ท่านชายโจวหกสีหน้ายุ่งเหยิง
“เหตุใดใต้เท้าต้องทำเช่นนี้” เขาถาม
“ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเจ้าทั้งสองเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็เพียงพอ” ราชเลขาหลิวเอ่ยพลางยิ้ม
“แล้วเรื่องของท่านพ่อข้า…” ท่านชายโจวหกถามออกไปอย่างอดไม่ได้
คนหนุ่มก็ใจร้อนเช่นนี้แหละหนา เก็บอารมณ์ไม่เก่ง
ราชเลขาหลิวทอดถอนใจ
“เรื่องของพ่อเจ้า เท่าที่ข้ารู้มาคงต้องรอไปอีกพักหนึ่ง” เขาเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ฝ่าบาทมีเมตตา หากท่านคลายความโกรธแล้ว อาจจะเปลี่ยนใจ”
แต่แน่นอนว่าหากยังไม่หายกริ้วก็คงจนปัญญาเช่นกัน
ราชเลขาหลิวอมยิ้มมองหนุ่มสาวตรงหน้าที่พยักหน้าคำนับให้ด้วยความขอบคุณ ทว่าใบหน้านั้นก็แฝงไปด้วยความร้อนรน
คนหนุ่มนี่ดีเสียจริง หนักแน่นทั้งยังกล้าทำกล้ารับ แถมยังเลือดร้อนอีกต่างหาก ในใจตั้งมั่นสายตาแน่วแน่คิดถึงเพียงเรื่องตรงหน้า ไม่เหมือนไม้ใกล้ฝั่งเช่นพวกเขา จะทำการใดก็พะว้าพะวงไม่กล้าลงมือทำเสียที
“เอาล่ะ รีบรับไว้เถิด” เขาเอ่ย “กลับไปสารภาพกับคนที่บ้านเสีย ไม่ต้องกลัว อาจจะโดนทุบตีหรือว่าโดนด่า แต่ที่ทำไปก็เพราะหวังดีกับพวกเจ้าทั้งนั้น…”
เขายังไม่ทันพูดจบ เฉิงเจียวเหนียงก็ก้าวเข้ามาใกล้
“ในเมื่อใต้เท้ามีร้านยา เช่นนั้นข้าจะขอเอาวิชาไปรักษาคนที่ร้านท่านได้หรือไม่” นางเอ่ย
“ข้ากำลังหาที่สงบๆ รักษาคนอยู่พอดี”
“เหอะ ฝันไปเถอะเจ้าน่ะ” โต้วชีตะโกนออกมา “พอเสียเรือนไท่ผิงไป ก็หมายตาจะเอาร้านยางั้นรึ กล้าดีเสียจริง!”
ราชเลขาหลิวถลึงตาปรามเขา ก่อนจะหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงด้วยแววตาอ่อนโยน
“เอ่อ เกรงว่าจะลำบากแม่นางเสียเปล่า ร้านยาของข้าเล็กนัก…” เขาเอ่ย
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอรับสูตรยาคืน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ราชเลขาหลิวราวกับกำลังเผชิญกับเด็กน้อยที่งอแงอย่างไร้เหตุผล ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ดูเจ้าสิ ดูเจ้าสิ เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้” เขาเอ่ยตอบก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ด้วยความจนใจ “เช่นนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อแม่นางอยากรักษาคน ก็ไปรักษาที่ร้ายยาของข้าก็แล้วกัน เงินค่ารักษาเจ้าก็เก็บไว้เถิด ส่วนค่ายาอะไรพวกนั้นก็เก็บเข้าร้านข้า หากมีแม่นางเฉิงอยู่ ร้านยาข้าต้องเป็นที่โด่งดังแน่นอน
แต่เช่นนั้นจะไม่เป็นการเอาเปรียบแม่นางหรือ ทำเช่นนี้จะดีหรือ”
แน่นอนว่าดี เงินก็ได้ทั้งยังมีที่พึ่งพิง ดีกว่าเปิดร้านอาหารเป็นไหนๆ หากจะให้หญิงผู้นี้ปริปากวินิจฉัยโรคเพียงครั้งเดียวก็ต้องจ่ายเงินเป็นหมื่นก้วนเชียว
จะว่าไปราชเลขาหลิวต่างหากที่ขาดทุน
“ไม่หรอก ข้าเป็นคนขอใช้ร้านยาของท่าน เช่นนั้นแล้วก็ต้องว่ากันไปตามกติกา ควรได้เท่าใดก็เท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เจ้าเด็กคนนี้นี่…” ราชเลขาหลิวเอ่ยพลางส่ายหน้า
“พอเถิดท่านปู่ หลานผู้ที่ต่างหากที่เสียเปรียบ” โต้วชีที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
ราชเลขาหลิวถอนหายใจ ท้ายที่สุดก็ยอมพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อแม่นางเป็นคนเอ่ยปากเอง หากข้าไม่ตกลง ก็คงดูเหมือนไม่เต็มใจที่ปรับความเข้าใจกัน เช่นนั้นก็ตกลงตามนั้น” เขาเอ่ยก่อนจะปรบมือ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับ
“ขอบใจใต้เท้านัก” นางเอ่ย เงยหน้าขึ้นเผยยิ้มบาง “ช่างเป็นข่าวดียิ่งนัก”
ราชเลขาหลิวหัวเราะชอบใจ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ช่างเป็นข่าวดีจริงๆ” เขาเอ่ยตาม
ข่าวดีงั้นรึ…
ท่านชายโจวหกหัวใจเต้นระรัว มองดูสองคนที่กำลังหัวเราะอยู่ตรงหน้า
ทั้งสองคนหัวเราะ แต่ผู้ใดจะหัวเราะไปจนถึงตอนสุดท้ายกันนะ
จอมลวงโลกทั้งสอง! หาความจริงใจได้ที่ไหนกัน!
