สาวใช้สะบัดกระดาษที่ตากจนแห้งแล้วนำมาแขวนไว้บนตะแกรง
“สี่” นางพูดขึ้นมา
ถอยหลังไปไม่กี่ก้าวก็หันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่นอกเรือนตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ใบไม้บนต้นดอกอิงฮวาโบกไหวไปมาตามแรงลมฤดูร้อน
อีกสี่วันก็จะถึงวันนัดพบราชเลขาหลิวแล้ว เหล่าท่านชายก็ถูกขังอยู่ในคุกมาสี่วันแล้วเช่นกัน หากไม่ได้ท่านชายฉินมาบอกข่าวว่าพวกเขายังสบายดี ไม่เช่นนั้นคงร้อนใจน่าดู
ท่านชายโจวหกเดินเข้ามาก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ที่ระเบียง นางกำลังหักนิ้วนับพลางเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าราบเรียบดังเช่นเคย
“ดูฤกษ์ยามเป็นด้วยหรือ” เขาเอ่ย
“ยังต้องดูฤกษ์ยามอีกหรือ” นางพูดขึ้น “ข้าแค่นับเวลา”
“นับเวลาอันใด” ท่านชายโจวหกถาม
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขาแล้วยิ้ม
“เวลาข่าวดีมาถึง” นางตอบแล้ววางมือลง
ท่านชายโจวหกมองนางด้วยความสงสัย
หากเป็นแต่ก่อน ถ้าเขาได้ยินคำพูดคงจะเก็บเอาไปคิด ทว่าตอนนี้…
แต่ละคำที่หญิงผู้นี้พูด เชื่อได้สักกี่คำเชียว
“ข้าเคยบอกว่าข้าไม่พูดโกหก เจ้ามองข้าทำไม” เฉิงเจียวเหนียงถามก่อนจะเผยยิ้มบาง
“งั้นรึ” ท่านชายโจวหกถามกลับเสียงเย้ยหยัน
“แน่นอน แต่ว่าคำที่ข้าพูด คนอื่นจะคิดเช่นไร ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับไปในห้องโถง
จังหวะที่ท่านชายโจวหกกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น
“แม่นางเฉิง เถ้าแก่โต้วเรือนนางฟ้าเรียนเชิญขอรับ”
เรือนนางฟ้ากลับมาเปิดอีกครั้ง ทว่าไม่ต่างอะไรกับตอนปิดร้านเลยสักนิด
เมื่อได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงและท่านชายโจวหกกำลังจะมาถึง ขณะเดียวกันโต้วชีก็เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในเรือนนางฟ้า
จะว่าไปแล้วพี่น้องเม่าซานหยวนก็มิได้ลงมือรุนแรงนัก นอกจากหักแขนแล้ว ส่วนอื่นก็ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด ยามนี้แขนนั้นก็ประสานกันแล้ว แม้จะถูกห่อไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเหินของเขา
“ท่านปู่ ใจอ่อนกับพวกมันเกินไปหรือเปล่าขอรับ” โต้วชีเดือดดาลจนตะโกนออกมา “ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ”
“ใจอ่อนอย่างนั้นรึ พวกนั้นก็ยื่นข้อเสนอมาแล้วมิใช่หรือ” ราชเลขาหลิวเอ่ยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว พลางยกมือขึ้นนวดขมับ
เมื่อคืนก่อนเขาหลับไม่ดีนัก แม้เขาจะหลับไม่สนิทมาตั้งนานแล้ว ทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าเคย ราวกับในหูมีแต่เสียงอื้ออึง
ความสัมพันธ์ของอาลักษณ์หลวงฉินกับฮ่องเต้นั้นมิธรรมดา
หากจะบอกว่ากะทันหันก็คงไม่ใช่ จะว่าเหนือความคาดหมายก็ไม่เชิง เพราะตั้งแต่เฉินเซ่าเข้าเมืองหลวงมา ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
เขาไม่ใช่คนที่จะตื่นตูมวิ่งเต้นหาเส้นสายหลังได้ยินข่าว
เพราะเพื่อวันนั้น เขาได้สั่งสมบารมีมากว่าหลายสิบปี
“ท่านปู่ เพียงเพราะยื่นข้อเสนอก็ปล่อยพวกมันอย่างนั้นหรือ ฆ่ามันเสียก่อนแล้วค่อยยื่นเสนอก็ได้นี่ขอรับ”
โต้วชีตะโกนอยู่ข้างหู เรียกสติที่หลุดลอยไปของราชเลขาหลิวให้กลับคืนมา
ราชเลขาหลิวขมวดคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้จมูก มองดูโต้วชีที่ปะแป้งขาว
“ถอยไปไกลๆ ข้า ฉุนจนข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว” เขาเอ่ย “รู้จักแต่จะฆ่าจะแกง จะช้าหรือเร็วก็ต้องตายอยู่ดี รีบร้อนอะไรของเจ้า! ไม่รู้จักมองการณ์ไกล!”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” โต้วชีหัวเราะชอบใจ “ข้านึกว่าท่านปู่ใจอ่อนเสียแล้ว”
ราชเลขาหลิวส่งเสียงฮึดฮัด
ใจอ่อนอย่างนั้นรึ คือสิ่งใดกัน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอก ผู้ดูแลร้านเปิดประดูออก
“ใต้เท้า เถ้าแก่ ท่านชายโจวหกและแม่นางเฉิงมาแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
โต้วชีตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นสองหนุ่มสาวเดินเข้ามา ภาพความทรงจำยามที่พบหน้ากันนั้นช่างเลือนราง แต่พอได้เจออีกครั้ง เขาก็จำได้ในทันที แม้แต่สาวใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าสถานการณ์นั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ฤดูหนาวกลายเป็นฤดูร้อน ลูกค้าและเถ้าแก่กลายเป็นเถ้าแก่สองคน นอกจากนั้นตนยังต้องขาดทุน หักแขนคน ตัดมือคน!
