เสียงร้องไห้ระงมดังไปทั่วอี๋ชุนถัง บริเวณด้านนอกก็ยังมีคนแห่กันเข้ามาไม่ขาดสาย

“คนผู้นี้ป่วยได้ถูกเวลาเสียจริง แม่นางหมอเทวดามาประจำพอดี”

“จะว่าไปเขาก็โชคดีไม่น้อย”

“ว่าแต่คือผู้ใดกัน”

“ขุนนางมากมายถึงเพียงนี้ ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ …”

เสียงผู้คนถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน สาวใช้อายุราวสิบสองสิบสามปี ในมือของนางถือตะกร้าอยู่ พอได้ยินดังนั้นก็รีบเบียดเสียดผู้คนเข้าไปข้างหน้า

บริเวณโดยรอบของอี๋ชุนถังเริ่มมีทหารเข้ามาคุ้มกันเป็นแถวเรียงรายเพื่อไม่ให้ฝูงชนเข้ามาใกล้ พอเห็นสาวใช้เข้ามาใกล้ ทหารก็ถลึงตาใส่พร้อมตะโกนด่าทอ

“รีบไป รีบไปเอามาจากที่บ้าน”

เสียงหญิงสาวสะอื้นดังมาจากในห้องโถง

“นายท่าน ท่านจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”

เสียงคร่ำครวญเคล้าเสียงตะโกนโหวกเหวก ชายสองคนสวมเสื้อผ้าแสนเรียบง่าย ท่าทางดูไม่สะดุดตาเลยแม้แต่นิดกำลังพุ่งตัวเข้ามา พวกเขาสีหน้าร้อนรนควบอยู่บนลาตัวผอมโซแหวกทางฝูงชนวิ่งเข้ามาใกล้

สาวใช้สีหน้าตื่นตระหนก ร่างที่โอบอุ้มตะกร้าอยู่สั่นเครือไม่หยุด ก่อนจะเบียดเสียดตัวออกจากฝูงชนไป

นางวิ่งจ้ำ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนตามรายทางเป็นต้องสงสัย

“เอ๊ะ นั่นสาวใช่ของแม่นางจูจากหอเต๋อเซิ่งมิใช่หรือ”

สองสามคนที่ถูกเบียดจนออกมายืนนอกถนน ได้ยินดังนั้นจึงเหลียวหลังไปมอง

“หอเต๋อเซิ่งคืออะไรหรือ”

บ่าวคนหนึ่งที่จูงม้าอยู่เอ่ยถามขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของคนที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาเป็นครั้งแรก

คนบ้านนอกนี่ก็จริงๆ เลย ไม่รู้จักแม้กระทั่งหอเต๋อเซิ่ง

ผู้คนพากันหัวเราะเยอะ

“เป็นร้านอาหารที่ดังที่สุดในเมืองหลวงน่ะสิ” พวกเขาตอบ

“แล้วแม่นางจูเป็นเจ้าของหรือ” บ่าวหนุ่มถามอย่างงุนงง

คำพูดของเขาสร้างเสียงหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าโง่ แม่นางจูคือนางคณิกาแห่งหอเต๋อเซิ่งอย่างไรเล่า”

บ่าวหนุ่มหน้าแดงระเรื่อไปกับเสียงหัวเราะ ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่เขา

“อย่าพูดมากน่า” เขาเอ่ยปลดหมวกไม้ไผ่แล้วเปิดเผยใบหน้าของตัวเองออกมา

“ขอรับท่านชายสี่” บ่าวหนุ่มตอบ “พวกเราไปหาที่พักเท้ากันก่อนเถอะขอรับ”

ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า ก่อนจะเงยหน้ามองรอบตัว

เมืองหลวงช่างเจริญรุ่งเรืองไม่เหมือนที่ใดจริงๆ

“ไปกันเถอะ พักสักครู่ ค่อยไปเยี่ยมท่านชายเจียงโจว” เขาเอ่ย

หนึ่งนายสองบ่าวเดินฝ่าถนนไป

ยามตะวันคล้อยต่ำ รถม้าคันหนึ่งก็จอดลงที่หน้าบ้านตระกูลโจว บ่าวหนุ่มบนหลังม้าตะโกนโหวกเหวกหน้าประตูที่ปิดสนิท

“ตะโกนอะไรอยู่ได้” คนที่อยู่ในเรือนตะโกนกลับออกมาก่อนจะเปิดประตูแล้วชะงักไป

“นายท่าน!”

นายท่านกลับมาแล้ว!

