เขาหรือ
เขาคือผู้ใดกัน
ฮูหยินโจวชะงักไปครู่หนึ่ง แต่พอหันไปมองสามีและลูกชาย ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เจียวเหนียงรักษาคนไปสองคน” ท่านชายโจวหกไม่ตอบแต่กลับโพล่งขึ้นมา
“ท่านแม่ นางไม่ได้บ้า ข้าและท่านต่างหาก ราชเลขาหลิวต่างหาก” เขาตะคอกใส่อีกครั้ง
ตั้งแต่เขาโตจนมาป่านนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับท่านแม่แบบนี้
ฮูหยินโจวตกใจเมื่อถูกตะคอกใส่ อ้าปากค้างพูดไม่ออก
“ลูกเผลอตัวไป ขออภัยท่านพ่อท่านแม่ด้วย ช่วยฟังข้าให้จบก่อน หากพูดจบแล้ว ท่านจะว่าอย่างไรค่อยว่ากัน” ท่านชายโจวหกคำนับให้ท่านแม่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “เจียวเหนียงรักษาคนไปสองคน นางได้เรือนหนึ่งหลังมากจากตระกูลเฉิน นางได้เงินหมื่นก้วนมาจากตระกูลถง”
เรื่องพวกนี้พวกเขารู้อยู่แล้ว จะพูดขึ้นทำไมกัน
“เงินหมื่นก้วนของตระกูลถง ท่านอยากจะเก็บรักษาให้นาง” ท่านชายโจวหกพูดต่อ “แต่ถูกนางปฏิเสธ”
ฮูหยินเฉินหน้าซีดเผือด
“ที่นางปฏิเสธเพราะนางใช้เงินนั่นไปแล้ว..” ท่านชายโจวหกไม่เปิดโอกาสให้ท่านแม่พูด “นางซื้อร้านอาหารร้านนั้น”
ร้านอาหารอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่โจวตกตะลึง หญิงผู้นี้มีความคิดจะหาเงินกับเขาด้วยหรือ แต่ทว่านางเป็นเพียงแค่หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง จะเปิดร้านอาหารได้อย่างไร นี่มันหาเรื่องใส่ตัวไม่ใช่หรือ!
ฮูหยินโจวที่อยู่ด้านข้างเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะร้องอ๋อออกมาแล้วขยับนั่งตัวตรง
“เรือนไท่ผิง!” นางตะโกนร้องออกมาเสียแหบแห้ง
เรือนไท่ผิงอย่างนั้นหรือ นายใหญ่โจวไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่ ตอนที่เขาจากเมืองหลวงไปก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ชื่อดังมากหรือ” เขาถาม มองดูภรรยาที่ทำสีหน้าตกใจ
“ดังมาก…” ฮูหยินโจวเอ่ยพึมพำ ขมวดคิ้วมองหน้าท่านชายโจวหก “ยังจะล้อเล่นกับข้าอีกหรือ!”
ท่านชายโจวหกไม่สนใจก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนจะพูดเรื่องเรือนไท่ผิง ต้องเล่าเรื่องก่อนหน้า” เขาเอ่ย “ตอนที่เพิ่งบังคับพาตัวนางกลับมาจากเจียงโจว ครั้งหนึ่งข้าเคยพานางออกไปกินข้าว”
ฮูหยินโจวทำเสียงฮัดฮัด
ตอนนั้นเขาเที่ยวพาหญิงผู้นั้นออกไปได้ทุกวัน ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรปิดบังนางอีก!
รอเขาสารภาพมาให้หมดก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดบัญชีในคราวเดียว!
“ตอนนั้นเรือนนางฟ้าที่อยู่นอกเมืองเพิ่งจะมีอาหารที่เรียกว่านางฟ้าผ่านทาง” เขาเอ่ย “ข้าจึงพานางไป”
“นั่นก็สมควรแล้ว น้องสาวในตระกูล ทั้งยังเพิ่งเคยเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ยังไม่เคยพบเห็นสิ่งใด ไปเปิดหูเปิดตาหน่อยก็ดี” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางถามขึ้นว่า “นางกินแล้วชอบไหม”
ท่านชายโจวหกหัวเราะ
“ชอบไม่ชอบ ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้คือเถ้าแก่และพ่อครัวของเรือนนางฟ้าน่าจะชอบมาก” เขาเอ่ย “เพราะนางฟ้าผ่านทางเป็นฝีมือของเฉิงเจียวเหนียง”
ว่าอย่างไรนะ
สองสามีภรรยาแซ่โจวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ยังคงฟังไม่เข้าใจนัก
“ที่มาของนางฟ้าผ่านทาง ท่านพ่อท่านแม่ก็คงจะพอรู้อยู่แล้วใช่ไหมขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย
แน่นอน ตอนนั้นพวกเขาพากันไปกินทั้งบ้าน ที่มาของนางฟ้าผ่านทางก็ถูกเขียนไว้ที่ข้างฝาของเรือนนางฟ้า เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่เชียวล่ะ
บอกว่าได้พบกับนางฟ้า ทว่าใครจะไปเชื่อกันเล่า
“นั่นคือเรื่องจริง” ท่านชายโจวหกเอ่ย “เพียงแต่ที่ได้พบมิใช่นางฟ้า แต่เป็นมนุษย์”
พูดถึงเพียงเท่านี้เขาก็หันไปด้านนอกแล้วร้องตะโกนออกมา
“พ่อบ้านเฉา!”
