“ใต้เท้า ใต้เท้า ทำอย่างไรดีขอรับ”
ผู้ดูแลร้านตะโกนถามอย่างร้อนรน
“เถ้าแก่ถูกคนพวกนั้นพาตัวไปที่ศาลาว่าการแล้ว”
เขามองสีหน้าไร้ความรู้สึกของชายตรงหน้า ราวกับว่าจะไม่ได้ยินสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่
“ใต้เท้าหลิว…” ผู้ดูแลร้านเดินไปใกล้อย่างอดไม่ได้
ราชเลขาหลิวมองตรงมาทันที ดวงตาจับจ้องมาที่เขา
ผู้ดูแลร้านรีบหลบตา ไม่กล้าขยับเขยื้อน
“เจ้าบอกว่าคนของเรือนไท่ผิงมาทำร้ายโต้วชีหรือ” ราชเลขาหลิวถาม
“ใช่ขอรับ เมื่อครู่มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาก่อเรื่องที่เรือนนางฟ้าของเรากลางวันแสกๆ แถมยังทุบตีเถ้าแก่ ทางการได้ตรวจดูบาดแผลแล้ว พบว่าแขนหักขอรับ” ผู้ดูแลร้านบอกอย่างร้อนรน
“พวกเขาพูดว่าอะไร” ราชเลขาหลิวเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“บอกว่า เรือนไท่ผิงเจอพวกอันธพาลแล้วก็…” ผู้ดูแลร้านรีบเอ่ยปาก
ราชเลขาหลิวยกมือขึ้นขัดจังหวะเขา
“ไม่ได้บอกให้เจ้าพูด” เขาเอ่ย พร้อมกับมองผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หวงซื่อที่ไปศาลาว่าการมาหรือยัง”
ผู้ติดตามออกไปถามคนข้างนอก ไม่นานก็พาคนเข้ามาคนหนึ่ง
“โต้วชีถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ หมอบอกว่าแขนใช้การไม่ได้แล้วขอรับ” คนที่เข้ามาที่หลังเอ่ยขึ้น
พูดถึงเพียงเท่านี้ ผู้ดูแลร้านร่ำไห้อย่างโศกเศร้า
“ใต้เท้า แขนของเถ้าแก่!” เขาร้องตะโกน
“ก็แค่แขนจะเป็นอะไรไปเล่า” ราชเลขาหลิวส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นขัดเขา “เขาไม่ใช่พ่อครัว แล้วก็ไม่ได้ใช้แขนทำมาหากิน เจ้าจะร้องไห้ทำไม ยังไม่ตายเสียหน่อย ไม่ได้เสียอะไรไปสักหน่อย!”
หา เป็นเช่นนั้นหรือ ผู้ดูแลร้านไม่กล้าคร่ำครวญอีกต่อไป ก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย
“พวกเขาอาละวาดในศาล ยืนกรานว่าเรื่องที่อันธพาลอาละวาดที่เรือนไท่ผิง และเรื่องที่หลี่ต้าเสามือขาด โต้วชีเป็นคนอยู่เบื้องหลังทั้งหมด จึงได้มาแก้แค้น” ผู้ติดตามเอ่ยต่อ “เจ้าเมืองจิงเจ้าถามว่ามีหลักฐานอะไรหรือไม่ แต่พวกเขาให้หลักฐานอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ยืนยันว่าโต้วชีเป็นคนทำ จึงถูกเจ้าเมืองสั่งตัดสินขังคุก ใต้เท้า นี่เป็นการแก้แค้นส่วนตัวชัดๆ ขอรับ”
“ใต้เท้า ใต้เท้า พอดีเลยขอรับ พอดีเลยขอรับ เข้าคุกไปแล้ว ให้พวกเขาแข็งตายอยู่ในคุกนั่นแหละ!” ผู้ดูแลรีบตะโกนขึ้นตาม
ราชเลขาหลิวขมวดคิ้ว
จริงอยู่ หากก่อเรื่องในเวลาเช่นนี้ เท่ากับรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
