เสียงคร่ำครวญของโต้วชีดังออกมาจากภายในห้องไม่หยุด

“ท่านปู่ ฆ่าพวกเขาให้ตาย ฆ่าพวกเขาให้ตายเดี๋ยวนี้” เขาร้องตะโกน แต่เพราะขยับกายแรงเกินไปจนสะเทือนถึงแผลที่แขนจนร่ำไห้ออกมา “แขนข้า โอ๊ย”

“พอแล้ว อย่าเพิ่งไปสนใจพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแขนของเจ้า” ราชเลขาหลิวเอ่ย

เหล่าญาติพี่น้องผู้หญิงได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลพราก

“ขอบคุณท่านปู่ที่เป็นห่วง” พวกนางพากันมาก้มกราบพลางเอ่ย

“ข้าเสียแขนไปแล้ว ข้าเสียแขนไปแล้ว” โต้วชียังคงร่ำไห้ไม่หยุด

“มีข้าอยู่ ไม่มีทางเสีย!” ราชเลขาหลิวตะคอกออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่สนเสียงคร่ำครวญของโต้วชีอีกต่อไป ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป

ตรงนั้นมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยกกระดาษขึ้นมา สีหน้าของเขาดูตื่นเต้น ตื่นเต้นเสียจนอยากจะแนบหน้าไปบนนั้น

“หมอจัน เป็นอย่างไรบ้าง” ราชเลขาหลิวถาม

“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ยอดเยี่ยมเหลือเกิน” หมอจันเอ่ยอย่างตื่นเต้น พลางจับกระดาษแผ่นนี้อย่างระมัดระวัง “มีวิชาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือนี่

มีวิชาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือนี่ เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงเลย”

“พูดภาษาคนหน่อย” ราชเลขาหลิวตะคอกขัดจังหวะเขา “ตกลงว่าใช้ได้หรือไม่”

หมอจันได้สติกลับมา

“สิ่งที่วิชานี้ใช้ ข้าไม่เคยใช้เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นรักษาหายได้หรือไม่ ต้องลองสักครั้งถึงจะรู้” เขาเอ่ย

“เช่นนั้นก็ลองเถิด” ราชเลขาหลิวเอ่ย “ที่ให้เจ้ามาก็เพราะเหตุนี้”

หมอจันรีบขานรับ

“บ่าว บ่าว ไปหายา…” เขาตะโกน

ครั้นพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกราชเลขาหลิวถีบมาทีหนึ่ง

“เรื่องพรรค์นี้จะให้คนอื่นไปได้หรือ” เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย

หมอจันได้สติ ก่อนจะกุลีกุจอขอโทษ

“ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าจะไปด้วยตนเอง ข้าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นกระดาษให้อย่างระวัง “ใต้เท้า เก็บไว้ให้ดี”

ราชเลขาหลิวมองกระดาษที่ยื่นมาให้ ทว่าไม่ได้รับไว้

“สิ่งนี้น่ะหรือ ไม่มีปัญหาใช่ไหม” เขาถามทันใด

สิ่งนี้น่ะหรือ

หมอจันก้มมองกระดาษในมือ มีปัญหาหรือ ปัญหาอะไรกัน

“ข้าดมแล้วรู้สึกหอม” ราชเลขาหลิวเอ่ย

หมอจันเข้าใจแล้ว

มีบางคนอาจจะแอบใส่อะไรไว้ในจดหมาย ตอนนั้นมีคนคนหนึ่งส่งหนังสือให้ตระกูลของศัตรู ในหมึกใส่ยาพิษไว้ หลังจากตระกูลศัตรูรับหนังสือและเปิดอ่านก็เสียชีวิต

เขาจึงรีบตรวจสอบกระดาษในมืออีกครั้ง

“ใต้เท้า ไม่มีปัญหา ข้ามีพื้นฐานวิชาแพทย์ ร่ำเรียนการปรุงยามาโดยตรง ไม่มีพิษใดในโลกที่จะหลุดรอดจากสายตาของข้าไปได้” เขาพูดอย่างมั่นใจ ขณะที่สูดดมจดหมายอีกครั้งก็มีกลิ่นหอมจางๆ อยู่จริงๆ “นี่ น่าจะเป็นเพราะถุงเครื่องหอม เหมือนมีกลิ่นหอมของน้ำมันสนผสมอยู่”