ประตูถูกเปิดออกในทันใด พ่อบ้านเฉาเดินก้มหน้าเข้ามา ก่อนจะนั่งลงแล้วคำนับ
“เล่าเรื่องก่อนวันที่เจ้ากับท่านชายเฉินสี่จะพาเจียวเหนียงเข้าเมืองหลวง เล่าให้นายใหญ่กับฮูหยินฟัง เรื่องตอนที่หาที่พักกินข้าวร้านสุดท้าย” ท่านชายโจวหกเอ่ย
พ่อบ้านเฉาขานรับ ก่อนจะเล่าเรื่องราวในวันนั้นอย่างละเอียด
นายใหญ่โจวและฮูหยินมิใช่คนโง่ พอฟังเขาเล่าจนจบแล้วคิดทบทวนคำพูดของท่านชายโจวหก จึงได้เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง เพียงแต่ตกตะลึงจนแทบไม่อยากเชื่อ
“ที่แท้ คือนางหรือ” ทั้งสองเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีนางก็ทำอาหารเก่งอยู่แล้ว” ท่านชายโจวโบกมือส่งสัญญาณให้พ่อบ้านเฉาออกไปได้ ก่อนจะพูดต่อ “ท่านแม่ส่งคนไปเจียงโจวเพื่อสืบข่าว แม่นมผู้นั้นกลับมาแล้วบอกว่า ตอนแรกที่ในตระกูลบาดหมางกันเองก็เพราะขนมที่ปั้นฉินทำ พอปั้นฉินย้ายมาอยู่บ้านเรา ก็ทำอะไรไม่เป็น แถมยังบอกว่าที่ฝีมือนางดีเช่นนี้นั้นได้ก็เพราะนายหญิงเป็นคนสอน”
เพียงแต่ไม่มีผู้ใดเชื่อเลย
คนที่เป็นบ้ามากว่าสิบปี….
ท่านชายโจวหกพ่นลมหายใจออกมา
“แล้วก็เมื่อไม่นานมานี้ นกพิราบทอดของเรือนอำมาตย์เฉิน…” เขาพูดต่อ “หากท่านอยากรู้ ก็ลองไปถามดู นั่นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เจียวเหนียวทำขึ้นตอนอยู่ที่เรือนนั้น”
“เด็กบ้านั่น ที่แท้…” ฮูหยินโจวเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“นางไม่ได้บ้า” ท่านชายโจวหกย้ำอีกครั้ง
“นางไม่ได้บ้าอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่โจวคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนจะขยับนั่งตัวตรงแล้วพูดว่า “นางฟ้าผ่านทางนั่น เหตุใดถึงให้เรือนนางฟ้าไปเปล่าๆ เช่นนั้น”
ให้เปล่าอย่างนั้นหรือ
มุมปากของท่านชายโจวหกเผยยิ้มบาง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“เพราะเถ้าแก่ของเรือนนางฟ้าเป็นหลานบุญธรรมของคนผู้หนึ่ง” เขาเอ่ยพลางมองไปที่นายใหญ่โจว “ราชเลขาหลิว”
ราชเลขาหลิวอย่างนั้นหรือ
หัวข้อสนทนากลับมาที่เรื่องของราชเลขาหลิวอีกครั้ง
ยิ่งได้ฟัง นายใหญ่โจวและฮูหยินก็ยิ่งตกตะลึง คล้ายว่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง แต่หากจะให้บอกว่าที่เข้าใจนั้นคือเรื่องอะไร กลับเรียบเรียงคำพูดออกมาไม่ถูก
“จากนั้นเรือนนางฟ้าก็ย้ายเข้ามาเปิดในเมือง และขายร้านเดิมทิ้ง เฉิงเจียวเหนียงนำเงินหมื่น
ก้วนที่ได้จากตระกูลถงมาซื้อไว้ แล้วเปลี่ยนให้เป็นเรือนไท่ผิง” ท่านชายโจวกหกพูด
ยังมีอีกกี่เรื่องกันที่เด็กบ้านี่ทำลับหลังพวกเขา
นายใหญ่โจวและฮูหยินชะงักไป
ถึงว่าล่ะช่วงนั้นนางถึงได้ออกจากบ้านบ่อยๆ
“จากนั้นก็ทำเต้าหู้ เต้าหู้สูตรตระกูลเฉิงของนางมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เต้าหู้ไท่ผิง” ท่านชายโจวหกเล่าต่อ
เต้าหู้ไท่ผิงอย่างนั้นหรือ!
