พอได้ยินท่านพ่อถาม ท่านชายฉินก็วางหนังสือลง
“แค่ไม่มีที่จะไปขอรับ ก็เลยไปหาท่านพ่อ เผื่อจะได้ฟังเรื่องน่าสนใจบ้าง” เขาตอบ
“เรื่องที่เจ้าอยากฟังคือเรื่องงานข้า หรือว่าเรื่องราชการบ้านเมือง” อาลักษณ์หลวงฉินถาม
“ข้าปิดบังท่านพ่อมิได้จริงๆ” ท่านชายฉินเอ่ยพลางยิ้ม “ตอนนี้ท่านพ่อของชายหกเกิดเรื่อง ข้าก็เลยจะมาช่วยถามให้เขา”
เรื่องที่ลูกชายเป็นเพื่อนรักกับท่านชายโจวหก อาลักษณ์หลวงฉินย่อมรู้อยู่แล้ว เรื่องส่วนตัวของลูกหลาน แม้ผู้ใหญ่จะไม่ควรก้าวก่าย แต่เขาก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย
“เรื่องนั้นข้าก็พอจะรู้มาบ้าง มีคนร้องว่าเขาตัดสินคดีเสบียงทัพป๋อโจวไม่เหมาะสม จึงถูกลดตำแหน่ง” เขาตอบ “สำนวนคดีนี้ข้าได้อ่านแล้ว ตัดสินไม่ถูกจริงอย่างว่า หากจะถูกลงโทษก็คงไม่แปลก”
ท่านชายฉินพยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพ่อ ” เขาเอ่ยพลางคว้าไม้เท้าค้ำตัวยืนขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
ลูกชายคนนี้เป็นเช่นนี้มาตลอด พอถามจนได้ความแจ่มแจ้ง ก็ไม่พูดคุยเรื่องอื่นอีก
อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า
“แต่โทษที่เขาได้รับก็ไม่ถือว่าหนักหนาอะไร ยามนี้โจรทางตะวันตกนั้นร้ายนัก จับตัวมิได้เสียที ฮ่องเต้กำลังกริ้วหนัก รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน ค่อยหาเส้นสายจะดีกว่า” เขาเอ่ยแกมปลอบใจลูกชาย
เป็นไปดังคาด ท่านชายฉินดีใจก่อนจะก้มหัวคำนับท่านพ่ออีกครั้ง
“ว่าแต่ท่านพ่อขอรับ” ครั้นเดินไปถึงหน้าประตูแล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง “กรมขุนนางจะกำลังคัดเลือกคนหรือขอรับ”
อาลักษณ์หลวงฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
หออาลักษณ์หลวงที่เขาอยู่นั้นทำงานใกล้ชิดกับสำนักราชเลขา ขุนนางผู้น้อยของหออาลักษณ์จึงรู้เรื่องซุบซิบนินทาไม่น้อยไปกว่าคนในสำนักราชเลขาเลย ท่าทางดูชายเขาคงไปได้ยินข่าวลือมากขุนนางผู้น้อยกระมัง
“เฉินเซ่าน่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีของกรมขุนนางทั้งสองฝั่ง ตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนางจึงว่าง แต่ก็ยังไม่เลือกผู้ใด” อาลักษณ์หลวงฉินตอบไปตามนั้น
“คงเป็นเรื่องยากน่าดู” ท่านชายฉินตอบไปตามที่ควร เขาไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะขอตัวลา
พอท่านชายฉินออกไป ฮูหยินฉินก็เข้ามา
“ชายสิบสามมาคุยอะไรกับท่านหรือ” นางถามออกไปตามตรง
อาลักษณ์หลวงฉินยิ้มพลางส่ายหน้า
“ลูกชายยังไม่พูดตรงเท่าเจ้า” เขาเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ
ฮูหยินฉินเองก็หัวเราะเช่นกัน