แก้แค้นโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ก่อเรื่องในที่สาธารณะ คือการแทงตัวเองชัดๆ
ไม่ต้องให้เขาออกหน้า เจ้าเมืองจิงเจ้าก็ส่งพวกเขาเข้าคุกได้เลย หากเข้าคุกแล้ว จะถูกใครหน้าไหนมาบั่นคอก็ได้ไม่ใช่หรือ
โง่เขลาเกินไปแล้วกระมัง
“เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นกระมัง” เขาเอ่ย
เขาเป็นคนรอบคอบ และรู้ว่ามนุษย์โลกต่างมีด้านมืดในจิตใจ ดังนั้นไม่ว่าจะเจอเรื่องราวแบบใด คนประเภทไหน เขาล้วนคาดเดาไปในแง่ร้ายที่สุดมาโดยตลอด เดาใจผู้คนจากด้านที่มืดบอดที่สุด
อันที่จริง เรื่องก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ
ผู้ที่เคารพและเป็นมิตรต่อหน้าเขา ลับหลังก็สามารถวางแผนกับคนอื่นเพื่อให้ตนเป็นแพะรับบาปได้
แน่นอนว่า คนที่เป็นมิตรกับเขาเพียงต่อหน้า ต่างกลายเป็นแพะรับบาปและบันไดให้เขาเหยียบขึ้นไป
บนโลกนี้ไม่มีคนดี ไม่มีสหาย มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น
คนของเรือนไท่ผิงมาทำร้ายโต้วชีอย่างเปิดเผย เป็นเพียงเพราะต้องการแก้แค้นตามที่พวกเขาบอก หรือมีแผนการอื่นแอบแฝงอยู่กันแน่
นี่เป็นแผนการของตระกูลโจวที่จะต่อกรกับเขาหรือ
ขณะกำลังใคร่ครวญอยู่นั้นเอง ก็มีบ่าววิ่งเข้ามาจากนอกประตู
“ใต้เท้า ใต้เท้า คนจากเรือนอำมาตย์เฉินมาขอพบขอรับ” เขาชูป้ายชื่อขึ้นพลางเอ่ย
ดูสิดู เคลื่อนไหวกันเร็วเชียว
ราชเลขาหลิวสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย
เรื่องแผนกำจัดนายใหญ่โจว ไม่ช้าก็เร็วก็คงสืบรู้จนถึงหูพวกเขาแน่ แม้ว่าเขาจะระแวดระวังตัวแค่ไหน แต่หากพวกเขาตั้งใจจะสืบ ก็สืบได้อยู่วันยังค่ำ อีกอย่างเขาเองก็ไม่ต้องการปิดปังมันตลอดไป เดิมทีเขาแค่อยากเชือดไก่ให้ลิงดู เมื่อไก่ตาย
ลิงก็กลัว หากไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร เช่นนั้นก็เสียแรงเปล่าน่ะสิ
เขาเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ในหัวอีกครั้ง เชื่อมั่นว่าเหตุผลในการกำจัดนั้นสมเหตุสมผล หากจะต้องรายงานกับฮ่องเต้
เขาก็คิดว่าน่าจะพอถูๆ ไถๆ ไปได้ อำมาตย์เฉินนั้นตำแหน่งสูงกว่าเขามาก แต่มีอะไรที่ต้องกลัวกันเล่า
ตราบใดที่อยู่ในแวดวงขุนนางแห่งนี้ จะมีผู้ใดสะอาดบริสุทธิ์หมดจดกัน
ตระกูลเฉินปล้นทรัพย์สินและที่ดินของบรรพบุรุษมาไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตถงที่มีเรื่องทรามๆ มานับไม่ถ้วน
หากพวกเขาคิดว่าตนที่เป็นคนซื่อสัตย์แล้วจะกดขี่ผู้อื่นสักเล็กน้อยก็คงไม่เป็นไร เช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี
รอยยิ้มที่คุ้นเคยของราชเลขาหลิวปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
