“ใต้เท้าหลิว!” ทุกคนตะโกนร้องกันวุ่นวาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันก็ตะโกนให้เรียกหมอหลวงมา
“เป็นลมไปแล้ว!” ท่านชายฉินตะโกนเสียงดัง “รีบตีเขาให้ฟื้นเร็วเข้า!”
ขุนนางชั้นผู้น้อยที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดได้ยินดังนั้นก็ง้างมือขึ้นโดยสัญชาตญาณ แล้วตบไปที่หน้าของราชเลขาหลิว
ราชเลขาหลิวไม่ตอบสนอง แต่กลับนอนลงกับพื้น ปากเบี้ยว ตาเข น้ำลายไหล ตัวกระตุกไม่หยุด
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างทำอะไรไม่ถูก สำนักหมอหลวงก็อยู่ไกล หากจะไปเชิญหมอหลวงมาก็ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ทุกคนเห็นสภาพของราชเลขาหลิวก็เตรียมใจไว้บ้างแล้ว
เป็นอัมพาตอย่างนั้นหรือ!
ต่อให้เชิญหมอหลวงมาก็ไร้ประโยชน์!
ที่แห่งนั้นเงียบสงัดไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงเอะอะของผู้คนที่ได้ยินข่าวแล้วรีบเข้ามา และเสียงร่ำไห้ของผู้ติดตามราชเลขาหลิว
“ไปอี๋ชุนถัง!” ท่านชายฉินตะโกนขึ้นกะทันหัน “ได้ยินว่าอี๋ชุนถังในเมืองหลวงเชิญนายหญิงหมอเทวดาที่สามารถชุบชีวิตได้มาประจำอยู่แล้ว รีบส่งไปให้รักษาเถิด!”
คำพูดของเขาเรียกสติผู้ติดตามของราชเลขาหลิวที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ
อี๋ชุนถังเป็นทรัพย์สินลับๆ ของราชเลขาหลิว ตอนนี้ยังมีนายหญิงหมอเทวดาอยู่ด้วย น่าจะปลอดภัยที่สุด
“ไปอี๋ชุนถัง! ไปอี๋ชุนถัง!” เขาตะโกนเสียงสะอื้น
ใช่ ใช่ นายหญิงหมอเทวดาผู้นั้น!
ผู้คนโกลาหลขึ้นมาใดทันใด ราชเลขาหลิวเป็นที่รักใคร่ของผู้คน เมื่อเห็นว่าเขาป่วยขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ ทุกคนต่างร้อนรนอยากจะช่วยเหลือ จนหาไม้กระดานมาได้ เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยยกร่างของเขาขึ้นวางแล้วรีบวิ่งไปออกไปในทันที
ด้านนอกอี๋ชุนถังยังคงคึกคักไม่ขาดสาย
โต้วชีก็รีบมามุงดูด้วยโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่แขนเลย
“นายหญิงเฉิง เจ้าหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านไปทำไมกัน” เขาหัวเราะ “มีคนมากมายรอดูรูปโฉมของนายหญิงหมอเทวดาอยู่ วันหลังเจ้าก็ต้องนั่งประจำรับรักษาแล้ว จะทำท่าทีเป็นหญิงสาวในเรือนไม่ได้แล้วนะ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องพบผู้คนอยู่ดี”
ตั้งแต่ตอนเช้ามา เขาก็เริ่มหาเรื่องพูด สรรหาคำพูดน่ารังเกียจมาพูด ถึงแม้ไม่ช้าก็เร็วหญิงผู้นี้ก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่หากไม่ได้ระบายอารมณ์ออกมาก็จะรู้สึกอึดอัด โต้วชียังคงไม่สบายใจ
เฉิงเจียวเหนียงกำลังตรวจตราร้านยาอย่างช้าๆ ไม่สนใจคำพูดของเขา
โต้วชีไม่พอใจกับปฏิกิริยานี้สักเท่าไหร่
“ร้านยานี้ไม่เลวสินะ” เขาเอ่ย “วันหน้าหากมีนายหญิงเฉิงแล้วมาอยู่แล้ว ก็จะร่ำรวยยิ่งขึ้นอีก”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ไม่เลว ไม่เลว” ครั้งนี้นางขานตอบแล้ว พร้อมกับเปิดตู้ยาดูยาในนั้น
โต้วชีส่งเสียงเคือง
“ดีไม่ดี ก็ไม่ต้องให้เจ้ามาสนใจ” เขาเอ่ย
“ข้าไม่สนใจ แล้วใครจะสนใจ” เฉิงเจียวเหนียงตอบพรางดันลิ้นชักเก็บเข้าไป
โต้วชีถ่มน้ำลายในใจ
ทำไมหรือ นึกว่าที่นี่คือเรือนไท่ผิงหรือ นายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย!
