ไม่ลงรอยกันกับตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเด็กบ้าแห่งเจียงโจวอย่างนั้นหรือ

จะตลกเกินไปแล้วกระมัง

“เรื่องนี้ต้องโทษข้า” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ตอนนั้นเป็นข้าเองที่พานางไปที่เรือนนางฟ้า กลับกลายเป็นว่านางและเถ้าแก่โต้วต้องมาบาดหมางกันเพราะนางฟ้าผ่านทาง”

พูดถึงเพียงเท่านี้เขาหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง สีหน้าแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองอยู่ในที

“คิดไม่ถึงว่านางแอบวางแผนสร้างเรือนไท่ผิง ช่างเก่งกาจเหลือเกิน!” เขากัดฟันพลางเอ่ย

ราชเลขาหลิวหัวเราะเจื่อน

“แม่นางเฉิงเก่งกาจจริงๆ ก็มิใช่เรื่องแปลกหรอก หากเป็นคนอื่นก็ไม่อาจตั้งร้านนี้ขึ้นมาได้ เจ้าดูโต้วชีสิ คนไม่เอาถ่าน

มีคนในตระกูลวางรากฐานให้ ทั้งยังโชคดี มีเรือนนางฟ้าเสียเปล่า ทว่านางฟ้ายังไม่อยากอยู่เลย” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย

ในสายตาของผู้อื่น สถานการณ์เช่นนี้คงคิดว่าคนที่ไม่พอใจคือชายหนุ่มและหญิงสาว ส่วนชายชราใจดีคนนี้กำลังปลอบโยนและเกลี้ยกล่อม

“ความสามารถบางอย่างกลับให้โทษมากกว่าคุณประโยชน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ท่านชายโจวหกเอ่ย พร้อมกับมองไปทางราชเลขาหลิว “ใต้เท้า ข้าไม่ขอปิดบังท่าน จนถึงตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่และคนในตระกูลก็ยังไม่รู้เรื่องเลย”

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ทำไม่ถูกแล้ว” ราชเลขาหลิวเอ่ยอย่างนุ่มนวล ประหนึ่งผู้อาวุโสที่มีเมตตากำลังปลอบใจ “พ่อแม่ก็คือพ่อแม่อยู่วันยังค่ำ จะปิดบังได้อย่างไร มีเรื่องอะไรก็พูดออกมา ด้วยกันคิดแก้ปัญหาสิ”

“หากพวกเขาช่วยข้าแก้ปัญหาได้ ข้าจะเป็นเช่นนี้หรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“หุบปาก! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเจ้าคิดอยากจะทำอะไรอีก” ท่านชายโจวหกตะคอก

ราชเลขาหลิวถอนหายใจ

“อย่าทะเลาะกันเลย” เขาลุกขึ้นพลางยื่นมือออกมาเอ่ยปลอบใจ น้ำเสียงเจือความกังวลของผู้อาวุโส “มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาก่อนจะคำนับอีกครั้ง

“ใต้เท้าหลิว ข้าเป็นคนสอนสูตรนางฟ้าผ่านทางให้แก่เขา แต่เขาดูแลกิจการไม่ดี เป็นความผิดของเขาตั้งแต่แรก แต่กลับมาวางแผนลอบทำร้ายข้า ใต้เท้าหลิว แม้เขาจะเป็นหลานบุญธรรมของท่าน ข้าก็ยังอยากจะพูดเช่นนี้” นางเอ่ย “หลานบุญธรรมเช่นนี้ ทำลายเกียรติของท่านจริงๆ”

ราชเลขาหลิวหัวเราะ

“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เมื่อทำผิดแล้ว ข้าจะสั่งสอนเขาเอง เพียงแต่…” เขาเอ่ย “จะเชื่อคำคนนอกที่ว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เราต้องมีหลักฐานใช่ไหม”

“หลักฐานอยู่ในใจคน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“เช่นนั้นวันนี้ทั้งสองท่านจะมาถามใจของข้าผ่านทางใต้เท้าเฉินอย่างนั้นหรือ” ราชเลขาหลิวถามพลางอมยิ้ม

เขาเน้นหนักตรงคำว่าใต้เท้าเฉิน

ทั้งสองคนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังลังเล

“พวกเรามาเพื่อขอโทษใต้เท้าหลิว” ท่านชายโจวหกเอ่ย “และได้โปรดเมตตาให้อภัยเรื่องนี้ด้วยเถิด”