ท่านชายโจวหกลุกขึ้นสะบัดชายเสื้อ
พอเห็นสองหนุ่มสาวออกไปแล้ว โต้วชีก็ยังงุ่นง่านไม่หาย
“ท่านปู่ หญิงผู้นี้หน้าไม่อายนัก กล้าดีอย่างไรมาร้องขอท่านปู่เช่นนี้” เขาตะโกน
เช่นนี้จะต่างอะไรกับเขาที่ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนขอหุ้นลมจากราชเลขาหลิว หุ้นลมเชียวนะ
คนไร้ญาติขาดมิตรเขาทำกันเช่นนี้หรือ ที่ทำไปก็เพื่อหาที่พึ่งพิงต่างหาก!
ถุย ถุย จะเหมือนกับเขาได้อย่างไร เขามิได้หน้าหนาเช่นนางเสียหน่อย
เขาส่งเสียงจุ๊ปากพลางส่ายหน้า
“ท่านปู่ เห็นชัดๆ ว่านางหวังเพิ่งบารมีท่านปู่เพื่อตั้งตัวอีกครั้ง” เขาเอ่ย “อย่าได้ประมาทนางเชียว!”
ราชเลขาหลิวเก็บกระดาษสูตรยาของเฉิงเจียวเหนียงไว้ดังเดิม ทั้งยังบอกกับนางว่าจะเก็บรักษาติดตัวอย่างดีจนกว่าวันที่นางจะไปที่ร้านยา ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขึ้นมา
“เด็กกำพร้าน่าสงสารนัก ไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดู ลุงก็ห่างเหิน มีคนเห็นใจแต่ไม่มีคนตักเตือน นางก็พูดเองมิใช่หรือ ว่าอยากตั้งตัวที่เมืองหลวง เรื่องนี้ช้าหรือเร็วกุ้ยเต๋อหลางเจียงก็ต้องรู้อยู่ดี แต่ว่าหากรู้แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า…” เขาพูดถึงเพียงเท่านี้น้ำเสียงก็เริ่มกระตุกก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ต้องบอกก็รู้ คนหนุ่มสาวอย่างไรก็หาทางออกได้เอง”
เอ่อ…
โต้วชีขยี้จมูกไปมา หรี่ตาลง ท่าทางเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านปู่จงใจใช้คำพูดหลอกล่อให้นางเป็นคนเอ่ยปากว่าจะเอาสูตรไปใช้ที่ร้านเองอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย
แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรออกไป
“คนเราย่อมเลี่ยงความลำบาก มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ จะเรียกว่าหลอกล่อได้อย่างไร” ราชเลขาหลิวเอ่ยพลางหัวเราะ “ชีวิตของนางยากลำบากกว่าผู้อื่นนัก สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เวลาใดควรทำเช่นไร นางย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด”
โต้วชีขยี้ปลายจมูกแล้วครุ่นคิดอีกครั้ง
“หากนางอาศัยเส้นสายภายในของอำมาตย์เฉินสร้างเรือนไท่ผิงขึ้นมาได้ ก็ย่อมพึ่งพาบารมีท่านปู่เปิดร้านยาได้เช่นกัน” เขาเอ่ยเย้ยหยัน “วางแผนแยบยลนัก”
“แม้จะวางแผนแยบยลเพียงใด ก็สู้คนดวงดีมิได้หรอก” ราชเลขาหลิวเอ่ยพลางยิ้ม ในใจรู้สึกอิ่มเอมใจนัก
ก็แค่เรือนไท่ผิง ก็แค่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ผู้ใดก็เปิดได้ทั้งนั้น ที่เขาหมายตาไว้แต่แรกคือเคล็ดวิชาชุบชีวิตคนตายต่างหาก
ว่าอย่างไรนะ เคล็ดวิชาอยู่มือแล้วมิใช่หรือ
พูดเป็นเล่น แม้จะส่งให้ถึงมือ แต่ใครเล่าจะกล้ารับไว้
หากจะต้องรับไว้ คงต้องเป็นเหตุสุดวิสัย ต้องให้ทุกคนบนโลกนี้รับรู้ถึงจะรับเคล็ดวิชานี้ไว้ได้
อย่างเช่นว่าหญิงผู้นี้รักษาคนที่ร้านยาของเขา แม้จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นร้านยาของเขา แต่หากชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายขึ้นมาแล้วก็เหตุภัยพิบัติ หรือว่าร้านไฟไหม้ หรือว่าร้านถูกโจรปล้น ทว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ แม้ตัวเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้ต่อไปแล้ว แต่ยังที่ดีก่อนตายยังมีลูกศิษย์ลูกหา มีเคล็ดวิชาให้สืบทอดต่อไป
นับแต่นี้เคล็ดวิชานั้นจะไม่ใช่ของตระกูลเฉิงอีกต่อไป แต่เป็นของตระกูลหลิว เช่นนั้นแล้วเขาถึงจะรับมันไว้
มีเคล็ดวิชาอยู่ในมือ ขุนนางที่ไหนจะกล้าล่วงเกินเขาได้อีก เขาได้กลายเป็นเสือติดปีกโดยแท้ เสือติดปีกเชียวนะ!
