ท่านชายโจวหกจ้องมองน้ำตกกระบอกไม้ไผ่จากในเรือน ครั้นได้ยินเสียงไม้เท้าและเสื้อผ้าเสียดสีกันจึงหันไปมอง ก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงและท่านชายฉินที่เดินออกมาจากห้องหนังสือ

“เรื่องที่เหลือ ก็รบกวนเจ้าด้วย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางคำนับให้

ท่านชายฉินคำนับกลับ

“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น

เสียงไม้เท้าดังกุกกัก ท่านชายฉินกำลังเดินลงมา ท่านชายโจวหกเหลือบตามองเฉิงเจียวเหนียง พอเห็นว่านางไม่มีท่าทีจะพูดอะไรกับตัวเอง จึงหันหลังเดินจากไป

รถหนึ่งคันกับม้าหนึ่งตัวเคลื่อนไปบนถนน

ท่านชายฉินผู้ช่างเจื้อยแจ้วเจรจา หากเป็นแต่ก่อนยามนี้เขาคงกำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติ แต่ตอนนี้กลับเอาแต่นิ่งเงียบตลอดระยะทางที่รถวิ่งออกมา

ท่านชายโจวหกหันไปมองท่านชายฉินอีกครั้ง

“นี่ แล้วจะเจ้าจะทำอย่างไรต่อ” ท่านชายโจวหกถาม

ท่านชายฉินที่เพิ่งได้สติหันไปส่งยิ้มให้เขา

“ทำตามที่นางบอก” เขาตอบ

ข้าไม่ได้รับเชิญเข้าไปในห้องเหมือนเจ้าเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าคุยอะไรกัน

ท่านโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด

“แล้วนาง บอกว่าจะทำเช่นไรต่อ” เขาถามออกไปอย่างอดไม่ได้

“นางบอกว่า…” ท่านชายฉินมองเขาพลางอมยิ้ม “ไม่ให้บอกเจ้า”

สีหน้าของท่านชายโจวหกเปลี่ยนไปในทันใด เขาจ้องหน้าท่านชายฉินแล้วสะบัดแส้ม้าในมือ

เจ้าม้าที่ตกใจส่งเสียร้องออกมาก่อนจะวิ่งออกไปข้างหน้าด้วยความเร็ว

ท่านชายฉินตะโกนเรียกเขาอยู่สองสามหน มองท่านชายโจกหกที่ควบม้าออกไปไกล

“ล้อเล่นน่า” เขาเอ่ยทั้งที่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “แต่ก่อนก็พูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ เหตุใดคราวนี้ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเล่า”

เขาเอ่ยพลางทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า จานนั้นก็หันกลับไปมองเส้นทางข้างหลัง

“ข้าบอกตั้งนานแล้ว น่าสงสารเสียจริง น่าสงสารเสียจริง เหตุใดหนอ เหตุใดหนอ” ท่ายชายฉินเอ่ย

ท่านชายโจวหกพุ่งตรงเข้าสู่ประตูเรือน สะบัดเชือกให้บ่าวรับม้าไป ก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยความหงุดหงิด

“ชายหก!”

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

ท่านชายโจวกหกหยุดฝีเท้าลง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแม่ของตัวเองยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน ท่าทางฉุนเฉียวไม่น้อย เหล่าบรรดาพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็สีหน้าไม่ต่างกัน

“เจ้าคนไม่ได้เรื่อง!” ฮูหยินโจวตะคอกทั้งน้ำตา “เจ้าไปไหนมา”

ท่านชายโจวหกหลบตา

“ข้า ข้ากับมีธุระกับชายสิบสาม…” เขาตอบเสียงขุ่น

ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฮูหยินโจวตัดบท

“ลงโทษไอ้ลูกอกตัญญูคนนี้ที!” นางร้องตะโกนพลางชี้นิ้วออกมา

เหล่าบ่าวรับใช้ที่อยู่รอบๆ ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะคว้าก้านไม้มา