“ข้าทิ้งถุงเครื่องหอมนั่นไปแล้ว” ราชเลขาหลิวเอ่ย

“ใต้เท้ารอบคอบอย่างยิ่ง” หมอจันรีบเอ่ยชม

รอบคอบหน่อยก็ดี ราชเลขาหลิวพยักหน้า

“เจ้าวางไว้ตรงนี้เถิด” เขาเอ่ย ยังคงไม่ยื่นมือออกไปรับ “รีบไปเตรียมการรักษาเถิด”

คนที่ชั่วร้ายที่สุดพวกนี้มักจะเป็นคนที่กลัวตายที่สุด

หมอจันคิดในใจพลางยั้งปาก ก้มหัวขานรับ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

หลังจากหมอไปแล้ว ก็มีอีกคนหนึ่งเข้ามา

“ใต้เท้า ไปสืบมาเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา

ราชเลขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะนั่งลง

“ว่ามา” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงกับท่านชายโวหกเคยไปที่เรือนนางฟ้าจริงๆ และยังเคยสั่งนางฟ้าผ่านทางอีกด้วย

เฉิงเจียวเหนียงไม่ลงรอยกับตระกูลโจวจริงๆ

ตอนนั้นที่รักษานายใหญ่เฉินจนหายดีแล้ว ก็ปฏิเสธที่จะกลับไปตระกูลโจว และไปอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง

ท่านชายโจวหกผู้นั้นเคยไปขโมยรถที่หน้าประตูบ้านของตระกูลเฉิน ทำให้ตระกูลเฉินเดือดดาลมาก ดังนั้นทั้งสองตระกูลไม่เคยไปมาหาสู่กัน ตระกูลเฉินต้อนรับเพียงแค่แม่นางเฉิงเท่านั้น

ตอนอยู่ตระกูลโจว เฉิงเจียวเหนียงเลือกกินจุกจิก ทั้งยังเรื่องมากเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สร้างความอับอายให้กับฮูหยินโจวหลายครั้ง เอาดีเข้าตัว พอเจอปัญหากลับผลักภาระไปให้ตระกูลโจว สร้างปัญหาให้ทั้งตระกูลต้องปวดหัว

นางถูกฮูหยินโจวไล่ออกมา…

เสียงร่ำไห้ดังระงมไปพร้อมกับเสียงก่นด่าของโต้วชี ราชเลขาหลิวฟังคนสนิทเอ่ยทีละอย่าง เมื่อได้ยินดังนั้น ก็อดที่จะเอ่ยปากขัดจังหวะเขาไม่ได้

“ถูกไล่ออกมาหรือ” เขาถาม “เมื่อใด เพราะเรื่องใด”

“ก็ตอนที่เรือนไท่ผิงเพิ่งเริ่มสร้าง” คนสนิทเอ่ย รอยยิ้มบนใบหน้าดูแปลกไป “เป็นเพราะเฉิงเจียวเหนียงกับท่านชายโจวหก แอบตกลงปลงใจ อยู่ด้วยกันตลอดชีวิตอย่างลับๆ…”

ราชเลขาหลิวหัวเราะ

“เด็กน้อยนี่อารมณ์อ่อนไหวเสียจริง” เขาเอ่ย

วันนั้นเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมาก หน้าตึงอยู่ตลอด หากมองจากสีหน้าของหญิงสาว ชายหนุ่มอาจจะมองอะไรไม่ออก แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของผู้อาวุโสเช่นเขาไปได้

ดูท่าทางแล้ว เรื่องนี้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนนี้แอบตกลงปลงใจกันอย่างนั้นหรือ

ดูจากการพูดจาและการกระทำแล้ว เป็นเพราะความบ้าบิ่นดื้อรั้นและหุนหันพลันแล่นของชายหนุ่มตามคาด

หากนายใหญ่โจวกลับมาแล้วรู้ว่า ตนเองถูกเด็กในตระกูลสองคนผลักให้ลงหลุม จะไม่โกรธตายเลยหรือ