“เขาชอบพูดจาอ้อมค้อม อย่าได้ใส่ใจเลย” นางเอ่ย “กว่าเขาจะมีเพื่อนรักได้สักคนมิใช่เรื่องง่ายนัก ท่านอย่าได้กังวลเรื่องตระกูลโจวไปเลย อะไรพอจะบอกได้ก็บอกเขาไปเถิด”
“เพียงแต่เรื่องนั้นยังบอกเขาตอนนี้ไม่ได้ ยิ่งพูดก็เหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ ผู้ตรวจการกำลังวางแผนกันอยู่” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ยพลางส่ายหน้า “เขาก็โชคร้ายเสียจริง เหตุใดถึงถูกรื้อฟื้นคดีเก่าเอาตอนนี้ได้”
“คงจะไม่บานปลายเป็นเรื่องใหญ่โตใช่ไหม” ฮูหยินฉินตกใจไม่น้อย นางคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะร้ายแรงถึงเพียงนี้
“ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วล่ะ” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย
เมื่อได้ยินว่าต้องปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา ใบหน้าของฮูหยินฉินที่ประดับด้วยรอยยิ้มเสมอก็เริ่มเป็นกังวล
“ถึงว่าช่วงนี้ชายสิบสามเอาแต่วิ่งเทียวไปเทียวมา แต่ก่อนเขาไม่เคยไปแวะเวียนแถวนั้นด้วยซ้ำ” นางเอ่ย
“แถวนั้นหรือ แถวไหนกัน”
อาลักษณ์หลวงฉินถาม
“ข้าก็ไม่ได้ถามละเอียด เหมือนว่าจะไปแถวเมืองจิงเจ้า ” ฮูหยินเล่าออกมา
ไปหาเส้นสายอย่างนั้นหรือ อาลักษณ์หลวงฉินได้แต่ส่ายหน้า ทว่าลูกชายของเขารู้ดีว่าอะไรควรมิควรทั้งยังฉลาดหลักแหลม จึงไม่น่าเป็นห่วงนัก
สองสามีภรรยาหันมาคุยกันเรื่องในเรือนแล้วปล่อยวางเรื่องอื่นลง
แสงแห่งรุ่งอรุณเริ่มส่องสว่าง ราชเลขาหลิวยื่นมือมาตบแขนของโต้วชีอย่างแรงอยู่สองสามที
โต้วชีร้องโหยหวน
“ไม่เลว ไม่เลว”
ราชเลขาหลิวพยักหน้าถี่รัว ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ ชักมือกลับแล้วลุกยืนขึ้น
“ถ้าเจ็บก็แปลว่ายังดีอยู่”
“ท่านปู่ ยังดีอยู่อะไรกันขอรับ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” โต้วชีเอ่ยอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกันก็กัดฟันอย่างแรง “เจ้าพวกคนที่อยู่ในคุกล่ะ โดนโบยจนตายไปหรือยัง”
“เมื่อวานก็โดนโบยหนักขอรับ แต่ยังไม่ตาย ถูกหิ้วปีกออกมาก่อน…” ผู้ดูแลร้านรีบตอบ
“ถูกโบยในคุกเมืองจิงเจ้ายังรอดชีวิตมาได้อีกหรือ” ราชเลขาหลิวคิ้วขมวดก่อนจะพูดแทรกขึ้น
“ใต้เท้าคงไม่รู้ อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็เป็นทหาร ที่แข็งแกร่งได้เช่นนั้น เพราะกินอยู่ที่เรือนไท่ผิง ฝึกฝนร่างกายอยู่ทุกวัน คนทั่วไปไม่มีทางสู้ได้เลยขอรับ” ผู้ดูแลร้านพูด “แต่ก็ไม่ต้องกลัวไปขอรับ ในเมื่อพวกมันล้มไปแล้ว คนเราล้มง่าย แต่กว่าจะลุกขึ้นได้นั้นยาก…”
ราชเลขาหลิวเข้าใจว่าเขาสื่อถึงสิ่งใด ก่อนจะพยักหน้ารับ
“อย่างมาก ก็ให้พวกมันได้มีชีวิตอยู่อีกสักสองวัน…” ผู้ดูแลร้านขมวดคิดก่อนจะพูดต่อโต้วชี
“ไม่ตายเร็วไปหน่อยหรือ น่าเสียดายนัก” ราชเลขาหลิวพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง
โต้วชีและผู้ดูแลร้านชะงักไป
“ท่านปู่ ท่านหมายความว่าจะไว้ชีวิตพวกมันหรือ” โต้วชีตะโกน ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “จะไว้ชีวิตไอ้สารเลวพวกนั้นไปทำไมกัน เหตุใดไม่ปล่อยให้มันตายไปเสีย…”
“อย่างไรเสียก็ต้องตายอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว จะรีบร้อนไปเพื่อเหตุใด” ราชเลขาหลิวตัดบทเขา “คิดถึงแต่ความสะใจชั่วข้ามคืน นอกจากความสะใจแล้วเจ้าว่าต้องมีอะไรอีก”
“นอกจากความสะใจแล้ว ต้องมีอะไรอีกหรือขอรับ”
โต้วชีเบิกตาโพรงถาม
“ก็ต้องเป็นผลตอบแทนอย่างไร เจ้าโง่”
ราชเลขาหลิวมาถึงสำนักตรงเวลา ไม่ผิดคาด เขามาถึงเป็นคนแรก นี่คือความเคยชินที่ทำมากว่าสิบปี
เมื่อฟ้าสว่าง เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ก็เดินตามกันเข้ามา ภาระงานของเขาในฐานะผู้บังคับบัญชากรมขุนนางนั้นมิได้หนักหนา แต่ราชเลขาหลิวไม่เหมือนขุนนางเหล่านั้นที่ขี้เกียจสันหลังยาว เอาแต่หมกมุ่นราคะ เขาตั้งใจตรวจทานงานราชการของเมื่อวาน ทั้งยังจริงจังถามไถ่ว่าวันนี้มางานอะไรบ้าง
จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง เขาถึงได้พักผ่อนจากการทำงาน
ราชเลขาหลิวไม่ได้กลับบ้าน ทั้งยังไม่ได้ออกไปเดินเล่นหาของกินเหมือนขุนนางอื่น ทว่าเขากลับหยิบกล่องข้าวใบเล็กที่พกติดตัวออกมา ข้าวหนึ่งถ้วย ผักหนึ่งจานถูกวางจัดเรียง พร้อมกับชาคั่วที่กรมจัดเตรียมไว้ให้ เพียงเท่านี้มื้อเที่ยงของเขาก็พร้อมแล้ว
ยามใกล้จะกินเสร็จก็ได้เสียงหัวเราะคิกคักจากด้านนอก เหล่าขุนนางผู้น้อยที่ออกไปกินข้าวด้วยกันกำลังพูดคุยหัวเราะอย่างเพลิดเพลิน เสียงนั้นดังบ้างเบาบ้างเป็นพักๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหล่าขุนนางน้อยกำลังซุบซิบนินทากันอยู่
เป็นเรื่องธรรมดาของสำนักราชเลขา
แต่ไหนแต่ไรมาราชเลขาหลิวไม่ร่วมวงนินทาผู้ใด เขาค่อยๆ กินข้าวด้วยจังหวะเนิบช้า จนกระทั่งประโยคหนึ่งแว่วเข้ามาในหู
“เรื่องของอำมาตย์เฉินคงรู้ผลแล้ว ต้องได้เป็นเสนาบดีแน่ๆ แล้วตำแหน่งที่ว่าง เจ้าว่าผู้ใดจะได้ไป”
“หากดูตามลำดับอาวุโสก็คนเป็นราชเลขาหลิว…”
รองเจ้ากรมกรมขุนนางอย่างนั้นหรือ
แม้ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเฉินเซ่าคงไม่ได้อยู่ที่กรมขุนนางนานนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะออกไปเร็วขนาดนี้ ทว่าฝ่าบาทก็มีพระพลานามัยไม่แข็งแรงมาโดยตลอด ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็สั่นคลอน นับวันฝ่าบาทยิ่งเดาใจยากนัก
เอาเข้าจริงก็ถือเป็นเรื่องดี เรื่องน่ายินดีของผู้อื่น ก็เป็นเรื่องน่ายินดีของเขาเช่นกัน
ทีละก้าว ทีละก้าว เข้าใกล้เป้าหมายของตนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วมิใช่หรือ