ท่านชายโจวกหกยืนนิ่ง ไม่เอ่ยคำใด

“ขออภัยขอรับ ท่านชายหก” บ่าวพูดขึ้นก่อนจะง้างก้านไม้แล้วฟาดเขา

สองบ่าวที่ยืนอยู่ซ้ายขวาผลัดกันตีลงบนแผ่นหลังของท่านชายโจวหก

“มีแรงแค่นี้หรือ” ฮูหยินโจวตะโกน

สองบ่าวสั่นเพราะตกใจกลัว ก่อนจะหวดไม้ในมืออย่างแรง

ท่านชายโจวหกกัดฟันยื่นนิ่ง

“ยามนี้ที่บ้านเกิดเรื่อง ท่านพ่อเจ้ากำลังรีบกลับมา แต่ยังมาไม่ถึง”

เสียงตะโกนของฮูหยินโจวดังไปตามจังหวะหวดไม้ของบ่าวรับใช้

“ท่านพี่เจ้าวิ่งวุ่นไปทั่วเมือง น้องสาวเจ้าได้แต่สวดมนต์ภาวนาทั้งวัน แต่เจ้าล่ะ เจ้าทำอะไรของเจ้าอยู่”

ยิ่งพูดฮูหยินโจวก็ยิ่งโมโห นางสะบัดสาวใช้และแม่นมออก ก้าวเดินเข้ามาใกล้ แย่งก้านไม้จากบ่าวแล้วฟาดเขาอย่างแรง

“เจ้ากลับวิ่งไปหานังผู้หญิงนั่น! วันๆ เอาแค่ขลุกอยู่กับนาง! แถมยังกล้าโกหกข้า! เจ้ามันลูกอกตัญญู! ลูกอกตัญญู พ่อแม่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ามา…”

ฮูหยินโจวตีไป ร้องไห้ไปอย่างกลั้นไม่อยู่

ท่านชายโจวหกยืนนิ่งยอมให้ตีแต่โดยดี เมื่อเห็นฮูหยินโจวเป็นถึงเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เขาคุกเข่าลงแล้วกอดขาฮูหยินโจวไว้ในทันที

“ท่านแม่ ลูกผิดเอง!” เขาโห่ร้องออกมา

ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง

ตอนนั้นที่เขายืนองอาจอยู่หน้าเรือนตระกูลเฉิง ใครจะไปรู้ว่าการบังเอิญเจอกัน การถามไถ่อย่างไร้เยื่อใยเพียงไม่กี่คำ จะสร้างเรื่องวุ่นวายมากมายตามมาเช่นนี้

ภาพใบหน้าของหญิงสาวที่มองมาจากห้องโถงยามที่ได้พบหน้ากันครั้งแรกลอยเข้ามาในหัว

น่าขันนัก น่าขันจริงๆ

หากตอนนั้นเขาจ้องมองให้ดีล่ะก็…

‘ท่านพี่…’

คนที่ได้ยินเสียงเรียกนั้น ไม่ใช่ท่านชายสวีสามหรือเหล่าท่านชายตระกูลอื่นที่กำลังหัวเราะชอบใจกันอยู่ที่ระเบียง แต่กลับเป็นเขา…

‘หากจะให้พูดกันจริงๆ นางก็เป็นคนเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าผู้ใดที่เคยช่วยเหลือนาง แม้จะเป็นเรื่องน้อยนิด นางก็จะตอบแทนบุญนั้นอย่างใหญ่หลวง คนเช่นนี้น่าสงสารนัก ช่างอ่อนไหวนัก’

ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา หากไม่ใช่เพราะตอนนั้น… หากไม่ใช่เพราะตอนนั้น…

เขาผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องสายเลือดเดียวกัน กลับเป็นเพียงคนโง่ที่ได้แต่ยืนมอง ส่วนคนที่ช่วยเหลือนางกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกันมาก่อน

ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา หากไม่ใช่เพราะตอนนั้น ยามนี้ทั้งสองครอบครัวคงสงบสุข

หากนางอยากจะรักษาคน หากนางอยากจะเปิดร้านอาหาร หากได้ปรึกษากัน ผ่อนหนักผ่อนเบาด้วยกัน

ท่านพ่อคงไม่ต้องถูกหมายหัวเป็นศัตรูโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แม้ถูกหมายหัวจะมิใช่เรื่องใหญ่โต เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เห็นซึ่งหน้า อย่างไรเสียก็ดีกว่าศัตรูที่แว้งกัดกันลับหลัง

แต่ทั้งหมดก็เป็นความผิดของเขาอยู่ดี!

