล้วย่อตัวลง

 

 

พอเห็นท่านหญิงหย่งจยากับสาวใช้คนสนิทออกจากกระโจมไป เยี่ยนอ๋องก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างรู้งาน ส่งสายตาให้ซือเหยาอัน

 

 

“เราไปรอข้างนอกกัน พี่สามเตรียมตัวเสร็จก็ออกมาเองล่ะ” ว่าแล้วก็จูงราชาสุนัขออกไป

 

 

กระโจมพลันโล่ง บรรยากาศผ่อนคลายลงมาก

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ ก้าวเข้าหา “ข้าเลี้ยงสุนัขอย่างลำบากยากเย็นอยู่นานหลายปี แต่เจ้าแค่กระดิกนิ้วทีเดียว มันก็เข้าไปหาแล้ว สุดยอดมากเลย”

 

 

“เมื่อครู่เยี่ยนอ๋องก็บอกแล้วเพคะ สุนัขเข้าใจเจตนาคน” อวิ๋นหว่านชิ่นมีสีหน้าจริงจัง “ใครเป็นคนจริงใจ ใครควรเข้าใกล้ สุนัขล้วนดูออก โดยเฉพาะสุนัขล่าเนื้อซึ่งฉลาดเป็นที่สุดชนิดนี้…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ เงาคนก็ตกกระทบลงบนร่างนาง ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้ ห่างไม่ถึงหนึ่งนิ้วมือ เขาก้มหน้าลง ใช้ดวงตาทะเล้นจ้องมองนาง

 

 

ไม่รอให้นางโต้ตอบ ซย่าโหวซื่อถิงจับข้อมือนางขึ้น บังคับให้หงายฝ่ามือ แล้วดึงมาดอมดม

 

 

หึ จริงๆ ด้วย มิน่าเล่า ราชาสุนัขที่เพิ่งเห็นนางเป็นครั้งแรก ถึงได้เชื่อฟังนางเช่นนี้ เขาเขย่าข้อมือขาวๆ ของนางเบาๆ แล้วยิ้ม “คนจริงใจ?”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นทำหน้าเหยเก แล้วค่อยทำปากยื่นปากยาวอย่างไม่ละอายใจ

 

 

ตอนท่านหญิงหย่งจยากำลังพูดท้าทายนั้น นางก็เห็นว่า โต๊ะวางอาหารขนาดเล็ก ข้างกาน้ำชา มีเนื้อติดมันหั่นบางๆ วางอยู่จานหนึ่ง จึงแอบเอื้อมมือไปลูบเสียหน่อย

 

 

สุนัข ต่อให้ร้ายกาจเพียงใด มีหรือไม่อยากกินเนื้อ? ต่อให้เป็นสุนัขเทพข้างกายเทพเอ้อหลาง ก็ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งพอราชาสุนัขได้กลิ่นหอม ย่อมต้องมีอาการกระตือรือร้น

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงคลายมือออกจากข้อมือนาง พลางยิ้มในดวงตา “ตรงนั้นมีน้ำ”