ราชเลขาหลิวลำพองใจยิ่งนัก จนระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เสียงหัวเราะก้องกังวาลไปทั่วห้อง ดังไปจนถึงห้องโถงใหญ่ เหล่าคนงานที่อยู่ในห้องโถงสะดุ้งตกใจจนต้องเหลียวมอง
ผู้ใดกัน หัวเราะอะไรปานนั้น
ราชเลขาหลิวยกมือขึ้นป้องปาก เสียงหัวเราะหยุดลงในทัน สีหน้าตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
เมื่อครู่…เขา…ทำอะไรลงไป
ใช่ หัวเราะอย่างไรเล่า
เป็นไปได้อย่างไร
เขามาย้อนนึกดูแล้วสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยหัวเราะเสียงดังเลยสักครั้ง จนกลายเป็นความเคยชินและติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
หากนิสัยและความเคยชินถูกเปลี่ยนย่อมมิใช่เรื่องดีแน่ๆ !
ท่าทางช่วงนี้เขาคงเผลอตัวมากเกินไปแล้ว!
“ยินดีกับท่านปู่ขอรับ ยินดีที่ความปรารถนาของท่านปู่เป็นจริงเสียที”
โต้วชีที่นั่งอยู่ด้านข้างงุนงงว่าเหตุใดจู่ๆ สีหน้าของท่านปู่ก็เหมือนคนเห็นผีเช่นนั้น แต่เขาพอจะเข้าใจว่าเหตุใดราชเลขาหลิวถึงได้หัวเราะชอบใจเช่นนั้น จึงได้หัวเราะตามแล้วเอ่ยคำยินดี
“ยินดีบ้าบออะไรของเจ้า” ราชเลขาหลิวด่าเขา ก่อนจะเอื้อมมือผลักเขาแล้วเดินออกไป
อักษร “เจ็ด” ถูกแขวนบนตะแกรง แต่สวีเม่าซิวและพรรคพวกก็ยังไม่กลับมา ท่านชายฉินบอกว่าพวกเขาสุขสบายดี ไม่ได้โดนทุบตี เพียงแต่อาหารการกินไม่ค่อยดีนัก เพียงเท่านี้คลายความกังวลในจิตใจที่ว้าวุ่นไม่หยุดของสาวใช้ได้บ้าง
แต่ทว่าเหตุการณ์อื่นกลับดำเนินไปอย่างรวดเร็ว นายบ่าวเรือนไท่ผิงทำเรื่องตามกระบวนการของศาลาว่าการจนเสร็จสิ้น จากนั้นผู้ดูแลอี๋ชุนถังก็เข้ามาคำนับพร้อมกับเชิญให้เข้ามา
“รีบร้อนเสียจริงนะแม่นางเฉิง” โต้วชีมองหนังสือสัญญาที่ประทับด้วยตราสีแดงขนาดใหญ่
พอเห็นว่าเป็นชื่อของตนบนนั้นก็ยิ่งรู้สึกลำพองใจ จนพูดจาเย้ยหยันออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถึงจะแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าแต่อยู่ในคุกก็ทนไม่ไหวหรอก คนเหล่านั้นเป็นผู้มีพระคุณของข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
โต้วชีส่งเสียงฮึดฮัด
พูดเสียสวยหรูเชียวนะ!