“ท่านแม่ ตีลูกเถิด ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง” ท่านชายโจวหกตะโกนออกมา

ฮูหยินเฉินฟาดเขาอย่างแรงอีกสองสามครั้งก่อนจะหมดแรงลง พอได้เห็นลูกชายอีกครั้ง นางก็ใจอ่อนยวบ สุดท้ายก็ทิ้งไม้ลง มือกุมหน้าร้องไห้ฟูมฟาย

บรรดาพี่น้องคนอื่นเข้ามารุมล้อม เหล่าหญิงสาวร้องไห้สะอื้น ส่วนเหล่าชายหนุ่มก็ใบหน้าเคร่งเครียด

เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วเรือนอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าสาวใช้และแม่นมที่อยู่ด้านนอกต่างตกใจ

เรื่องที่นายใหญ่เกิดเรื่องไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป แต่เหล่าลูกชายก็บอกว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร วิ่งเต้นหาเส้นสายได้เรียบร้อยแล้ว แล้วเหตุใดถึงได้ร้องห่มร้องไห้กันเช่นนี้ หรือว่าไม่ใช่เพียงแค่ลดตำแหน่ง ยังมีเรื่องอื่นที่ร้ายแรงกว่านี้ได้อีกหรือ

ไม่นานท่านชายโจวหกและเหล่าพี่น้องผู้ชายก็ได้สติ รีบบอกให้ทุกคนหยุดร้องไห้แล้วพากันเข้าไปในเรือน

“ชายหก คราวนี้เจ้าทำเกินไปจริงๆ” บรรดาพี่ชายเอ่ยสีหน้าคร่ำเครียด

เหล่าสาวใช้ยื่นผ้าขนหนูผืนอุ่นให้บรรดาแม่นางทั้งหลายเช็ดหน้าเช็ดตา

“ใช่ หญิงผู้นั้นมีดีอย่างไรกัน เวลาเช่นนี้เจ้ายังเอาแต่สนใจนาง!” แม่นางน้อยคนสุดท้องของตระกูลโจวเอ่ยเสียงแหลม ก่อนจะโยนผ้าขนหนูอุ่นลงบนพื้น

เหล่าสาวใช้รีบเก็บมันขึ้นมาแล้วถอยออกไป แต่ทว่ารู้สึกเบาใจกว่าตอนที่เข้ามาในห้องนัก ที่แท้ก็ไม่ใช่เรื่องของนายใหญ่ แต่เป็นเรื่องของท่านชายโจวหก แถมยังเป็นเรื่องหญิงสาวอีกด้วย

หากเทียบกันแล้วยามนี้เหล่าเจ้านายที่อยู่ในห้องนั้นดูเกรี้ยวกราด แต่เหล่าบ่าวในเรือนกลับดูสงบนิ่งกว่านัก

เมื่อเห็นว่าเหล่าสาวใช้ออกไปแล้ว บรรดาพี่ชายพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่นางน้อยโจว

“ชายหก เจ้าดูสิ น้องสาวยังรู้ความยิ่งกว่าเจ้าอีก” พวกเขาเอ่ย “ที่บ้านก็มีพวกเราพี่น้องอยู่ เจ้าจะวิ่งโร่ออกไปทำไมกัน เจ้าทำให้คนอื่นเป็นกังวลเช่นนี้ไม่ได้”

ตั้งแต่เข้ามาท่านชายโจวหกก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา

“ชายหก เจ้ายังหนุ่มยังแน่น บนแผ่นดินนี้มีหญิงสาวอีกมากมาย เหตุใดเจ้าถึงได้ลุ่มหลงนางถึงเพียงนี้!” ฮูหยินโจวเอ่ย ยกมือปาดน้ำตาอีกครั้ง

