เดิมทีคิดว่าอารมณ์เย็นลงจนสามารถเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว ท่านชายโจวหกที่ตั้งมั่นว่าจะไม่ร้อนรน ไม่ว่านางจะพูดอะไร กลับใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาโดยพลัน
คำพูดของหญิงผู้นี้ เหตุใดถึงได้น่าโมโหนัก!
เขานึกว่านางจะพูดเพียงแค่ ‘ข้าจะไม่รักษาให้’ อะไรพรรค์นั้น กลับมาบอกว่าต้องคุกเข่าให้ถึงจะยอมรักษา!
ท่านชายโจวหกเดินไปข้างหน้าในมือกำหมัดแน่น
“ช่วยก็คือช่วย ข้าไม่กล้าใช้เหตุนี้กดดันแม่นางหรอก” ท่านชายฉินเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะคำนับอย่างสุภาพในขณะที่มีบ่าวคอยพยุงอยู่ “เพียงแค่จะเอาใจแม่นางเท่านั้น”
คำพูดหยอกล้อนี้ช่างจริงใจ
สาวใช้ยิ้มบาง
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา ทันใดนั้นเองนางก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน
“ที่เจ้าพูด ข้าว่าเข้าท่าดี” นางพูดพร้อมสะบัดพัดเบาๆ “ถ้าคราวนี้เจ้าช่วยข้า ข้าจะรักษาขาของเจ้า”
ท่านชายโจวหกตะลึงอีกครั้ง ท่านชายฉินก็เช่นกัน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ท่านชายโจวหกตะโกน ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
“นายหญิงของข้าบอกว่า ถ้าท่านช่วย หากนางอารมณ์ดี นางจะรักษาขาของท่าน” สาวใช้ส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะเอ่ย
เท่าที่ผ่านเหตุการณ์มากมายและไปมาหาสู่กันมาหลายครั้ง หญิงผู้นี้เหมือนจะไม่เคยโกหก…
นางตั้งกฎแล้ว ตนเองก็ย่อมต้องปฏิบัติตาม
ถ้าช่วยเหลือ จะรักษาขาให้…
ยามสิ่งที่เฝ้าฝันให้เป็นจริงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทั้งสองก็เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเหม่ออยู่ที่ลานบ้าน
“หากช่วยไม่ได้ ก็ช่างเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ไม่นะ!
“ช่วยได้!” ท่านชายโจวหกร้องตะโกน
เฉิงเจียงเหนียงมองไปที่เขา
“แม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอด จะช่วยข้าได้หรือ” นางถาม “ไม่ก่อเรื่องให้ข้า ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ใบหน้าของท่านชายโจวหกพลันแดงก่ำ
ใครสร้างปัญหาให้ใครกัน ถ้าไม่ใช่นาง จะเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
“หากเจ้าบอกแต่แรก พวกเราจะเตรียมการ!” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด
ทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วแท้ๆ แต่กลับจะเพิ่งมาบอกพวกเขาเอาตอนนี้
เหตุตอนนั้นถึงได้พูดออกมาง่ายดายเช่นนั้น
“นางฟ้าผ่านทางเดิมทีเป็นของเจ้า ตระกูลโต้วเอาไปเป็นของตัวเอง เจ้าเต็มใจหรือ”
“นั่นไม่ใช่ของข้า เหตุใดต้องไม่เต็มใจ”
แล้วผลเป็นเช่นไรเล่า
เรือนไท่ผิงที่แต่เดิมเป็นที่ตั้งเก่าของเรือนนางฟ้านั้นกิจการรุ่งเรือง
ตอนนี้ร้านอาหารยอดนิยมและร้านอาหารบ้านๆ ต่างทำสุขใจไร้กังวลได้ ล้วนเป็นฝีมือนางกระมัง
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่พวกเขาทำ แย่นัก น่าเสียดายอาหาร ข้าเพียงแค่ชี้แนะเล็กน้อย หากคนทั้งโลกได้ลิ้มลอง รสชาตินั้นถึงจะเรียกว่าอร่อย”
หากคนทั้งโลกได้ลิ้มลองอย่างนั้นรึ เฮอะ ที่แท้ก็หมายความว่าเช่นนี้นี่เอง
คนผู้นี้มักจะเล่นคำกำกวม หลอกให้คนดีใจ! คนโกหก!