หากรู้แต่แรกว่าหนุ่มสาวผู้นี้จะนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ ตอนนั้นคงกำจัดให้เสียสิ้นซาก!
จริงดั่งที่ว่าบนโลกนี้ไม่มีคนดีหรือคนเลว มีแค่คนฉลาดกับคนโง่เท่านั้น
หลายวันมานี้ราชเลขาหลิวสืบข่าวจนแน่ใจ นายบ่าวตระกูลโจวล้วนแต่ไม่ได้รับรู้เรื่องเรือนไท่ผิง แม้คนที่เล่นงานนายใหญ่โจวลับหลังก็ยังไม่รู้ว่าคือผู้ใด ไม่รู้เหตุก็ย่อมไม่รู้ผล คนทั้งตระกูลวิ่งกันให้วุ่น
ไม่เหมือนหนุ่มสาวสองคนนี้ รู้ว่าตัวเองทำผิด ล่วงเกินผู้อื่นเข้า พอคิดได้ก็มาขอเข้าพบ ไม่กล้าแม้แต่จะบอกคนที่บ้าน
ทั้งหมดเป็นฝีมือของสองคนนี้อย่างที่คิดไว้ ตนถูกสองหนุ่มสาวนี้ปั่นหัวเอาจนได้ พอนึกถึงโต้วชีก็เดือดดาลจนแทบบ้า
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” โต้วชีตะโกนออกมา
“เงียบ เงียบให้หมด” ราวกับว่าเสียงโหวกเหวกนั้นทำให้ราชเลขาหลิวปวดหัว จนต้องยกมือขึ้นปราม “ปมมีไว้แก้ มิได้มีไว้ผูก นั่งลง นั่งลงให้หมด เรามาคุยกันดีๆ โต้เถียงกันเช่นนี้จะได้อะไรขึ้นมา”
เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงฝั่งตรงข้าม ท่านชายโจวหกก็นั่งลงตาม โต้วชีสะบัดแขนที่พอขยับได้อย่างหงุดหงิดก่อนจะนั่งลง
“อาชี โชคดีที่ได้ยาจากแม่นางเฉิงมารักษามือเจ้า…” ราชเลขาหลิวพูด
พูดไม่ทันจบ โต้วชีก็กระเด้งตัวขึ้น
“ท่านปู่ ที่มือข้าหักก็เพราะนาง!” เขาตะโกน
“หากเจ้าไม่หักมือผู้อื่นก่อน ผู้อื่นจะหักมือเจ้าได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้นในทันที
“เจ้าใส่ร้ายผู้อื่น เจ้ามีหลักฐานอันใดมากล่าวหาว่าข้าเป็นคนตัดมือหลี่ต้าเสา” โต้วชีเอ่ยฮึดฮัด
เฉิงเจียวเหนียงคลี่ยิ้มบาง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัดแต่มิได้หัก เช่นนี้ยังต้องการหลักฐานอีกหรือ” นางเอ่ย
“ข้าก็แค่ได้ยินคนเขาพูดกัน คนที่รู้ว่าหลี่ต้าเสาโดนตัดมือคือคนร้ายทั้งหมดหรือ” โต้วชีเค้นเสียงหัวเราะ
อ่อนหัดเสียจนน่าหัวเราะ! เด็กน้อยช่างโง่เขลา! คิดว่าตนเองรู้ไปหมดเสียทุกอย่าง!