“ใต้เท้าหลิว ท่านลุงของข้าใกล้จะกลับมาแล้ว หากเขารู้ว่าข้าก่อเรื่องพวกนี้ ข้าจะถูกไล่กลับไปอยู่เจียงโจว ข้าอุตส่าห์ตั้งตัวในเมืองหลวงได้ ข้าไม่อยากให้มันสลายหายไปกับตาเช่นนี้”

ราชเลขาหลิวพยักหน้าพลางหัวเราะ

เจ้าเด็กบ้าคนนี้ก็ไม่โง่นี่

เพียงแต่มีนิสัยดื้อรั้นเกินไป ดูสิ มาขอความช่วยเหลือ ทว่าท่าทางไม่เหมือนมาขอร้องคนอื่นเลย ตรงกันข้ามกลับหยิ่งผยอง คนหนุ่มน่ะ ต้องได้รับการขัดเกลาบ้าง

“ยังมีอีกเรื่องขอรับใต้เท้า” คนสนิทเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ “ตระกูลเฉินสืบเรื่องของคนอื่นที่เฉิงเจียวเหนียงเจอมาตลอด เหมือนว่าจะหาเจอแล้ว”

“จริงหรือ” ราชเลขาหลิวถามอย่างตกตะลึงเล็กน้อย

“รายละเอียดไม่ยังไม่แน่ใจ ตระกูลเฉินปกปิดไว้อย่างแน่นหนามาก” คนสนิทเอ่ย

เรื่องนั้นไม่เป็นอะไรหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือต้องพิสูจน์ที่มาที่ไปของวิชาในมือของเฉิงเจียวเหนียง

ยามนี้ได้แต่รอดูว่าวิชาของนางนั้นจริงหรือปลอมแล้ว

หากเป็นของปลอม ก็เป็นการเล่นเพื่อยืดเวลาของเด็กสองคนกับตระกูลโจว แต่สำหรับราชเลขาหลิวแล้ว ล้วนอยู่ในแผนการที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก ไม่มีอะไรต้องกังวล

หากเป็นของจริง เช่นนั้นก็ดี เขาก็จะให้พวกเขาอยู่อย่างเป็นสุขเสียหน่อย  ก่อนจะถูกเนรเทศแล้วตายจากไปจะได้ไม่ต้องทรมานนัก และเหล่าสะใภ้ที่ต้องเข้าหอนางโลมไป

คนที่มีประโยชน์ก็ต้องดูแลไว้ไม่ใช่หรือ

เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือไปจับมือขวาของหลี่ต้าเสา ก่อนจะออกแรงดึง

คนรอบข้างตัวเกร็งชากันไปหมด เสียวฟันจนต้องหลบสายตา

“เจ็บไหม” เฉิงเจียวเหนียงถาม

หลี่ต้าเสานัยน์ตาแดงก่ำ ก่อนจะสะอื้นพลางพยักหน้า

“เจ็บ” เขาเอ่ย

สะใภ้ซ่งที่ยืนอยู่อีกด้านน้ำตาไหลไม่หยุดมาสองสามวัน จนตอนนี้น้ำตาแห้งไปแล้ว กลับต้องเช็ดน้ำตาอีกครั้ง

รู้สึกเจ็บก็ดี  รู้สึกเจ็บก็ดี

“รออีกสามวันแล้วมาทำแผล จะเจ็บอีก เจ้าต้องเคลื่อนไหวมือด้วย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะลุกขึ้น

หลี่ต้าเสาและสะใภ้ซ่องก้มกราบลงกับพื้น

“เถ้าแก่เขา…” หลี่ต้าเสาสะอื้นพลางเอ่ย “ข้าหาเรื่องเอง ตอนนั้นข้าไม่ควรปิดบังเถ้าแก่…”

“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เรื่องดีเรื่องร้ายนั้นเป็นของคู่กัน” เฉิงเจียวเหนียงหันกลับไปเอ่ย