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ขอยินดีกับนายหญิงเฉิงด้วย กิจการร่ำรวยแล้วละ” เขาเอ่ยอย่างมีเลศนัย
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้สนใจเขา นางมองไปทางอื่น ท่าทีราวกับกำลังตรวจตราพื้นที่ของตนอย่างนั้น
โต้วชีก็ยิ่งฉุนเฉียว กำลังจะเอ่ยเหน็บแนมอีกก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากด้านนอกทันในใด
เสียงประทัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผสมปนเปไปกับเสียงคนเสียงรถเสียงฝีเท้าอันวุ่นวาย
“ถอยไป นายหญิงหมอเทวดารีบช่วยชีวิตด้วยเถิด”
เสียงนั้นใกล้เข้ามาและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
โต้วชียืนอยู่หน้าประตู มองดูฝูงชนที่ยืนกระจัดกระจาย คนกลุ่มหนึ่งแบกไม้กระดานมุ่งหน้าเข้ามา
เขาตาลุกวาวโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่า ฮ่า” เขาเหลียวหลังหัวเราะเข้าไป “นายหญิงเฉิงช่างเป็นตัวนำโชคจริงๆ เพิ่งจะเข้าประจำก็มีคนมาขอร้องให้ช่วยชีวิตแล้ว!”
เมื่อเขาพูดจบก็ก้าวออกไปอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าใครกันที่โชคร้าย…” เขาหัวเราะคิกคักแล้วมองไปที่กลุ่มคนที่ทะลักเข้ามา ทันใดนั้นเองสีหน้าก็เปลี่ยนไป ดวงตาลุกโพรงขึ้นในทันที
เหตุใดถึงได้คุ้นหน้าผู้ที่ติดตามที่วิ่งนำคนอื่นมาผู้นี้นัก
“เร็วเข้า เร็วเข้า รีบช่วยนายท่านเร็ว”
ผู้ติดตามตะโกนขึ้น เร่งเร้าให้คนบนท้องถนนหลบไป ก่อนจะหันไปเห็นโต้วชี
“โต้วชี รีบให้นายหญิงเฉิงมาช่วยนายท่านเร็ว!” เขาตะโกน
“นายท่าน…ผู้ใดกัน” โต้วชีโพล่งถามออกมา
อาจเป็นเพราะปู่บุญธรรมแพร่ข่าวแก่บรรดาขุนนาง จึงมีลูกค้ามาหา คนที่ปู่บุญธรรมแนะนำมาล้วนแต่เป็นนายท่านทั้งนั้น
คนกลุ่มนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ โต้วชีจึงเห็นคนที่นอนอยู่บนไม้กระดานนั้น
ชุดขุนนางแสนคุ้นตา เสื้อผ้าที่เก่าโทรมจากการซักล้างมาหลายครั้ง ยามนี้ก็ไม่ได้สะอาดเรียบร้อยเหมือนเก่า แต่กลับยับย่น เต็มไปด้วยคราบสกปรก
ผู้เฒ่าที่นอนอยู่บนนั้นก็ไม่ได้ดูมีเมตตาน่าเข้าหาเช่นเดิม แต่กลับปากเบี้ยวตาเข น้ำลายไหล มือที่วางอยู่บนตัวกระตุกไม่หยุด ช่างน่ารังเกียจนัก
โต้วชีขาอ่อนแรง เสียงอึ้งอึงอยู่ในหู ไม่ได้ยินเสียงผู้คนรอบข้างพูดคุยกัน ได้แต่จ้องคนตรงหน้าไม่วางตา
“อ่อ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าเข้ามาประจำวันแรก คนแรกที่มารักษาจะเป็นใต้เท้าหลิว”
เสียงแหบพร่าของหญิงสาวดังขึ้นข้างหู เสียงนั้นไม่ดังนัก แต่กลับกึกก้องในหัวเขาดั่งเสียงฟ้าร้อง
โต้วชีหันหน้าไปมอง หญิงสาวตรงหน้ายังคงสีหน้าเรียบเฉย