ในใจของราชเลขาหลิวดั่งคลื่นลมโหมกระหน่ำ เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ลมหายใจก็หยุดนิ่ง เขายกมือขึ้นมากุมโดยไม่รู้ตัว
“ใต้เท้าขอรับ” ขุนนางที่ติดตามถามอย่างเป็นห่วง
ข้างหูได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัว ราชเลขาหลิวพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะยิ้มให้ขุนนางผู้ติดตาม
“ช่วยไปเตือนหน่อย ที่นี่ห่างจากศาลาว่าการเพียงน้อยนิด หากเหล่าอำมาตย์มาเห็นพวกเขาโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้คงไม่ดีนัก” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
ราชเลขาหลิวมักระแวดระวังเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้เสมอ จึงไม่แปลกที่เขาจะพูดออกไปเช่นนั้น ขุนนางผู้ติดตามขานรับก่อนจะหัวเราะคิกคักแล้วเดินออกไป
ไม่นานเสียงตะโกนโหวกเหวกด้านนอกก็หายไป ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบดังเดิม
ราชเลขาหลิวก้มหน้ากินข้าวต่อ แม้สีหน้าจะเรียบเฉยเหมือนเคย แต่ภายในใจจิตกำลังว้าวุ่นเกินบรรยาย
นี่คือนิสัยของเขา ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็มักจะเก็บไว้ในใจ ไม่ยอมแสดงออกมาให้เห็น ผ่านมานานหลายปี เขามั่นใจดีว่าสามารถควบคุมสีหน้าอารมณ์ของตนเองได้
ทว่าวันนี้กลับแตกต่างจากเมื่อก่อน เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นถี่รัวกว่าเคย
ก็แค่คำซุบซิบนินทาของเหล่าขุนนาง แต่ละวันในศาลาว่าการมีข่าวลือนับร้อย จะเป็นความจริงได้สักกี่เรื่องกัน
ทว่าเขาก็ยังคือเขา คนที่หนักแน่นยึดมั่นในตัวเอง เหตุใดถึงได้หวั่นไหวเพียงเพราะข่าวลือ
ราชเลขาหลิวสูดหายใจลึก
รองเจ้ากรมอย่างนั้นรึ รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ
ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียจริง หากข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้ ก็เท่ากับสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง
วันหน้าสำนักเสนาบดีจะมีขุนนางแซ่หลิวเพิ่มอีกคนไหม
ราชเลขาหลิวกำตะเกียบนิ่ง เหม่อมองออกไป
เสียงม่านประตูเปิดออก ขุนนางผู้ติดตามเดินเข้ามา
ราชเลขาหลิววางตะเกียบลง ยกถ้วยชาขึ้นมา จังหวะหัวใจกลับมาเป็นปกติ กลิ่นหอมจางๆ คลอเคลียที่ปลายจมูก
“อืม หอมดี” เขาเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ สูดดมกลิ่นหอมแล้วมองถ้วยชาตรงหน้า
“เปลี่ยนมาใช้ชาจากหนันโจวขอรับ ท่านราชเลขาดื่มแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” ขุนนางผู้ติดตามเอ่ยถามหน้าตายิ้มแย้ม
กลิ่นหอมของชาสินะ ราชเลขาหลิวพยักหน้าท่าทางผ่อนคลาย
“ชาดี ชาดี” เขาเอ่ยก่อนจะยกขึ้นจิบอีกคำ
…………………….