“นายหญิง โต้วชีมีราชเลขาหลิวคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ พวกเถ้าแก่เขาทำเช่นนี้ โต้วชีจะปล่อยไปได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าคุกของเมืองจิงเจ้าเข้าไปแล้วตายสถานเดียว” หลี่ต้าเสาสะอื้นพลางเอ่ย “นายหญิง จะทำอย่างไรดี”

“นั่นน่ะสินายหญิง ท่านอย่าเพิ่งมาดูแลพวกเราเลย รีบคิดวิธีช่วยพวกเถ้าแก่เถิด” สะใภ้ซ่งก็ร่ำไห้พลางเอ่ยเช่นกัน

“ในคุกใหญ่ ข้าก็จนปัญญา ช่วยไม่ได้หรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีดีกว่า เช่นการรักษาอาการป่วย”

ช่วยไม่ได้หรือ พูดง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ

หลี่ต้าเสาและสะใภ้ซ่งเงยหน้าด้วยความตกตะลึง มองหญิงสาวคนนั้นออกไป

“นี่แหละนะ เลือดค้นกว่าน้ำ…” สะใภ้ซ่งพึมพำ

นางเป็นถึงแม่นางในตระกูลขุนนาง พอเกิดเรื่องจนมืดแปดด้าน ก็หาแพะรับบาปก็สิ้นเรื่อง

“ชีวิตคนเราเนี่ย ยากจริงๆ เลยนะ” หลี่ต้าเสาก็พึมพำเช่นกัน ก่อนจะก้มมองมือตัวเอง

หวังจริงๆ ว่านี่จะเป็นฝันร้าย พอตื่นขึ้นมาก็จะเป็นฟ้าหลังฝน

ความมืดมนบนม่านฟ้าหายไป พระอาทิตย์โผล่พ้น ท้องฟ้าแจ่มใส วันใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง

ราชเลขาหลิววางหนังสือในมือลง รู้สึกร้อนรนพลางมองหมอจันที่เข้ามา

“เป็นอย่างไร” เขาถาม

“ใต้เท้า ใต้เท้า วิชามหัศจรรย์ วิชามหัศจรรย์ขอรับ” นัยน์ตาของหมอจันแดงก่ำ สีหน้าตื่นเต้น

“เสร็จแล้วหรือ” ราชเลขาหลิวถาม เผยความประหลาดใจออกมาอย่างยากจะปิดบัง

แม้คาดไว้อยู่แล้วว่าคงเป็นของจริง ทว่าด้วยนิสัยและความเคยชินของเขาก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้

“เสร็จแล้ว เตรียมตัวจนถึงกลางดึก เช้าวันนี้ต่อติดแล้ว” คนสนิทที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น

“ต่อติดแล้วหรือ” ราชเลขาหลิวถามอีกครั้ง พลางมองไปที่หมอจัน

หมอจันพยักหน้าอย่างแรก

“ได้สติแล้ว แม้จะต้องใช้เวลากว่าจะหายดั่งเดิม แต่รักษาแขนข้างนี้ได้แล้ว” เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้น

ราชเลขาหลิวยอมรับในฝีมือของหมอจันอย่างมาก

“เคล็ดลับนั่นเป็นจริงหรอกหรือ” เขาเอ่ย

“นั่นน่ะสิ นั่นน่ะสิ” หมอจันก็พยักหน้าตาม

สายตาของทั้งสองคนตกอยู่บนโต๊ะ

กระดาษที่เขียนเคล็ดวิชาวางอยู่บนนั้นอย่างเงียบๆ

“ไม่รู้ว่าวิชาการชุบชีวิตจะเป็นอย่างไร” หมอจันเอ่ยอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตายากจะปิดบังความอิจฉา

“เรื่องนี้น่ะ ลองก็รู้” ราชเลขาหลิวเอ่ย

หมอจันเงยหน้ามองเขา

“ใต้เท้า ลองสุ่มจากคนในคุกมาสักคน พอลองเสร็จแล้วก็ฆ่าทิ้ง ความลับก็จะไม่ถูกเปิดเผย” เขาเอ่ย

ราชเลขาหลิวพยักหน้า

“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าออกไปก่อน” เขาเอ่ยพร้อมกับโบกมือ