“อันที่จริง แม่นางก็แค่หาที่พึ่งก่อนกุ้ยเต๋อหลางเจียงจะกลับก็เท่านั้นมิใช่หรือ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
“พูดเช่นนั้นก็ถูกเพียงกึ่งหนึ่ง” เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเขาก่อนจะเผยยิ้มออกมา
“นายหญิงเจ้าคะ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ไปดูอาการหลี่ต้าเสาเถิด” สาวใช่เอ่ย พลางมองโต้วชีด้วยสายตารังเกียจ
“นั่นสินะ รีบรักษาให้หาย ข้าผู้นี้มิใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ข้าจะไม่ไล่พ่อครัวและคนงานพวกนั้นออก บอกพวกเขาอย่าได้กังวลไป” โต้วชีหัวเราะยกใหญ่
หลี่ต้าเสาและภรรยาย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ทว่านั่นทำให้สะใภ้ซ่งร้อนใจนัก
“เจ้าร้อนใจเรื่องอันใดกัน” หลี่ต้าเสาบอกกับภรรยาที่นั่งไม่ติดที่เอาแต่ทอดถอนใจ “ที่พวกเขาให้เรากลับบ้านได้ ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ปลอดภัยดีแล้ว เรื่องน่ายินดีเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าควรจะเบาใจเสียมากกว่า”
สะใภ้ซ่งนั่งลง นางถอนหายใจเฮือกพลางยื่นมือออกไปช่วยหลี่ต้าเสาเคลื่อนไหวมือ
“แต่ว่า วันนี้ตอนที่ข้าไปเอาของที่เรือนไท่ผิง ข้าแอบได้ยินพวกเขาคุยกันว่า…” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา พูดเพียงเท่านั้นก็หยุดลง สีหน้าดูลังเล
“เขาพูดอะไรก็ไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ นายหญิงเป็นคนรอบคอบอยู่แล้ว” หลี่ต้าเสาพูด
สะใภ้ซ่งมองเขาพลางทอดถอนใจอีกครั้ง
“ใช่ รอบคอบ สิ่งใดที่นางไม่ต้องการแล้วก็คงคิดอย่างรอบคอบแล้วเช่นกัน” นางเอ่ยเสียงแผ่ว
มือของหลี่ต้าเสาสั่นเครือ เขาชักมือออกจากการกอบกุมของสะใภ้ซ่ง แต่เพราะออกแรงมากเกินไปจึงเจ็บปวดจนใบหน้าเหยเก
“จะไม่ต้องการได้อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่นางตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อท่านชายหันนะ” เขาเอ่ยขึ้นในทันที
สะใภ้ซ่งส่ายหน้าอย่างจนใจ
“ท่านพี่ เรื่องมาเช่นนี้แล้ว ผู้ใดก็รักชีวิตตัวเองที่สุด” นางเอ่ย
หลี่ต้าเสานั่งลงอย่างเก้ๆ กังๆ
“ยกให้ผู้ใดกัน” เขาถามอย่างหงุดหงิด
สะใภ้ซ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง
“จะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า” นางเอ่ย “โต้วชี”
หลี่ต้าเสาพรวดพราดลุกยืนขึ้นใดทันใด ในอกสั่นระรัว ก้มหน้าลงมองมือขวาของตนเอง ทั้งๆ ที่ยังคงถูกพันไว้หนาแน่นดังเดิม แต่เขาเหมือนกับเห็นเลือดเนื้อของมือที่ขาด
เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทุบลงบนโต๊ะเตี้ยอย่างแรง
โชคดีที่สะใภ้ซ่งสังเกตเห็นว่าสีหน้าอารมณ์ของเขาผิดแปลกไป จึงยั้งมือนั้นไว้ไม่ให้ฟาดลงบนโต๊ะได้ทัน
“ท่านพี่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ” นางร้องขึ้นมา
“จะมีมันไปเพื่ออะไร จะมีมันไปเพื่ออะไร มีไปก็เท่านั้น มีไปก็เท่านั้น” หลี่ต้าเสาตะโกนเสียงสั่นเครือ
“ไม่จริง ไม่จริง หากยังมีอยู่ ท่านก็ยังทำมาหากินอย่างอื่นได้ เราไปร้านอื่นกัน ไปหาร้านอื่นกัน…” สะใภ้ซ่งเอ่ยเสียงสะอื้น
“หาร้านอื่นหรือ” หลี่ต้าเสาหัวเราะ “หาร้านอื่นรึ เพียงเพราะข้าไม่ยอมไปอยู่ร้านของเขา จึงได้ถูกฟันมือเช่นนี้ จะให้ข้าไปหาร้านใดได้อีก”
สะใภ้ซ่งชะงักไป สองสามีภรรยาได้ร้องไห้กุมขมับอยู่พักใหญ่
“เอ้า พวกท่านเป็นอะไรไป”
เสียงสดใสของหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านนอก สองสามีภรรยาเงยหน้าขึ้น มองผ่านม่านน้ำตาไปก็เห็นเป็นสาวใช้ที่ชะโงกหน้าเข้าที่ประตู
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
“ข้านึกว่าตัวเองจำผิดเสียแล้ว พี่สาวจำข้าได้หรือไม่”