ช้าก่อน เช่นนั้นสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่ ก็ไม่ควรเชื่อแล้วสิ
คราวนี้หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะรักษาขาของเจ้า
ท่านชายโจวหกพยายามทวนประโยคนั้นซ้ำๆ ในใจ เน้นย้ำทีละคำ ดูว่ามีข้อผิดพลาดใดหรือเปล่า
หลังจากประโยคนั้นพูดออกไป ท่านชายโจวหกก็เอาแต่นิ่งเหม่อลอย เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้สนใจ ท่านชายฉินเองก็เช่นกัน ก่อนจะเข้ามาที่ห้องโถงโดยมีบ่าวคอยพยุง
“แม่นาง สิ่งที่เจ้าพูด ช่างล่อตาล่อใจเหลือเกิน” ท่านชายฉินยิ้มเอ่ย “เหมือนกับบอกคนที่กำลังจะตายว่า ข้าจะให้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิต อย่าว่าแต่จะขอให้เขาช่วยเลย หากเจ้าต้องการให้เขาฆ่าคน เขาก็ไม่ลังเลที่จะแทงคนคนนั้นแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงแล้วมองไปที่เขา
“เช่นนั้น ท่านจะทำไหม” นางถาม
“แน่นอน” ท่านชายฉินเอ่ยอย่างไม่ลังเล
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม
“นั่นสินะ ไม่ว่ายามใด พวกเราต้องรักตัวกลัวตายก่อนอยู่แล้ว” นางเอ่ย
ท่านชายฉินพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าขอดื่มให้กับแม่นาง” เขาเอ่ยพลางรับชาจากสาวใช้ ก่อนจะยกขึ้นดื่มด้วยความเคารพและวางแก้วชาลง “เช่นนั้นครั้งนี้ ลงมือกับคนแซ่หลิวนั่นก่อนใช่ไหม”
“โต้วชีนั่นเล่า” ท่านชายโจวหกถามพลางเดินเข้าประตูมาจากข้างนอก
“ตีให้ตายก็สิ้นเรื่อง”
เสียงหญิงชายพูดขึ้นพร้อมกัน
ท่านชายโจวหกมองทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันอย่างหมดคำพูด
อย่าได้สนใจหญิงผู้นี้เลย ไม่รู้ว่ามีกี่ชีวิตแล้วที่อยู่ในมือของนาง ทว่าชายสิบสามก็เล่นกับนางด้วยหรือนี่!