แต่ก่อนเป็นเพราะประมาทศัตรู ไม่ได้เตรียมตั้งรับจึงถูกตลบหลัง ยามนี้ศัตรูมายืนให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว จะให้เขานั่งโง่ปล่อยให้เหยียดหยามหรืออย่างไร
“พอได้แล้ว!” ราชเลขาหลิวตะโกนเสียงเข้ม
ทั้งห้องเงียบสงัดลง
“ให้เรื่องจบสิ้นเพียงเท่านี้ อย่าได้ทะเลาะกันอีก ปมมีไว้แก้มิได้มีไว้ผูก ถอยกันคนละก้าว เหตุใดถึงไม่ยอมจบยอมสิ้นกันเสียที” ราชเลขาหลิวพูดเป็นเหตุเป็นผล “ในเมื่อแม่นางเฉิงและท่านชายโจวมาหาข้าแล้ว ขอให้เชื่อข้า ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง ข้าจะเป็นผู้ตัดสินเอง พวกเจ้าจะยินยอมหรือไม่”
“ข้าย่อมฟังคำท่านปู่อยู่แล้ว” โต้วชีเอ่ยก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
ท่านชายโจวหกกับเฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“อย่างแรก คนเราจะต้องไม่เจ็บตัวเปล่า…” ราชเลขาหลิวชี้ไปที่โต้วชีก่อนจะเอ่ยต่อ
“ไม่ว่าในใจของแม่นางเฉิงจะคิดอย่างไร จะมีหลักฐานหรือไม่ก็แล้วแต่ ท้ายที่สุดแล้วก็พวกเจ้าก็ยังไปคนผิด ในเมื่อทำผิดแล้วก็ต้องได้รับโทษ”
เฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยคำใด ท่าทางดูไม่พอใจนัก
“ใช่ พวกเข้าย่อมยอมรับโทษ” ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่นางแล้วเอ่ยขึ้น
ราชเลขาหลิวพยักรับเฉกเช่นที่ผู้อาวุโสควรทำ
“ในเมื่อรู้ว่าผิดก็ต้องกลับตัว คิดเสียว่าพวกเจ้าเป็นคนหนุ่มทำการผลีผลาม ตั้งใจมาหักแขนโต้วชี โต้วชีก็อย่าได้ถือโทษเลย” เขาพูดต่อ
“แล้วท่านจะลงโทษเช่นไร” โต้วชีถาม
ราชเลขาหลิวหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงและท่านชายโจวหกแต่ไม่พูดอะไร
“เรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะร้านอาหารนี้ เช่นนั้นแล้วพวกข้าก็ไม่ขอครอบครองเรือนไท่ผิงอีกต่อไป” ท่านชายโจวหกเอ่ย
โต้วชีส่งเสียงเย้นหยัน
ยังคิดว่าจะได้ครอบครองอยู่อีกหรือ
“ใต้เท้า ขอให้ช่วยดูแลคนของข้าด้วย หนึ่งใดนั้นเคยได้รับบาดเจ็บ เพิ่งจะหายดีไม่นาน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แน่นอนอยู่แล้ว แน่นอนอยู่แล้ว คนของทางการก็บอกแล้วว่าอย่างไรก็จะปล่อยตัว” ราชเลขาหลิวเอ่ยเสียงอ่อนโยน “แม่นางวางใจเถิด”
เฉิงเจียวเหนียงและท่านชายโจวหกคำนับก่อนจะขอตัวลา
“ช้าก่อน” ราชเลขาหลิวพูดขึ้น
“สิ่งนี้ แม่นางเฉิงเอากลับไปด้วยเถิด” ราชเลขาหลิวเอ่ยพลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วยื่นให้
นั่นคือสูตรยาที่เฉิงเจียวเหนียงเขียนให้เมื่อวันนั้น
ท่านชายโจวหกชะงักไป
“สิ่งนี้ ข้าให้แก่ใต้เท้าหลิวแล้ว ย่อมเป็นของใต้เท้าหลิว” นางเอ่ย
ราชเลขาหลิวยิ้มพลางส่ายหน้า
“ที่เจ้าให้มาก็เพื่อให้ข้ารักษาบาดแผลของโต้วชี เมื่อแผลหายแล้ว เหตุใดจะคืนไม่ได้” เขาเอ่ยน้ำเสียงรู้สึกผิด “เพียงแต่มีคนได้เห็นสูตรยานี้แล้ว แต่แม่นางเฉิงโปรดวางใจ ตระกูลข้ามีร้านยา ครั้งนี้ก็ใช้งานคนในตระกูล ข้าให้เขาสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป”
วินาทีนั้นท่านชายโจวหกก็ใจอ่อน ทั้งยังรู้สึกเห็นใจ
ผู้อาวุโสที่นิสัยดีทั้งยังตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็ยังดี ก็ยังดี เขากำลังจะถูกคนที่ตรงไปตรงมาเสียยิ่งกว่า คนจริงที่ไม่เคยพูดโกหกคิดบัญชีเข้าให้แล้ว
ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง
………………………..