สาวใช้หัวเราะคิกคักก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน
ทว่าคราวนี้จะเหมือนคราวที่แล้วหรือไม่
“มือท่านเจ็บมากหรือไม่” สาวใช้ถาม
หลี่ต้าเสาและภรรยารีบยืนขึ้น พลางเช็ดน้ำตาอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วเชิญนางเข้ามา ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังของนางนั้นคือเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง แม่นางปั้นฉิน พวกท่านมาที่นี่ทำไมกัน” เขาเอ่ยอย่างร้อนรน
“มาทำแผล” เฉิงเจียวเหนียงตอบ มองทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สะใภ้ซ่งคงลืมไปแล้วใช่ไหม” สาวใช้ป้องปากหัวเราะพลางเอ่ยออกมา
หลี่ต้าเสาและสะใภ้ซ่งมองสองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง
ใช่ พวกเขาลืมไปแล้วจริงๆ แต่นายหญิงกลับจำได้ ทั้งยังในเวลาแบบนี้ นางยังจำเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้ได้
“นายหญิง” หลี่ต้าเสาก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วถามออกมา “ท่านไม่ต้องการเรือนไท่ผิงแล้วหรือ”
“ต้องการสิ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ตอบอย่างหน้าชื่นตาบานเลยหรือนี่…
ดูก็รู้ว่าตอบอย่างไม่จริงใจหรือเพียงแค่ต้องการปลอบใจเขาเท่านั้น
“นายหญิง อย่าได้ปิดบังพวกข้าเลย” หลี่ต้าเสาก้มหน้า เอ่ยพลางยิ้มอย่างขมขื่น
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“ข้าไม่พูดปลอบใจใครอยู่แล้ว” นางเอ่ย “เพียงแต่คนได้ยินแล้ว เก็บเอาไปปลอบใจตัวเองต่างหาก”
ยามท้องฟ้าสว่างไสว ก็มีคนรีบร้อนพุ่งเข้ามาหาฮูหยินโจวที่อยู่ในเรือน จนเหล่าแม่นมที่กำลังจัดเก็บโต๊ะอาหารพากันหลบแทบไม่ทัน
“ท่านแม่ ท่านแม่ แย่แล้ว”
ชายหนุ่มสองสามคนตะโกนเสียงโหวกเหวกกำลังเดินเข้ามาในห้องโถง
ฮูหยินโจวสำลัก นางเพิ่งกินข้าวเสร็จและกำลังรับยาที่สาวใช้ยื่นให้ขึ้นมากิน เสียงไอโขลกดังไม่หยุด ใบหน้าแดงก่ำชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนหน้าที่ยืนอยู่หน้าประตู ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก
“ท่านพี่ พวกท่านทำอะไรกัน” น้องสาวสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างแม่ตะโกนออกมา “ทำท่านแม่ตกใจหมดเลย!”
หลังจากวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ฮูหยินโจวถึงได้อาการดีขึ้น
“เรื่องของท่านพ่อเจ้าหรือ” นางรีบเอ่ยถาม ไม่สนใจดื่มน้ำที่สาวใช้ยื่นให้
“ไม่ใช่ขอรับ” เหล่าท่านชายตระกูลโจวท่าทางอึดอัด “เรื่อง…เรื่องของคนบ้านั่น…”
ฮูหยินเฉินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดือดดาลขึ้นมา ก่อนจะหยิบแก้วชาขว้างทิ้งออกไป
“คนบ้านั่นเป็นอะไรไปอีก พวกเจ้าเองก็บ้าไปแล้วหรือ วิ่งพรวดพราดเข้าจนข้าตกใจหมด” นางเอ่ย
“ท่านแม่ ท่านแม่ คนบ้านั่นจะไปรักษาคนประจำที่อี๋ชุนถัง!” เหล่าท่านชายพากันหลบแก้วชาก่อนจะเอ่ยออมา
เกิดอะไรขึ้นอีก
ฮูหยินเฉินทอดถอนใจแล้วนั่งลง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เมื่อครู่พวกข้าเพิ่งเห็นระหว่างทาง เสียงประทัดดังลั่นไปหมด แถมอี๋ชุนถังยังแขวนป้ายแล้วอีกด้วย เขียนว่า ’แม่นางหมอเทวดา ชุบชีวิตคนตาย’ คนทั้งถนนกรูกันเข้ามามุงดู คึกคักยิ่งนัก” เหล่าท่านชายพูดไม่หยุด
ฮูหยินโจวราวกับเห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง เสียงประทัดดังสนั่น ผู้คนพากันเอ่ยคำยินดี
แต่หญิงผู้นั้นคงปั้นหน้านิ่งดั่งเคย
แต่เหตุใดถึงทำเรื่องแบบนี้ในเวลาเช่นนี้!
ยามนี้ตระกูลกำลังเผชิญกับปัญหา! ยามคนทั้งเรือนกินไม่ได้นอนไม่หลับ!
แต่นางกลับ…
“ไร้ยางอายสิ้นดี!” ฮูหยินโจวสบถ “พอเห็นว่าตระกูลโจวของเรากำลังจะล่มจม นางก็วิ่งโร่ไปหาที่พึ่งพิงใหม่แล้ว!”