เขามองท่านชายฉิน ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงบริสุทธิ์และอบอุ่นเช่นเคย รอยยิ้มดุจดั่งสายลมในวสันต์ฤดู แต่หากมองอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่าดวงตาของเขาสดใสกว่าเดิมนัก ดูเหมือนว่ามีเปลวไฟริบหรี่กำลังค่อยๆ ลุกโชนขึ้นในนั้น
เหมือนกับที่เขาพูดเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ
เหมือนกับการบอกคนที่กำลังจะตายว่า ข้าจะให้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิต อย่าว่าแต่จะขอให้เขาช่วยเลย หากเจ้าต้องการให้เขาฆ่าคน เขาก็ไม่ลังเลที่จะแทงคนคนนั้นแล้ว
เขามักจะบอกให้ปล่อยวางอยู่เสมอ อันที่จริงสุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้
เป็นเพราะเขาไม่อาจปล่อยวางได้ หรือว่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้กันแน่ ที่คอยยั่วยุจิตใต้สำนึกที่เขาลืมเลือนไปแล้ว
ฆ่าคนอย่างนั้นรึ…
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับเบี้ยเล็กๆ พวกนั้นหรอก” ท่านชายฉินเอ่ย พลางมองท่านชายโจวหก
ท่านชายโจวหกไม่ได้พูดอะไร นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง
“ไม่เกินสิบวันท่านพ่อของข้าก็จะกลับมาแล้ว” เขาเอ่ย “ยังพอมีเวลาไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ไม่มีเวลาแล้ว” นางเอ่ย “ต้องทำให้เสร็จก่อนท่านพ่อของเจ้าจะกลับมา”
ว่าอย่างไรนะ
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
“ผู้หญิงคนนี้นี่ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องง่ายดั่งเช่นการฆ่าอันธพาลสองสามคนอย่างนั้นหรือ” เขาตะคอก “จนถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังใช้อารมณ์อยู่อีก! เมื่อก่อนท่านพ่อของข้าดูถูกเจ้า ไม่เหลียวแลเจ้า นั่นเป็นเพราะ…ไม่เห็นว่าเจ้าเป็นญาติร่วมสายเลือดของตระกูลโจว แต่ตอนนี้ ต่างออกไป เอาละ แม้ว่าคำพูดจะไม่น่าฟังและไร้หัวใจ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้เจ้ามีประโยชน์แล้ว เจ้าไม่ใช่คนบ้า แน่นอนว่าเจ้าเป็นญาติทางสายเลือดของตระกูลโจว พ่อของข้าจะไม่มีวันนิ่งดูดาย…อาจจะดุสองสามคำ แต่เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าแน่นอน”
เขาพูดจบในอึดใจเดียว ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
ถูกต้อง เป็นเช่นนี้นี่แหละ เพราะแต่ก่อนนางไร้ประโยชน์ ไม่มีค่าสำหรับตระกูลโจว จึงทอดทิ้งไม่ใยดี ไม่สงสารแต่อย่างใด ทว่าตอนนี้นางมีประโยชน์แล้ว ดังนั้นตระกูลโจวอย่างพวกเขาจึงเอาแต่คิดที่จะปกป้อง
แม้ว่าจะไม่น่าฟังนัก แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น หญิงสาวนั้นเข้าใจความเป็นจริงตั้งนานแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็ได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงเสียที
“ใช้อารมณ์อย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยปาก ก่อนส่ายหน้า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วมองนาง
“เรื่องนี้ ท่านพ่อเจ้าช่วยข้าไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายโจวหกตะลึง สีหน้าพลันแดงก่ำ
ว่าอย่างไรนะ…
“เขาไม่กลับมา นี่ถึงจะเป็นโอกาสดีที่สุด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะมองท่านชายฉิน “ตอนนี้ราชเลขาหลิวคิดว่านายใหญ่โจวอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทุกอย่าง หลังจากสร้างสถานการณ์ให้ตกใจกลัว ก็คงไม่เคลื่อนไหวอีก รอแค่เพียงนายใหญ่โจว