“รีบเชิญมาที่นี่” เขาพูด
รถม้าหยุดอยู่หน้าเรือนนางฟ้า
เรือนนางฟ้าปิดแล้ว ในเวลานี้มีเพียงประตูสองบานเท่านั้นที่เปิดอยู่
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด” ท่านชายฉินสิบสามรั้งท่านชายโจวหกไว้ก่อนจะเอ่ยถาม
ท่านชายโจวหกหันกลับมาถลึงตาใส่เขา
“เจ้าสนใจชีวิตของคนเหล่านั้นดีกว่า” เขาเอ่ย “พวกเขากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำเช่นนั้น คุกของเมืองจิงเจ้าเต็มไปด้วยความมืดมน ชีวิตและความตายห่างกันแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น”
“ไม่ต้องห่วง นั่นไม่ใช่ชีวิตของพวกเขา แต่เป็นชีวิตของข้า” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
ท่านชายโจวหกมองเขาแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะหันหลังแล้วลงจากรถไป
ขณะเดียวกัน เฉิงเจียวเหนียงก็ลงจากรถโดยมีสาวใช้คอยพยุง
ทั้งสองคนสบตากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนจะก้าวเข้าไป
ภายในมีคนงานสองสามคน และผู้ดูแลร้านอาวุโสคนหนึ่งกำลังจัดโต๊ะ เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาก็วางงานในมือลง
“วันนี้เราไม่เปิดร้าน” ผู้อาวุโสยิ้มพลางเอ่ย
ท่านชายโจวหกมองไปที่ชายชรา หน้าตาดูมีเมตตา เอ่ยวาจาอ่อนโยน สวมเสื้อผ้าคล้ายๆ กับเหล่าคนงาน
“พวกเราไม่ได้มากินข้าว” เขาพูด
“อย่างนั้นหรือ” ชายชรามองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านชายโจวหก ข้าขอพูดตรงๆ สักหน่อย ก่อเรื่องที่จับมือใครดมไม่ได้เช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา แม้จะบอกว่าแวดวงเดียวกันคือศัตรู แต่หากทำเช่นนี้ต่อไป จะเจ็บทั้งสองฝ่าย คนที่ยืนมองอยู่นอกวงต่างหากที่ชอบใจ”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลังเดินก็ก้าวล้ำมาข้างหน้า
“ใช่” นางเอ่ยก่อนจะคำนับให้ “ขอบคุณใต้เท้าหลิวที่ยอมพบ”
ใต้เท้าหลิวหรือ
ท่านชายโจวหกผงะเล็กน้อย ก่อนจะพินิจชายชราผู้นี้
ราชเลขาหลิวเป็นคนติดบ้านไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน แม้จะอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี ก็ประหนึ่งไม่มีตัวตน
อีกทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋นและขุนนางฝ่ายบู๊ก็มีหน้าที่ต่างกัน แต่เขากลับไม่เคยเห็นคนหนุ่มผู้นี้มาก่อน
ที่แท้ก็หน้าตาธรรมดาไม่ดึงดูดสายตาถึงเพียงนี้เชียวหรือ มิน่าเล่าถึงได้ไม่เตะตา…
คำที่บอกว่า ‘หมาเห่าไม่กัด หมาที่กัดมันไม่เห่า’ พูดไว้ได้ถูกต้อง
ผู้อาวุโสอมยิ้มพลางมองเฉิงเจียวเหนียง แม่นางผู้นี้เป็นสาววัยแรกแย้ม ร่างกายผอมบาง แลดูบอบบางนัก