พูดถึงเพียงเท่านี้ นางก็เหลียวหลังกลับมามองอีกครั้ง
“ชายหกเล่า เขารู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าแอบหนีไปช่วยงานด้วยหรอกนะ” นางขมวดคิ้วเอ่ย
“เปล่าเจ้าค่ะ เปล่าเจ้าค่ะ” เหล่าแม่นมรีบพูดขึ้น “ท่านชายหกเอาแต่อยู่เรือน ไม่ได้ออกไปไหนมาสองวันแล้วเจ้าค่ะ”
“เขาทำอะไรอยู่” ฮูหยินโจวถาม
ท่านชายโจวหกวางพู่กันลง สาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างกายก็ชะโงกหน้าเข้ามาดู
“เก้า” นางพูดขึ้นมา พูดจบก็คลี่ยิ้มออกมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว “หมายถึงสรรพสิ่งล้วนกลับคืนสู่สภาพเดิมหรือเจ้าคะ นายใหญ่น่าจะกลับมาถึงคืนวันพรุ่งแล้วเจ้าค่ะ”
ท่านชายโจวส่ายหน้าแต่ทว่าไม่ได้พูดอะไร
“ท่านจะทำอะไรอีกหรือเจ้าคะ” สาวใช้เก็บกวาดโต๊ะเขียนหนังสือ มองยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
เป็นเพราะโดนกักบริเวณจึงถูกขังอยู่แต่ในบ้าน หนังสือก็อ่านแล้ว อักษรก็เขียนแล้ว จะให้ไปฝึกที่ลานฝึกวรยุทธ์หรือ
ชายหนุ่มหันหลังให้นาง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยคำหนึ่งออกมา
“รอ”
ในยามนี้ราชเลขาหลิวสะสางงานราชการช่วงเช้าจนเสร็จแล้ว
เขาวางพู่กันลง นวดคลึงดวงตาที่แสบเพราะความเมื่อยล้า ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย
ขณะนั้นผู้ติดตามก็ยกชาเข้ามาให้
“ใต้เท้า วันนี้อารมณ์ไม่ดีหรือขอรับ” เขาเอ่ยถามไปพลาง
ราชเลขาหลิวเงยหน้าขึ้นมองเขา พลางยกมือขึ้นมาจับใบหน้าของตนเอง
“ข้าน่ะหรืออารมณ์ไม่ดี” เขาถามกลับ มุมปากยกยิ้ม
แม้ใบหน้าจะดูอ่อนโยนเหมือนเคยทุวัน แต่ทว่ากลับให้ความรู้สึกตึงเครียด
ผู้ติดตามหัวเราะเบาๆ
“ใต้เท้าคงเหนื่อยแย่เลยนะขอรับ เรื่องบางหรือก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการก็ได้นี่ขอรับ” เขาเอ่ยพลางยิ้ม “ใต้เท้า ท่านจะได้เป็นใต้เท้าแล้วนะขอรับ”
ใต้เท้าจะได้เป็นใต้เท้าแล้วอย่างนั้นหรือ…
ใต้เท้าที่ว่านี่หมายถึงตำแหน่งอำมาตย์สินะ…
ในกรมขุนนางต่างก็พากันเล่าลือให้ทั่ว ว่าผู้ใดคือใต้เท้าตัวจริง
ราชเลขาหลิวรู้สึกราวกับว่าเสียงหัวเราะที่อัดอั้นกันอยู่ในอกจะระเบิดออกมาทางปาก ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลา ต้องรอให้สารมาถึงมือก่อน จึงจะเรียกว่าใต้เท้าที่แท้จริง
มือของราชเลขาหลิวที่ถือถ้วยชาอยู่ เส้นเลือดปูนโปนจนแทบจะระเบิด ผ่านไปครู่ใหญ่ได้ถึงกลับมาปกติอีกครั้ง
ครั้นเขาจะเอ่ยปากพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว เพราะผู้ติดตามได้ออกไปข้างนอกแล้ว
ราชเลขาหลิวเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ เขาถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอกได้ ทว่าหัวใจยังคงเต้นตึกตัก
เสียงหัวเราะครื้นเครงจากด้านนอกลอยเข้ามาอีกครั้ง ที่นี่อยู่หากจากศาลาว่าการและกรมขุนนางไม่ไกลนัก มีขุนนางเดินผ่านให้ขวักไขว่ ถือว่าเป็นที่ๆ คึกครื้นมากที่สุดก็ว่าได้
ราชเลขาหลิวเงี่ยหูฟัง เป็นดังคาดพวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องของเฉินเซ่า ทว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเถียงกันแล้ว เพราะว่าได้รับการยืนยันแล้ว ทว่าตำแหน่งผู้ช่วยเจ้ากรมกรมขุนนางที่ว่างเล่า…
“ต้องเป็นราชเลขาหลิวแน่นอน….”