“นี่โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะ” นางเหลียวไปมองโต้วชีแล้วถามขึ้น
“ราชเลขาหลิวเป็นบ้าไปแล้วหรือ”
นายใหญ่เฉินวางหนังสือลงด้วยความตกตะลึง แล้วมองดูเฉินเซ่าที่กลับมาอย่างร้อนรนตรงหน้า
“ขอรับ เพิ่งมีอาการ” เฉินเซ่าเอ่ย “เมื่อครู่พวกเราพากันไปเยี่ยมกันที่ร้านยา”
นายใหญ่เฉินมองดูเขา ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับเช่นไร
“เขาเป็นคนระวังตัว รักษาตัวเองอย่างอีกด้วย แม้จะกินอยู่อย่างประหยัด แต่ร่างกายก็แข็งแรงยิ่งนัก” เขาเอ่ย “เหตุใด เหตุใดจู่ๆ ถึงได้บ้าไปได้เล่า”
“ก็ไม่ได้บ้า เมื่อครู่ตรวจอาการดูแล้ว เป็นอัมพาตขอรับ” เฉินเซ่าเอ่ย สีหน้าดูยุ่งเหยิงพิลึกนัก
เป็นอัมพาตรึ ให้เป็นบ้ายังจะดีเสียกว่า
นายใหญ่เฉินสียิ่งไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าเช่นไรดี
หากเป็นบ้าก็ไม่ต้องรับรู้อะไร คนที่มามุงดูก็ล้วนเป็นคนนอก ตนกลับไม่รู้ไม่ทุกข์ไม่สุข
แต่อัมพาตนั้น รับรู้อยู่ในใจชัดเจนทุกอย่าง แต่ร่างกายขยับไม่ได้ ถึงเวลานั้นคนที่ทรมานที่สุดก็คือตนเอง
“นาง เป็นคนทำหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างลังเล
นี่มัน เป็นไปไม่ได้หรอกน่ะ
หรือจะเทพเทวดากำหนดชะตาชีวิตของคนได้จริงๆ
เหลวไหลน่ะ
“นาง ก็ไม่ได้ทำอะไรขอรับ” เฉินเซ่าเอ่ยด้วยสีหน้าอารมณ์ซับซ้อน “นางยังไปเป็นหมอที่ร้านยาอี๋ชุนถังแล้วด้วยขอรับ”
เรื่องนี้นายใหญ่เฉินรู้อยู่แล้ว หลายวันมานี้พวกเขาลอบสังเกตอยู่ลับๆ
ไกล่เกลี่ยกับราชเลขาหลิวแล้ว ชดใช้ด้วยเรือนไท่ผิง ทั้งยังอาสาใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือ
พวกเขาสองพ่อลูกสับสนไปหมด ในใจก็คิดว่าอย่างไรเสียก็นางก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง จะทำอย่างไรได้เล่า เป็นเช่นนี้ก็ดี แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆ มันช่างพิกลนัก ขณะที่กำลังคิดทบทวนอยู่นั้นก็มีข่าวส่งมาทันใด
ในห้องนั้นเงียบลงทันที สองพ่อลูกต่างเหม่อลอย
“ยังมีอีกเรื่อง” นายใหญ่เฉินเอ่ยขึ้นกะทันหัน
เฉินเซ่าเงยหน้ามองเขา
“อัมพาต รักษาไม่ได้” นายใหญ่เฉินเอ่ย
ใช่ เรื่องนี้ใครก็รู้กัน
เฉินเซ่าพยักหน้า ไม่เข้าใจความหมายของท่านพ่อ
นายใหญ่เฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย
“นายหญิงเฉิง โรคไม่ถึงตาย ไม่รักษา” เขาเอ่ย
เฉินเซ่าเข้าใจในทันที หวาดผวาขึ้นทันใด
ทุกอย่างบังเอิญไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
อัมพาต เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ แต่ก็ไม่ตายในทันที แต่ก็จบสิ้นทุกอย่างแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับพวกนักเลงที่ถูกยิงตายเลย!