ทว่าท่าทางอ่อนโยน ดวงหน้างดงาม เพียงแต่คิ้วดูผิดแปลกไป มองแวบแรกก็ดูไม่คุ้นตา มองอีกครั้งก็ดูเย็นชา
นี่ก็คือเด็กบ้าแห่งเจียงโจวสินะ…
เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่เชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆ ล้วนอนิจจัง ต้องระวัง อย่าประมาท
คนบ้าผู้นี้เคยสติไม่สมประกอบจริงๆ แต่ตอนนี้ก็หายดีแล้วจริงๆ คงต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับนางจริงๆ เป็นแน่
เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“หามิได้ หามิได้” เขาพูดพลางวางผ้าเช็ดโต๊ะในมือลง แล้วหันเข้าไปด้านใน “เข้ามานั่งข้างในเถิด”
อีกด้านหนึ่ง นายใหญ่เฉินกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วหรือ” เขาถาม “เหตุใดถึงไปข้องเกี่ยวกับคนแซ่หลิวนั่นได้”
เฉินเซ่าถอนหายใจ
“กุยเต๋อหลางเจียงถูกลดตำแหน่ง พ่อครัวของเรือนไท่ผิงถูกคนชั่วลอบทำร้าย เรือนนางฟ้าถูกคนมาดักตีกลางวักแสกๆ” เขาเอ่ย
นี่มันเรื่องวุ่นวายอะไรกันไปหมด…
นายใหญ่เฉินยกมือขึ้นนวดขมับ
“พูดง่ายๆ ก็คงเป็นเรื่องเดิม” เขาเอ่ย “ตอนนี้ราชเลขาหลิวโลภมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“ท่านพ่อจะบอกว่า เรื่องครั้งก่อนเป็นฝีมือของคนแซ่หลิวหรือ” เฉินเซ่าถาม
“ครั้งก่อนไม่แน่ แต่ครั้งนี้ใช่แน่นอน” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางยิ้ม “ชีวิตของราชเลขาหลิวราบรื่นมานานเกินไป นับวันยิ่งอาจหาญขึ้นเรื่อยๆ”
“เช่นนั้นแม่นางเฉิงจะทำอย่างไร” เฉินเซ่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถาม “อย่าบอกนะว่าจะฆ่าทิ้ง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็หลุดหัวเราะออกมา
นั่นเป็นถึงราชเลขาแห่งหออาลักษณ์ลับ เป็นชนชั้นสูง ต่อให้ฮ่องเต้อยากจะสั่งประหารก็ยังไม่อาจทำได้
แต่ท่านใหญ่เฉินไม่ได้หัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือลูบเครา
“แม่นางเฉิงผู้นี้น่ะ…” เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ชีวิตนางไม่ง่ายเลย มักจะประสบพบเจอเรื่องยุ่งยากต่างๆ เจ้าดูสิ นางแค่เปิดร้านอาหาร สุดท้ายกลับต้องเจอความยากลำบากเพียงนี้”
“บนโลกนี้ก็มีแต่ความยากลำบากทั้งนั้น จะราบรื่นได้อย่างไร” เฉินเซ่ายิ้มพลางเอ่ย
“ดังนั้น คนเราไม่อาจหลีกหนีปัญหาได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันทั้งนั้น” ท่านใหญ่เฉินเอ่ย
“ท่านพ่อจะบอกว่า ครั้งนี้นางจะลงมือกับราชเลขาหลิวจริงๆ หรือ” เฉินเซ่าผงะ ก่อนจะเอ่ย “นะ นางจะทำอะไร”
นั่นคือขุนนาง! ขุนนางแห่งเมืองหลวง! ขุนนางอาวุโสแห่งเมืองหลวงมาหลายสิบปีเชียวนะ!