พอหูได้ยินคำนี้ ราชเลขาหลิวกลับไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนคราวก่อนๆ เพราะเขาไปสืบรู้มาบ้างแล้ว ดังนั้นข่าวลือพวกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีมูลเอาเสียเลย
ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งยะโสหรืออย่างไร แต่ตลอดเวลาการทำงานนับหลายสิบปี วันนี้เรื่องน่ายินดีก็ควรจะถึงคราวเกิดขึ้นกับเขาแล้ว
หากต้องการเส้นสาย เขาสามารถให้ได้ หากต้องการประสบการณ์ เขาเองก็มี หากต้องการคนมีคุณธรรม เขาก็เป็นเช่นนั้น จะมีผู้ใดเพรียบพร้อมไปกว่าเขาอีกหรือ
ทว่าหากมีผู้ใดมาข้ามหน้าข้ามตาเขาล่ะก็ คนผู้นั่นคงจบไม่สวยแน่ๆ ไม่นานก็คงจะถูกหาเรื่องจนต้องถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงไป
ราชเลขาหลิวกัดฟันโดยไม่รู้ตัว ในปากเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะได้สติกลับคืนมาเพราะกัดจนฟันเจ็บจี๊ดโดยไม่ทันระวัง เขายกชาขึ้นมาดื่มในทันที แม้ชาจะเย็นชืดไปหมดแล้ว แต่เสียงหัวเราะด้านนอกก็ยังครื้นเครงไม่หยุด
ราชเลขาหลิวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไป
เขาเดินไปตามเฉลียงทางเดินของศาลาว่าการ ที่แห่งนี้ลมเย็นสบายนัก เป็นที่หลบร้อนของทุกคนในยามฤดูร้อน เมื่อราชเลขาหลิวเดินออกมา เพราะเป็นที่รักใคร่ของเขาทุกคนต่างก็ยิ้มให้และเอ่ยทักทาย
“เชิญนั่งทางนี้ ราชเลขาหลิว…”
“วันนี้ท่านกินอะไร ไปกินกับพวกเราดีกว่า อย่ามัวแต่กินผักดองคลุกข้าวนั่นเลย…”
“วางใจได้ ท่านไม่ต้องจ่าย พวกข้าเป็นเจ้ามือเอง…”
ราชเลขาหลิวเป็นคนจิตใจดีทั้งยังมีอารมณ์ขัน ไม่ถือตัวกับผู้ใด ในยามนี้จึงหัวเราะไปตามน้ำกับคำพูดหยอกล้อพวกเขา
ขณะที่กำลังจะนั่งลงร่วมวงสนทนา ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าดังขึ้น จากนั้นก็ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งถือไม้เท้าเดินมาจากหออาลักษณ์
หนุ่มน้อยผู้นั้นใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง แต่น่าเสียดายสองขาที่พิการ ราวกับคราบหมึกที่เปรอะลงบนภาพทิวทัศน์อันสวยงาม
“ช่วงนี้เจ้าเป๋ตระกูลฉินมาที่นี่กี่หนแล้วนะ…”
“มาสืบถามเรื่องของกุ้ยเต๋อหลางเจียงน่ะ…”
“เหมือนว่าเขาจะเป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายบ้านตระกูลโจว…”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง อันที่จริงก็สมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ราชเลขาหลิวลอบพยักหน้าอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับนิ่งเรียบดังเดิม
เรื่องที่ท่านชายแห่งตระกูลโจวและตระกูลฉินเป็นเพื่อนรักกัน เขานั้นย่อมรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว
ทั้งยังคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้วด้วย มิได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด
หากเขาไม่มาสิ ถึงจะเรียกว่าแปลก
มาสืบอย่างนั้นหรือ แล้วสืบได้ความอย่างไรบ้างเล่า หลักฐานก็มีอยู่โทนโท่ ยังจะมาหาเรื่องให้ฝ่าบาทต้องโมโหอีก เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่าบาทเหมือนดั่งพ่อลูก ถึงจะมีคนยอมออกหน้ามาช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นผู้ใดทำผิดก็ต้องรับชะตากรรมเองเสียแล้วล่ะ
อ๋อ ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือหาเส้นสายเข้าทางผู้สืบสวนคดี จากนั้นก็หาคนรุ่นราวคราวเดียวกันมาเป็นแพะรับบาปสักคน แค่นั้นก็เสร็จเรียบร้อย แต่ทว่าคนผู้นี้จะทำเช่นนั้นหรือ
หากเป็นเขา เขาคงไม่ทำ
ราชเลขาหลิวยิ้มอ่อน ดังนั้นอย่างไรเจ้าโง่ตระกูลโจวนั่นก็ต้องถูกเตะออกไปนอกเมืองหลวงอยู่ดี จะไม่ได้ไม่ต้องรกหูรกตาเขา ในเมื่อเขามีหลักฐานหนาแน่นถึงเพียงนี้ อย่างไรก็สำเร็จแน่นอน
วันนี้เด็กบ้าแห่งเจียงโจวก็จะมาประจำที่อี๋ชุนถังแล้ว เรือนไท่ผิงก็กลายเป็นสมบัติของส่วนตัวของเขาแล้ว เช่นนั้นเต้าหู้ไท่ผิงก็ย่อมไม่ใช่ตำรับของตระกูลเฉิงอีกต่อไป ลงมือเพียงครั้งเดียวก็ถอนรากถอนโคนคนพวกนั้นได้จนสิ้นซาก สะใจยิ่งนัก! นี่เป็นเป็นการเตือนและข่มขวัญพวกศัตรูตัวจ้อยแสนโง่เขลาที่แอบอยู่ในมุมมืด ว่าอย่าได้ริอาจท้าทายเขา!