ตายทั้งเป็น อนาคตสลายไปดั่งเถ้าถ่าน
คนที่เป็นอัมพาต ก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ คนไร้ประโยชน์ จะมีอำนาจข่มขู่ผู้ใดได้อีก
นายใหญ่เฉินหันหน้าไปมองตู้หนังสือของตน บนนั้นมีตัวหนังสือตัวหนึ่งแขวนไว้อยู่
เก้า
“เก้าวัน” เขาพึมพำ
เก้าเก้ากลับกลายเป็นหนึ่ง สรรพสิ่งล้วนกลับคืนสู่สภาพเดิม
นี่มัน อะไรกันแน่
เพราะโชคดี หรือเพราะแผนดีกันแน่
“นายหญิงเฉิง ใต้เท้าหลิวเป็นอย่างไรบ้าง”
ขุนนางที่เป็นหัวหน้าถามขึ้นก่อน
ผู้คนยืนอยู่เต็มห้องโถงของอี๋ชุนถัง มีทั้งขุนนาง และครอบครัวของราชเลขาหลิวที่รีบตามมาทันทีเมื่อได้ข่าว
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นไม่หยุด
เฉิงเจียวเหนียงละสายตากลับมาจากแผ่นกระดานนั้น สายตาทุกคู่ก็จับจองไปที่ร่างของนาง
สาวน้อยรวบผมสวมชุดขาว สีหน้านิ่งเรียบ แต่กลับดูเหมาะสมยิ่งนักในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงโต้วชีที่ยืนอยู่ในมุมด้านหลังผู้คนที่ยังคงหวาดผวาอยู่ เขาใบหน้าซีดเผือด มองตามผู้คนไปที่หญิงสาวผู้นั้น
นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ๆ
“ยังพอใช้ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้คนในที่นั้นต่างก็โล่งใจ คนในครอบครัวก็ดีใจจนร้องไห้ออกมา
“ไม่อันตรายถึงชีวิต” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
“เช่นนั้นเชิญนายหญิงเฉิงรีบรักษาเถิด” คนในครอบครัวต่างก็รีบตะโกนโหวกเหวก
เฉิงเจียวเหนียงมองพวกเขาแล้วส่ายหน้า
“โรคนี้ ข้ารักษาไม่ได้” นางเอ่ย
ทุกคนต่างชะงักไป
“พวกท่านไปหาผู้อื่นเถิด” เฉิงเจียวเหนียงคำนับแล้วก้าวเท้าออกไป
เมื่อเห็นนางกำลังจะเดินจากไป คนในครอบครัวได้สติก็รีบรั้งเอาไว้
“…นายหญิง ท่านเป็นศิษย์ของนักพรตหลี่ ใครจะมีฝีมือเหนือไปกว่าท่านอีก!”
มีคนตะโกนขึ้นมา
และยังมีคนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“นายหญิง ค่ารักษา เรื่องค่ารักษาไม่ต้องกังวล พวกเรามีจ่าย หนึ่งหมื่น สองหมื่น สามหมื่นก้วนก็ได้ เอามาให้เดี๋ยวนี้เลย”
คนที่ป่วยจนเทียวหาหมอไปทั่ว คนที่ป่วยจนยอมเสียเงินมากมายนั้น พบเห็นได้ทั่วไป
เพียงแต่เมื่อได้ยินคนในตระกูลหลิวตะโกนคำนี้ออกมา คนในห้องโถงก็มีท่าทีประหลาดไป
ตระกูลหลิวที่มัธยัสถ์มาตลอด ไม่มีเงินให้ลูกสาวออกเรือน ติดค้างบัญชีกับลูกเขยเพื่อแลกกับสินเดิมของลูกสาว จะหาเงินสามหมื่นก้วนมาได้ทันทีหรือ
แม้อีกฝ่ายจะตะโกนโหวกเหวกวุ่นวาย เฉิงเจียวเหนียงก็สีหน้าคงเดิม
“อย่างแรก ข้าไม่ใช่ศิษย์ของนักพรตหลี่” นางเอ่ย “นั่นเป็นเพียงข่าวลือ”
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านจะเป็นศิษย์ของใคร ท่านชุบชีวิตได้มิใช่หรือ ขอท่านรีบช่วยนายใหญ่ข้าด้วยเถิด” คนในครอบครัวเอ่ยอย่างร้อนรน
พวกเขาร้อนรนจนแทบจะพังเรือน ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวตรงหน้าดูนิ่งมากขึ้น แต่ก็ยังคงรักษากฎของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ คำนับแล้วขานตอบ
“ข้าชุบชีวิตได้ก็จริง” นางเอ่ยแล้วเงยหน้ามองคนในครอบครัวราชเลขาหลิว ก่อนจะเหลียวหลังไปมองราชเลขาหลิวบนไม้กระดาน
ราชเลขาหลิวยังคงเป็นสภาพเหมือนตอนที่ถูกพามายังที่นี่ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ปากอ้าเล็กน้อย น้ำลายไหลไม่หยุด
“แต่ว่า อาการป่วยของใต้เท้าหลิวไม่ถึงตายนี่” นางเอ่ย “กฎของข้าคือคนที่ไม่ถึงตายข้าไม่รักษาให้ ฉะนั้น ข้ารักษาให้เขาไม่ได้ ขออภัยด้วยจริงๆ”
สรุปคือเนื่องจากไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต นางจึงได้บอกว่ายังพอใช้ได้ แต่ก็เนื่องด้วยเหตุนี้เช่นกัน นางถึงรักษาให้ไม่ได้
อาการอัมพาตนี้ จะมีคนรักษาหายได้อย่างไร!
นี่เป็นเรื่องดี หรือไม่ดีกันแน่! เป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่!
ทุกคนในที่นั้นสีหน้าอารมณ์ซับซ้อน ในใจโห่ร้องออกมาอย่างอดไม่ไหว
เช่นนี้ป่วยหนักจนตายไปยังจะดีเสียกว่า!
…………………