ราชเลขาหลิวหัวเราะ

“พวกเจ้านี่เด็กจริงๆ” เขาเอ่ยพร้อมกับสั่งสอนอย่างจริงใจอีกครั้ง “หากกลัวว่าพ่อแม่ของพวกเจ้าจะดุด่า สิ่งที่ควรจะทำก็คือไปสารภาพผิด รู้ว่าผิดก็ควรปรับปรุงตัวนั้นถือว่าดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องกลัว หากเป็นห่วงคนที่ถูกทางการจับตัวไป พวกเจ้าก็ไปที่ศาลาว่าการ บอกสาเหตุของการกระทำ ให้ท่านใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นผู้ตัดสิน แล้วก็นี่เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทในตลาด

หากต้องการถอนคดี ควรไปหาโจทก์ หากโจทก์ไม่เอาความ ก็ถือว่าเป็นอันจบ”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไร โจทก์ถึงจะไม่เอาความ” ท่านชายโจวหกถาม

ราชเลขาหลิวส่ายหน้าพลางยิ้ม

“เรื่องนี้ พวกเจ้าต้องไปถามโจทก์เอง” เขาเอ่ยอย่างใจดี ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าแม่นางเฉิงเป็นศิษย์ของนักพรตหลี่ตัวจริง มีวิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพ ส่วนเรื่องต่อแขนขาที่เคยขาดให้กลับมาใหม่เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นนั้นก็ไปรักษาแขนของเขาเสียสิ แค่นี้ทุกอย่างก็หายกันแล้วไม่ใช่หรือ”

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด

“ลูกศิษย์ตัวจริงอะไรกันเล่า!” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง หยิบถุงเครื่องหอมปักลายดอกไม้ที่นำติดตัวมาออกมาในทันทีก่อนจะยื่นให้เขา

“อันที่จริงไม่ใช่นักพรตหรอก” นางเอ่ย “เป็นคนอื่น เขารักษาอาการป่วยของข้าให้หายดี ทั้งยังสอนวิชานี้ให้กับข้าอีกด้วย”

ราชเลขาหลิวมองอย่างอยากรู้อยากเห็นพลางพยักหน้า

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เแม่นางเฉิงช่างโชคดีเหลือเกิน” เขาเอ่ยพลางอมยิ้ม ละสายตาออกจากถุงเครื่องหอม ไร้ซึ้งอาการอาลัยอาวรณ์

“ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้กับใต้เท้า ใต้เท้าไปหาหมอสักคนมา แล้วรักษาแขนของโต้วชีตามวิธีที่กำกับไว้ ก็จะหายดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“หะ… เหตุใดถึงให้ข้า” ราชเลขาหลิวผงะ ก่อนจะเอ่ยพลางส่ายหัว “ปมของพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นคนแก้เองจะดีกว่า”

“ข้าสั่งให้คนไปทำร้ายเขา แล้วข้าก็ไปรักษาให้เขา ใต้เท้า นี่ไม่ใช่การแก้ปม นี่เป็นการราดน้ำมันลงบนไฟ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ทว่าท่านต่างออกไป ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของเขา ท่านรักษาให้เขา เขาจะยิ่งซาบซึ้งในตัวท่าน แล้วท่านค่อยออกปากให้พวกเรามาไกล่เกลี่ยกัน เช่นนั้นถึงจะดีที่สุด”

ราชเลขาหลิวยังคงส่ายหัว

“ให้ข้าเป็นคนออกปากเรียกมาไกล่เกลี่ยอย่างนั้นหรือ หากจะให้ข้าเป็นคนพูด เช่นนั้นข้าทำเองก็ได้ แม่นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” เขาเอ่ย

“เพียงแค่พูดไร้ความจริงใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะพึ่งพาตนเอง ดังนั้นจึงไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายเรือนไท่ผิงของข้า แล้วก็ไม่อยากให้ท่านลุงของข้ารู้ แล้วข้าจะถูกจับตัวไปส่งที่เจียงโจว คิดไปคิดมาแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุด และช่วยข้าได้มากที่สุดก็คือใต้เท้าหลิวเองนั่นแล”

เมื่อนางเอ่ยจบก็ยื่นถุงเครื่องหอมออกไปให้อีกครั้ง

“ขอใต้เท้าโปรดสงสารชีวิตอันรันทดของข้าด้วย แม่เสียตั้งแต่เล็ก พ่อไม่เลี้ยงญาติไม่ดูดำดูดี” นางเอ่ย