“นางจะทำอะไร ทำอย่างไร ข้าไม่รู้” นายใหญ่เฉินยิ้มพลางส่ายหัว “หญิงผู้นี้ เวลาทำอะไรดูเหมือนจะมีกฎ ทว่าไม่มีเกณฑ์ คาดเดาอะไรไม่ได้เลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจ ครั้งนี้ราชเลขาหลิวคงถึงคราวพินาศแล้วละ”
“เช่นนั้นเราควรทำอะไรบ้าง” เฉินเซ่าเอ่ย “นางบอกให้ข้าเป็นคนติดต่อ เป็นตัวกลางให้ได้พบกับราชเลขาหลิว ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก”
“ไม่ต้อง แม่นางผู้นั้นเวลาทำอะไรล้วนมีขอบเขต ถึงเวลาที่ต้องพูดนางจะพูดเอง ตอนที่ไม่ได้พูด เจ้าไม่ต้องพูด เดี๋ยวจะผิดแผนนางได้” ท่านใหญ่เฉินเอ่ย
เฉินเซ่าพยักหน้า
“แต่เราอาจจะคิดมากไป” เขานึกอะไรบางอย่างจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่แน่ว่านางอาจจะไกล่เกลี่ยกับราชเลขาหลิวก็เป็นได้ นี่ก็เป็นการปกป้องตัวเองเช่นกัน”
อย่างนั้นหรือ
ท่านใหญ่เฉินลูบเครา ทว่าไม่ได้พูดอะไรต่อ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เรื่องมาถึงจุดนี้คงหาคนกลางมาไกล่เกลี่ยแล้ว อย่างไรก็ตามการป้องกันตนเองของคนอื่นอาจยอมถอย หรือไม่ก็ยอมเจ็บตัว หญิงผู้นี้เก่งนักเรื่องการป้องกันตัว เรื่องอันธพาลคราวก่อน นอกจากนางจะไม่ได้หลบเลี่ยงหรือยอมถอยแล้ว ในเมื่อกล้าข่มขู่นาง นางก็กล้าที่จะสังหารให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เช่นนั้นคนที่เคยกัดนางครั้งหนึ่งแล้ว นางจะปล่อยไปหรือ
ราชเลขาหลิวนั่งลงนั่งอยู่ในห้องปีกข้างของของเรือน หลังจากที่เฉิงเจียวเหนียงและท่านชายโจวหกคำนับเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ยิ้มพลางเอ่ยปากขึ้น
“ได้ยินชื่อเสียงแม่นางเฉิงมานาน ไม่มีโอกาสได้พบหน้าเลยสักครั้ง ต้องขอบคุณอำมาตย์เฉินมากที่แนะนำให้ เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเฮอะ แล้วมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
“เรื่องที่เจ้าทำงามหน้าไว้! ยังไม่รีบพูดอีก!” เขาตะคอก
ราชเลขาหลิวตกใจ
“ใต้เท้าหลิว เรื่องเป็นเช่นนี้…” เฉิงเจียวเหนียงคำนับราชเลขาหลิวอีกครั้งหนึ่ง “เรือนไท่ผิงเป็นของข้า คนทั้งตระกูลของท่านลุงข้าไม่ได้รู้เรื่องด้วย”
ว่าอย่างไรนะ
ราชเลขาหลิวขมวดคิ้ว
“ใต้เท้าหลิว” เฉิงเจียวเหนียงหมอบอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกขึ้น น้ำเสียงของนางแหบพร่า “เรื่องราวใหญ่โตมาถึงเพียงนี้
ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์ที่ข้าเก็บมาระหว่างทางพวกนั้น จะทำตัวราวกับอันธพาล เพราะหลี่ต้าเสาคิดว่าเถ้าแก่โต้วเป็นคนมาทำร้าย ข้าก็อยากข่มขู่เถ้าแก่โต้วสักเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นจะเล่นแรงถึงเพียงนี้…”
ราชเลขาหลิวหัวเราะเสียงแห้ง ลูบเคราไม่ได้เอ่ยอะไร
มาคราวนี้ก็เพื่อมาก้มหัวยอมรับผิดและไกล่เกลี่ยอย่างนั้นหรือ กล้าที่จะทำเรื่องเช่นนีได้ มีหรือจะไม่กล้าก่อเรื่องอีก
“ใต้เท้าหลิว ท่านลุงของข้าใกล้กลับมาแล้ว หากเขารู้ว่าข้าก่อเรื่องพรรค์นี้ ข้าจะต้องถูกไล่กลับไปที่เจียงโจวเป็นแน่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถึงตรงนี้ จึงเงยหน้าขึ้น “ใต้เท้าหลิว ข้าอุตส่าห์ตั้งตัวในเมืองหลวงได้ ข้าไม่อยากให้มันหายไปในชั่วพริบตา”
………………………………..