กลับมา ช่วงเวลานี้กลับเป็นช่วงที่ปลอดภัยและง่ายดายกับพวกเรามากที่สุด”
ท่านชายฉินพยักหน้า
“ถูกต้อง ราชเลขาหลิวผู้นี้ เป็นคนที่รอบคอบเช่นนี้นี่ละ” เขาเอ่ย
“ดังนั้นนี่จะเป็นโอกาสของพวกเรา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินยิ้ม
“พวกเรา ข้าชอบคำนี้นัก” เขาเอ่ย
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร” ท่านชายโจวหกถามขึ้นขัดจังหวะเขา
“ต้องเย่อหยิ่ง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ เย่อหยิ่งอย่างนั้นหรือ
ช่วงเวลาใกล้เที่ยง บนถนนร้อนระอุ เหล่าผู้คนที่รักความเย็นสบายต่างเบียดเสียดกันเข้ามาในร้านอาหาร
สองสามวันนี้มีลูกค้าเข้ามาในเรือนนางฟ้ามากมาย คนสั่งนางฟ้าผ่านทางมีไม่มากแล้ว และเริ่มขายอาหารปกติทั่วไปของร้านอาหาร
โต้วชีส่องกระจกพลางทัดดอกไม้ที่เพิ่งตัดมาใหม่ หางตาก็เหลือบมองห้องโถงใหญ่ผ่านหน้าต่างเป็นครั้งคราว
“เห็นไหม ตัวซวยไปแล้ว กิจการก็ดีขึ้นเยอะ” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลร้านทึ้งหัวคิดแล้วคิดอีก จะเก็บไว้ในใจดีหรือพูดออกไปดี แต่ที่แน่ๆ เขาจะทำให้เถ้าแก่โมโหอีกไม่ได้
“ขอรับ ขอรับ รอให้จัดการเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว กิจการก็ยิ่งจะดีกว่านี้” เขายิ้มพลางพูดเออออตาม
โต้วชีประคองหมวกพลางยิ้ม ก่อนจะหันมามองห้องโถงในกระจก เพิ่งพูดไปได้เพียงไม่กี่คำ จู่ๆ ก็รู้ประหลาดชอบกลขึ้นมาในทันใด
ภาพห้องโถงในกระจกเงาเหมือนกับกำลังจะเริ่มปั่นปวน หลังจากนั้นใบหูก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาบ
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้กระจกอย่างอดไม่ได้ จ้องมองภาพชายหนุ่มสองสามคนที่ถือไม้กระบองในนั้น
“ตีให้หมด! ฟาดให้ยับ!”
ไม้กระบองหลายอันฟาดลงไปอย่างแรง โต๊ะหลายตัวล้มไม่เป็นท่า อาหารมากมายหกกระจาย ลูกค้าที่นั่งอยู่ต่างพากันกรีดร้องวิ่งพล่าน ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนวิ่งหน้าตั้งออกไปทางประตู
“พวกเจ้าเป็นใคร” เหล่าคนงานในร้านมองชายฉกรรจ์สี่ห้าคนตรงหน้า พร้อมกับเดินถอยหลังพลางตะโกนร้อง
“เรียกโต้วชีออกมา!”
คนเหล่านี้ไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขา ทว่าเอาแต่ตะโกน ยกไม้กระบองขึ้นพร้อมเดินเข้ามาใกล้
เหล่าคนงานของร้านกุมหัววิ่งหนีกันอุตลุด
“พวกเจ้าเป็นใคร กลับไปเดี๋ยวนี้!” โต้วชีรีบเดินออกมาจากด้านใน เลิกคิ้วพลางคำราม พร้อมกับยกมือขึ้นเรียก “เรียกคนออกมา เรียกออกมา”
“เรียกผู้ใดกัน เจ้าคือโต้วชีสินะ ให้ตายเถิด แต่งตัวอย่างกับสาวน้อย…” สวีปั้งฉุยเอ่ย มองชายหนุ่มตรงหน้า พลางแสยะยิ้ม “คนของพวกเจ้ามาขี้เยี่ยวรดบนเรือนไท่ผิงของข้า ยังไม่รู้อีกหรือว่าพวกข้าเป็นใคร”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบก็โยนกระบองในมือตรงออกไป
โต้วชีหลบไม่ทัน กระบองอันหนึ่งกระทบโดนไหล่ ร่างกายล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
สวีปั้งฉุยเห็นโต้วชีโหยหวนนอนกลิ้งอยู่บนพื้น จึงถ่มน้ำลายอย่างไม่แยแส
“ถุย เจ้าเอามือคนอื่นไปข้างหนึ่ง ข้าก็จะเอาแขนเจ้าไปข้างหนึ่งเช่นกัน ยุติธรรมดี!” เขาเอ่ยด้วยความเกลียดชัง
………………………….