ท่านชายโจวหกที่นั่งอยู่ด้านข้างใบหน้าเหยเกจนแทบดูไม่ได้ ทว่าก็อดทนไม่พูดอะไร

ราชเลขาหลิวมองสองคนตรงหน้า สุดท้ายสายตาก็ตกลงไปอยู่ที่ถุงเครื่องหอม

“เช่นนั้น ข้าก็จะลองดู” เขาเอ่ย

คราวนี้เฉิงเจียวเหนียงและท่านชายโจวหกรีบคำนับขอบคุณพร้อมกันในทันที

“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา” พวกเขาพูด

“คนหนุ่มอย่างพวกเจ้านี่จริงๆ เลย” ราชเลขาหลิวเอ่ยอย่างจริงจังและจริงใจ “เวลาเจอเรื่องราวใด อย่าได้หุนหันพลันแล่น อย่าปิดบังผู้ใหญ่ เรื่องนี้ข้าจะช่วยพวกเจ้าปิดไปชั่วคราว แต่ยามที่กุ้ยเต๋อหลางเจียงกลับมา พวกเจ้ายังคงต้องบอกเขาให้เข้าใจ เป็นญาติผู้ใหญ่ของตัวเองทั้งนั้น มีอะไรน่ากลัว ต่อให้พวกเขาจะโกรธจะโมโหเพียงใด ก็ต้องปกป้องพวกเจ้าอยู่ดี”

เฉิงเจียวเหนียงและท่านชายโจวหกคารวะขอบคุณอีกครั้ง

เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว ราชเลขาหลิวก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา

“ใต้เท้า ท่านคิดว่าเชื่อได้หรือไม่” คนสนิทคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ก่อนจะเอ่ยถาม

“แค่คุยกันเท่านั้น มีอะไรต้องเชื่อหรือไม่เชื่อ” ราชเลขาหลิวเอ่ย “คนอื่นเขาพูดมา พวกเราก็ฟัง พวกเราพูด คนเขาก็ฟังไม่ใช่หรือ”

“เด็กบ้าเจียงโจวคนนี้ก็ช่างกล้ามาจริงๆ ทั้งยังท่าทีเย่อหยิ่งอีกต่างหาก” คนสนิทเอ่ย

ราชเลขาหลิวยิ้ม

“คนหนุ่มน่ะ จะเย่อหยิ่งเสียหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา” เขาเอ่ย “ไปเถิด ไปสืบดู”

คนสนิทขานรับ ก่อนจะรีบร้อนออกไป

ราชเลขาหลิวก้มหน้ามองถุงเครื่องหอมที่วางอยู่บนเบาะ

เด็กบ้าเจียงโจว…

หากสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง เรื่อนไท่ผิงเป็นของนาง เช่นนั้นการสังหารอันธพาลครั้งก่อนก็เป็นแผนที่นางคิดอย่างนั้นหรือ

เด็กบ้าเจียงโจวตัวดี…

น่าเสียดายนัก หากรู้แต่แรกว่านางฟ้าผ่านทางเป็นของนาง พอโต้วชีเข้าเมืองมา เขาจะได้ไม่ทำตัวเอะอะและรอบคอบมากกว่านี้ หากเป็นเช่นนั้นเงินมากมายที่เข้ากระเป๋าของพระวัดผู้ซิวก็คงจะตกมาเป็นของเขาแล้ว

หากมีความแค้นกันแล้ว ตามกฎและความเคยชินของเขา ล้วนแต่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก แต่เขายังอยากเก็บหญิงผู้นี้ไว้ใช้ประโยชน์

ทว่าก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย แม้คนจะไม่อยู่แล้ว แต่วิชายังคงอยู่

“ใครก็ได้เข้ามาที” ราชเลขาหลิวเอ่ย ก่อนจะยืนตัวตรง

ทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาจากด้านนอก

“เก็บสิ่งนี้ไว้” เขาเอ่ย

บ่าวขานรับ ย่อตัวลงไปรับถุงหอม

“เปิดดูสิ” ราชเลขาหลิวเอ่ย สายตาจับจ้องบ่าว

บ่าวขานรับก่อนจะเปิด

“ใต้เท้า มีเพียงกระดาษใบหนึ่ง” เขาเอ่ยก่อนจะคลี่ม้วนกระดาษในมือ

บนนั้นเขียนตัวอักษรเบียดเสียดกันอยู่เต็มไปหมด บ่าวอ่านไม่ออก จึงเงยหน้าขึ้นมารอคำสั่งของราชเลขาหลิว

ราชเลขาหลิวมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

“เก็บไปเถิด” เขาเอ่ย ก่อนจะก้าวเท้าออกไป “ไปเรียกหมอจันจากอี๋ชุนถังมา”

รถม้าข้ามสะพานอวี้ไต้ เมื่อเห็นเฉิงเจียวเหนียงลงจากรถ ท่านชายโจวหกจึงได้ตามลงมา

“เขาจะเชื่อไหม” สุดท้ายเขาก็ถามออกอย่างอดไปไม่ได้

เฉิงเจียวเหนียงเดินไปยังระเบียงแล้วหันหน้ากลับมา

“ต้องเชื่อแน่นอน” นางเอ่ย “เพราะข้าไม่พูดโกหก”

…………………………..