ยามนี้เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่ง ทุกเรื่องต่างเป็นไปตามปรารถนา ข่าวดีมีมาไม่ขาดสาย
“ดูนั่นสิ เขามาแล้ว”
“มาแน่นอนสิ เรานั่งกันเยอะเพียงนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร…”
ทุกคนเอ่ยเสียงกระซิบหยอกล้อกัน พลางมองท่านชายฉินสิบสามเดินเข้ามาใกล้
“ขุนนางน้อยมาแล้ว”
ทุกคนพากันเอ่ยทักทาย
ท่านชายฉินยิ้มพลางโค้งคำนับ พอหันไปเห็นราชเลขาหลิวก็เผยยิ้มอย่างเป็นมิตรออกมา
“ใต้เท้าหลิว” เขาเอ่ยพลางค้ำไม้เท้าเดินเข้ามาใกล้
ราชเลขาหลิวรีบเข้าไปพยุงเขา
“ท่านขุนนางน้อยนั่งลงก่อน” เขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง
ท่านชายฉินยิ้มขณะจับแขนของเขาไว้เพื่อพยุงร่าง
“ยินดีด้วยนะขอรับ…”
เจ้าเป๋มาเยือนถิ่นเขาได้เวลาพอดิบพอดี แถมได้ยินมาว่าข่าวนั้นเริ่มแพร่มาจากท่านพ่อของเขา
หรือว่าจะคัดเลือกแล้ว
หัวใจของราชเลขาหลิวเต้นระส่ำก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเต้นอย่างถี่รัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านขุนนางน้อยล้อเล่นหรือ ยินดีเรื่องอะไรกัน” เขารีบยกมือขึ้นคำนับ “อย่าล้อเล่นกับคนแก่อย่างข้าเลย ข้ามิกล้าหรอก มิกล้าหรอก”
พอพูดจบก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาแต่ไกล
“ราชเลขาหลิว! ราชเลขาหลิวอยู่ไหม!”
กลุ่มคนที่กำลังยิ้มหัวเราะนิ่งไปในทันที ก่อนจะหันไปตามต้นเสียง ก็เห็นขุนนางผู้น้อยจากจวนเสนาบดีกำลังวิ่งมาอย่างเร่งรีบ กวักมือเรียกมาทางพวกเขา
“ราชเลขาหลิว ใต้เท้าฝ่ายสืบสวนขอพบท่านขอรับ เร็วเข้าเถิดขอรับ เร็วเข้า” เขาตะโกนใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนมือก็ยกขึ้นคำนับไม่หยุด
ใต้เท้าฝ่ายสืบสวนอย่างนั้นหรือ!
ใต้เท้าฝ่ายสืบสวนจากจวนเสนาบดีเรียกหาเขาอย่างนั้นหรือ! เกิดเรื่องอะไรขึ้น! หากจะติดต่องานราชการทั่วไปก็มิจำเป็นต้องเรียกหาเขานี่ นอกเสียจากว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเองอีกด้วย…
ราชเลขาหลิวรู้สึกเหมือนหูอื้ออึงไปหมด
“ใต้เท้า! เรื่องน่ายินดีมาแล้วล่ะ!” ท่านชายฉินตีเข้าที่แขนเขาอย่างแรก เสียงหัวเราะชอบใจดังข้างหูไม่หยุด
เรื่องน่ายินดีมาเยือนแล้วงั้นรึ!
เขาจะได้เป็นรองเจ้ากรมแล้ว!
เขาได้เป็นรองเจ้ากรมแล้ว!
ราชเลขาหลิวหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ภายในอกเหมือนดั่งคลื่นทะเลถาโถม ภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอไปหมด ในหูได้แต่เสียงกึกก้อง ราวกับคนมากมายกำลังพูดคุยกันแต่เขากลับได้ยินไม่ชัดเจน
เขาอยากจะหัวเราะดังๆ แต่พอเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาก็รู้สึกว่าไม่ควรหัวเราะ จะยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้ความรู้สึกภายในใจเขาเป็นอันขาด
เขาอยากจะยกมือขึ้นทาบอกเพื่อคลายความว้าวุ้นที่อึดอัดอยู่ข้างใน
แต่มือที่ยกขึ้นมากลับปรบเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
“ฮ่า! ฮ่า!” เขาตะโกนออกมา “ข้าคือรองเจ้ากรม! ข้าคือรองเจ้ากรม!”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ร่างทั้งร่างก็ลื่นไถลลงกับพื้น ทว่ามือนั้นยังคงปรบเข้าหากันไม่หยุด เสียงหัวเราะยังไม่จางหาย
คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นพากันโห่ร้องโกลาหลวุ่นวาย
……………………..