“ข้าไม่ได้ลุ่มหลงนาง” ท่านชายโจวหกตอบเสียงขุ่น

“แล้วเหตุใดถึงเที่ยวไปหานางได้ทุกวี่ทุกวัน” ฮูหยินโจวถาม

เหล่าพี่น้องในห้องหันมามองเขา

ท่านชายโจวหกเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า

“เพื่อท่านพ่อ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ท่านว่าอย่างไรนะ” น้องสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเข้าก็โมโหยิ่งกว่าเดิม นางขมวดคิ้วขยับตัวนั่งหลังตรง “ท่านพี่พูดออกมาได้อย่างไร! ถ้าไม่ใช่เพราะคนบ้านั่น บ้านเราจะต้องโชคร้ายเช่นนี้หรือ! ท่านยังไปหานางอีกหรือ แค่นี้บ้านเรายังซวยไม่พออีกหรือ”

“นางไม่ได้บ้า” ท่านชายโจวหกเอ่ย

นอกจากจะไม่ใช่คนบ้าแล้ว นางยังคือคนที่ปั่นหัวทุกคนอีกต่างหาก

“ท่านแม่ ดูเขาสิเจ้าคะ” แม่นางน้อยร้องตะโกน

“พอได้แล้ว เรื่องนี้ค่อยว่ากัน” ฮูหยินตะคอกกลับ “เรื่องพ่อเจ้าสำคัญกว่า!”

“ใช่” บรรดาพี่ชายพากันพยักหน้า สีหน้าเป็นกังวลก่อนจะถอนหายใจกันออกมา “ยามนี้เรื่องก็มิได้น่าร้อนใจเหมือนตอนแรกแล้ว พอจะมีช่องให้อธิบายได้บ้าง ไม่เหมือนตอนแรกที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูด…”

นางเป็นคนบอกเอง ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดแล้ว…

ท่านชายโจวหกก้มหน้า

“ก็จริง… แต่ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเล่นตุกติก เราจะประมาทไม่ได้”

พูดถึงเพียงเท่านี้ พวกเขาก็เห็นท่านชายโจวหัวเราะขึ้นมา

แต่ก่อนเจ้าหมอนี่ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ เหตุใตตอนนี้ถึงกลายเป็นคนใจดำอมหิตเช่นนี้ หรือว่าถูกหญิงผู้นั้นมอมเมาจนโง่หัวไม่ขึ้นแล้ว

“ชายหก เจ้าหัวเราะอะไร” พวกเขาเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก

ท่านชายโจวหกหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

“ไม่ต้องกังวลไป” เขาเอ่ย

“ว่าอย่างไรนะ” เหล่าพี่ชายถามอย่างสงสัย

ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าพวกนั้นจะเล่นตุกติกอย่างไรก็ไม่ต้องสนใจ เพราะรอใครคนหนึ่งทำเรื่องนั้นให้สำเร็จก็พอแล้ว

นั่นคือการขัดขวางซึ่งหน้าและถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก

และผู้ที่ทำเรื่องนั้นก็คือคนที่พวกเขาเรียกว่าคนบ้า

“ไม่มีอะไร” ท่านชายโจวหกพูดแล้วก้มหน้าลง

ความมืดยามค่ำคืนเข้าปกคลุม ท่านชายฉินนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือของท่านพ่อนานอยู่ครู่ใหญ่

ชายวัยกลางคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็อ่านหนังสือเช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟ แม้จะมีอายุแล้ว แต่ใบนั้นกลับยังคงโดดเด่นกว่าผู้ใด

เขาคือท่านพ่อของท่านชายฉินสิบสาม ขุนนางเฉิงอี้หลาง นามฉินอัน ลูกชายขององค์หญิง

ผิงหยาง ทว่าเขากลับไม่ได้อาศัยความเป็นราชนิกูลในหน้าที่การงาน เขาสอบเป็นขุนนางได้ด้วยเอง

ความสามารถโดดเด่น ชีวิตในแต่ละวันหากไม่ติดตามองค์รัชยาท ก็ปฏิบัติหน้าที่เป็นอาลักษณ์ประจำหออาลักษณ์หลวง

อาลักษณ์หลวงฉินวางตำราในมือลง ก่อนจะขยี้ตาไปมา แล้วมองไปที่ลูกชาย

“ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่หรือ” เขาเอ่ยถาม “วันก่อนเจ้าไปหาข้าที่หออาลักษณ์ มีเรื่องอันใดหรือ”

…………………