เสียงตะโกนนั้นทำให้บ้านตระกูลโจวที่เงียบสงัดโกลาหลขึ้นมา

“นายท่าน…”

แม่นมพยุงร่างฮูหยินโจวที่น้ำตานองหน้าเดินออกมา เหล่าลูกชายลูกสาวของบ้านก็พากันออกมาตาม สีหน้าดูตื่นเต้นแกมเศร้าโศก

ทว่านายใหญ่โจวที่ก้าวเท้าเข้ามาในเรือน กลับนิ่งเงียบ ท่าทางเหนื่อยล้า ทั้งยังสีหน้าเรียบเฉย

คงเป็นเพราะตื่นตระหนกและตกใจมาตลอดทางอันยาวนาน นายใหญ่โจวถึงได้ท่าทางเหมือนเสียสติไปแล้ว

พอคิดได้ดังนั้น คนในตระกูลก็ยิ่งเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าไปสืบถามมาแล้ว” นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้นพลางโบกมือไปมา

คนในห้องนิ่งชะงักไป

“ตอนข้ากลับมา ก็ตรงไปยังศาลาว่าการเลย แต่ที่ศาลาว่าการนั้นวุ่นวายนัก” นายใหญ่โจวเอ่ย

สีหน้างุนงง พลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “ข้าเรียกคนมาถามอยู่หลายคน ถามว่าผู้ใดกันที่ตลบหลังข้าเช่นนี้ แต่ทุกคนกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า ทั้งยังพูดกับข้าว่ายินดีด้วย ยินดีด้วย”

ยินดีด้วยอย่างนั้นหรือ

“พวกนั้นกล้าดีอย่างไรถึงได้ล้อท่านเล่นเช่นนี้” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางปาดน้ำตา

“ไม่ใช่อย่างนั้น” นายใหญ่โจวส่ายหน้าในทันที “พวกเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น พวกเขาหมายความว่า เรื่องนี้ถูกเพิกถอนออกไปแล้ว”

คนในห้องโถงตกตะลึงอีกครั้ง

“หมายความว่าอย่างไร” ฮูหยินโจวถามอย่างไม่เข้าใจ

“หมายความว่า ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว รออีกสักสองสามวัน ก็คงคลี่คลาย” นายใหญ่โจวตอบ

สีหน้าราวกับคนที่ล่องลอยอยู่ในฝัน

ไม่เป็นแล้วอย่างนั้นหรือ

“ใช่แล้ว พวกเขาบอกว่า คงไม่มีเวลามาไต่สวนเรื่องของข้าแล้ว เพราะเช้าวันนี้ราชเลขาหลิวประจำกรมขุนนางจู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับลงไป ทุกคนพากันวุ่นไปหมด” นายใหญ่โจวเอ่ย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนนั้นมีคนมาตบบ่าเขา แล้วบอกว่าอีกสองสามวันไปดื่มฉลองกันหน่อย

ดื่มเหล้าไม่ได้แปลว่าดื่มเหล้า แต่หมายความว่าเรื่องนี้คลี่คลายแล้ว

ไม่อย่างนั้น คนพวกนั้นคงต้องพากันหลบหน้าเขาเป็นแน่

เขายกมือขึ้นลูบหนวดอย่างไม่รู้ตัว

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“หลายสิบปีมานี้ราชเลขาหลิวตั้งใจทำงานทั้งยังมากความสามารถ ขุนนางชั้นดีเช่นนี้เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ล้มป่วยได้ ว่าแต่อาจเป็นไปได้ว่าทางวังยังเห็นอกเห็นใจท่านอยู่ ก็เลยปล่อยคดีไป เพื่อแสดงความเมตตา” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางถามว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร

“เป็นโรคอะไรข้าก็ไม่รู้ แต่ถูกหามออกไปแล้ว รอก็เพียงแต่ว่าจะฟื้นขึ้นมาไหม” นายใหญ่โจวเอ่ย ทั้งยังบอกว่าตนยังเอาตัวเองไม่รอด ไม่มีกระจิตกระใจจะไปถามไถ่เรื่องของผู้อื่นหรอก

“เอาเป็นว่า เอ่อ พวกคนที่วางแผนคิดตลบหลังข้าก็เสียแรงเปล่าแล้วล่ะ” เขาลูบเคราพลางยิ้ม “แผนดีอย่างไรก็สู้คนดวงดีไม่ได้”

ท่านชายโจวหกที่เพิ่งเข้ามาก็ได้ยินเช่นกัน เขามองไปยังคนในตระกูลที่นั่งล้อมวงกันอยู่ในห้อง แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มแต่ก็ยังดูมึนงงอยู่เล็กน้อย สีหน้าของท่านชายโจวหกดูยุ่งเหยิง แต่ริมฝีปากกลับฝืนยิ้มออกมา

ผิดแล้วล่ะ อันที่จริงแม้จะดวงดีสักแค่ไหนก็สู้แผนการอันแยบยลไม่ได้

“ท่านพ่อ” เขาเอ่ยเรียกก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง สายตาทอดมองไปยังนายใหญ่โจวและคนอื่น “ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน”

แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าความจริงไม่ได้ร้ายแรงเท่ากับตอนที่ทราบข่าว

จะเป็นอะไรไปได้อีก นอกจากฮูหยินและเหล่าลูกๆ ต่างหากที่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเอง

นายใหญ่โจวกระพริบตาถี่รัว แต่ทว่าความหนักอึ้งในจิตใจก็คลายลงไปกว่าครึ่งแล้ว เขาดื่มชาแล้วมองไปยังสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของลูกหลานในครอบครัว ดวงไฟในห้องสว่างไสว ค่ำคืนอันสงบสุขในฤดูร้อนสยบความวุ่นวายในจิตใจให้จางหายไป

“ชายหกมาแล้วหรือ นั่งลงเถิด” เขาพยักหน้าพลางยิ้ม “ช่วงนี้เจ้าคงตกใจแย่สินะ”

ท่านชายหกยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันของเหล่าแม่นางน้อย

“ท่านพ่อก็เป็นกังวลจนเกินไป ท่านพี่มิได้ตกใจอะไรเสียหน่อย” นางเอ่ยออกไปตามที่คิด

แถมยังมีกระจิตกระใจไปหาหญิงสาวอีกต่างหาก

“อย่าไปพูดถึงเรื่องพวกนั้น” ฮูหยินโจวเอ่ยปราม

จะทำตัวเช่นไรกับผู้อื่นก็ได้ แต่กับคนในบ้านจะพูดจาเอาอารมณ์เป็นใหญ่ไม่ได้

นายใหญ่โจวและฮูหยินโจวสบตากัน ฮูหยินโจวนึกอะไรบางอย่างออกสีหน้าจึงเปลี่ยนไปในทันที

“ชายหก ท่านพ่อเจ้าเพิ่งกลับมา เรื่องใดสำคัญไม่สำคัญ เจ้าย่อมรู้ชัดแจ้งอยู่แล้ว” นางเอ่ยหน้าบึ้งตึง

คงไม่ใช่ว่าช่วงนี้นางหญิงสารเลวนั่นมาสอพลออะไรชายหกอีก ยามนี้ถึงได้รีบร้อนอยากจะพูดนัก

“ลูกรู้ดี” ท่านชายโจวหกคำนับพลางเอ่ย

เหล่าพี่น้องออกไปจากห้อง เหล่าสาวใช้และแม่นมก็พากันออกไปเช่นกัน ภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสามคน

“ท่านพ่อ ราชเลขาหลิวเป็นอัมพาตขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ยเข้าประเด็นในทันที

อัมพาตอย่างนั้นรึ

เช่นนั้นก็โชคร้ายเสียจริง!

หากป่วยเป็นโรคนี้ก็จบกัน ก็แค่ยื้อชีวิตรอวันตายก็เท่านั้น

“แย่จริง คนดีๆ อย่างราชเลขาหลิว เหตุใดถึงต้องมาป่วยเช่นนี้” ฮูหยินโจวทำสีหน้าเห็นใจพลางพนมมือสวดมนต์ “คนที่คิดร้ายกับท่านพ่อเจ้าต่างหากที่ควรมีจุดจบเช่นนั้น”

ท่านชายโจวหกหุบยิ้ม

“คราวนี้สมปรารถนาท่านแม่แล้วล่ะขอรับ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

ฮูหยินโจวไม่เข้าใจนัก

“สมปรารถนาเรื่องใดกัน” นางเอ่ยถาม

ท่านชายโจวหกหันไปมองท่านแม่ ก่อนจะสูดหายใจลึกเข้าปอด

“ท่านแม่ไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดข้าถึงได้รู้ว่าราชเลขาหลิวป่วยเป็นอะไร ทั้งๆ ที่ถูกกักบริเวณอยู่ ขนาดท่านพ่อไปถึงศาลาว่าการยังไม่รู้เรื่องเลย” เขาไม่ตอบแต่กลับถามคำถามแทน

“เจ้าถูกกักบริเวณ แต่บ่าวของเจ้าก็ยังมีอิสระนี่” ฮูหยินโจวส่งเสียงฮึดฮัด ข้าเป็นถึงแม่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็แค่หลับหูหลับตาแกล้งไม่รับรู้ก็เท่านั้น

“ใช่ขอรับ บ่าวของข้าไปตามสืบข่าวมาตลอด ข่าวเกี่ยวกับราชเลขาหลิว” ท่านชายโจวหกเอ่ย

ฮูหยินกำลังจะพูดต่อ ฝั่งนายใหญ่โจวที่ตั้งใจฟังมาตลอดก็ชะงักไป ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา เขายกมือขึ้นปราบฮูหยินโจวแล้วพูดว่า

“เจ้าจะบอกว่า คือเขาหรือ” เขาถาม

…………………