หมอจันขานรับด้วยความปรีดา ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเคล็ดลับบนโต๊ะ แล้วหันหลังเดินจากไป

เหตุใดถึงให้เขาออกไปก่อนเล่า หรือว่าราชเลขาหลิวก็จะไปด้วยตัวเองด้วย

“ใต้เท้า…” เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถาม ทว่ากลับมีคนด้านข้างเข้ามาประชิดกาย ลำคอของเขาพลันเย็นวาบ

ดวงตาของหมอจันเบิกกว้างในทันใด เอื้อมมือออกจับคอ พลางส่งเสียงแค่กๆ ก่อนจะคลายจดหมายในมือ หมอจันหงายหลัง เลือดทะลักลงบนพรมโดยพลัน

ราชเลขาหลิวลุกขึ้น พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวครามผืนเก่าปิดจมูก มองดูหมอจันที่ยังชักอยู่บนพื้น

“เจ้าก็รู้ว่าคนตายไม่เปิดเผยความลับ” เขาเอ่ยช้าๆ “แต่เจ้าก็คุ้มแล้ว ที่เอาเคล็ดลับนี้ไปพบยมบาล คิดว่าคงประสบความสำเร็จในนรก เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวนี่”

หมอจันชักกระตุกอีกสองครั้งสุดท้าย ก่อนดวงตาที่เบิกโพลงจะแข็งทื่อไป

“เห็นกันอยู่หลัดๆ แท้ กลับโดนโจรมาปล้นฆ่าเสียได้ น่าสงสารจริงๆ” ราชเลขาหลิวเอ่ย ก่อนจะยื่นมือไปปิดตาของหมอจัน พลางถอนหายใจ “เขาเป็นเสาหลักของตระกูล เขาตายไปเช่นนี้ เด็กกำพร้าและหญิงม่ายจะอยู่ได้อย่างไร อย่างไรเสียเขาก็เป็นหมอในร้านขายยาของเรา พวกเจ้าช่วยเหลือด้านการเงินหน่อย อย่าปล่อยให้คนอื่นรังแก นอกจากนี้ควรข่มขู่ญาติด้วย อย่าปล่อยให้เขายักยอกทรัพย์สินของภรรยาและลูกของเขา”

คนสนิทขานรับ

ราชเลขาหลิวลุกขึ้น เขย่ากระดาษในมือก่อนจะใส่ลงในเสื้อ แล้วเดินออกไปด้วยท่าทางสุขุมตามปกติ

เฉิงเจียวเหนียงหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนตัวอักษรตัวใหญ่สองตัวลงบนกระดาษ ก่อนจะหยุดมือลง

“วันนี้ ท่านชายสวีสามและพรรคพวกโดยโบยยี่สิบไม้” ท่านชายฉินเอ่ย

สีหน้าสาวใช้ด้านข้างดูไม่ดี

“ท่านชายฉิน ท่านชายสามเคยป่วยหนัก เพิ่งหายดีได้ไม่ถึงปีเลย” นางอดที่จะพูดไม่ได้ “เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะรับไม่ไหว”

สายตาของท่านชายฉินมองไปที่ผนัง บนนั้นแขวนกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนเพียงแค่คำเดียว

สาวใช้สะบัดแผ่นที่เพิ่งเขียนใหม่ ก่อนจะเอาไปแขวนไว้เช่นกัน

หนึ่ง สอง…

สองวันแล้ว…

“ราชเลขาหลิวผู้นั้นรอบคอบ ข้าไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อ จะได้ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หากจะต้องเจ็บตัวฟกช้ำคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอาชีวิตรอดก็ดีแล้ว” ท่านชายฉินเอ่ย

“อดทนไปอีกสองวันนี้ก็พอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

หากไม่มีอะไรพลิกผัน สองวันนี้พี่น้องแห่งเม่าหยวนซานก็คงเจ็บปางตายไปแล้วไม่รู้กี่หน

“เจ้าจะบอกว่าราชเลขาหลิวเชื่อเจ้าแล้วหรือ” ท่านชายฉินเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางพลางส่ายหน้า

“เขาไม่ได้เชื่อข้า” นางเอ่ย “เขาเชื่อตัวเอง”

………………..