ฮูหยินโจวขยับนั่งตัวตรง นางตกตะลึกครั้งแล้วครั้งเล่า
“เต้าหู้ไท่ผิงคือสิ่งใดอีกเล่า” นายใหญ่โจวถาม
เขาออกจากเมืองหลวงไปแค่สองสามเดือน เหตุใดถึงเหมือนหนึ่งวันบนสวรรค์ สิบปีบนโลกมนุษย์เช่นนี้ มีแต่สิ่งที่เขาไม่รู้จัก
“คือเงิน… เงินมหาศาล เงินมหาศาล…” ฮูหยินโจวเอ่ยพึมพำ
บนโลกนี้ไม่ว่าคนหรือว่าเรื่องใด ก็ล้วนแต่วัดกันที่มูลค่าทั้งนั้น
เงินมหาศาล เงินมหาศาล อธิบายเพียงเท่านี้ นายใหญ่โจวก็เข้าใจในทันที
คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงผู้นี้จะเปิดร้านอาหารชื่อดัง
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าต้องปิดบังพวกข้าด้วย” เขาขมวดคิ้ว “หญิงตัวคนเดียวจะครอบครองทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวคนจะขโมยไปหรือ”
“นั่นสิ นางคนเดียวจะดูแลไหวได้อย่างไร ใจจืดใจดำนัก เห็นพวกเราเป็นอะไร” ฮูหยินโจวเอ่ยเสียงหงุดหงิดก่อนจะหันไปมองนายใหญ่โจว “ท่านกลับมาพอดี ข้าเองก็คุมนางไม่ได้ ท่านไปคุยกับนางทีว่าพวกเราจะดูแลเรือนไท่ผิงให้ เด็กน้อยอย่างนางจะไปรู้ความอะไร เอาแต่ก่อเรื่องวุ่นวาย”
พูดเป็นเล่นไป หญิงโสดที่ไหนกันจะมีทรัพย์สินมากมายเช่นนั้น
“ท่านแม่ ฟังข้าให้จบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอาเรือนไท่ผิงนั่น” ท่านชายโจว
หกพูดพลางมองสีหน้าอันยุ่งเหยิงของฮูหยินโจว
ฮูหยินโจวส่งเสียงฮึดฮัด
“ทำไมรึ ข้าจะเอาไม่ได้รึ” นางเอ่ย “หากไม่มีตระกูลเรา ทรัพย์สินเหล่านั้นของนางจะรักษาไว้ได้หรือ”
อย่าว่าแต่เด็กกำพร้าเลย แม้แต่ครอบครัวที่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แต่พอเสียคนเป็นพ่อไป ทั้งญาติมิตรและคนนอกต่างพากันอิจฉาตาร้อนจ้องจะแย่งชิงสมบัติ
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ทุกวันในเมืองหลวง ไม่แปลกเลยสักนิด แม้แต่ผู้คนยังเฉยชายามได้ยินเรื่องแบบนี้
คนหนุ่มหนอ ยังไม่รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด
ท่านชายโจวหกไม่ตอบ
“ท่านพ่อท่านแม่พูดถูก ร้านอาหารและเต้าหู้ของนางทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ย่อมมีคนอิจฉาริษยานางเป็นแน่ จากนั้นไม่นานก็มีเหล่าอันธพาลเข้ามาอาละวาด” เขาเล่าต่อ
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา โลกนี้ช่างโหดร้ายนัก มีใครที่ไหนตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งไร้เส้นสาย แล้วยังสามารถเปิดกิจการได้อย่างราบรื่นกันเล่า” นายใหญ่โจวเอ่ย
“จากนั้นพวกอันธพาลที่อาละวาดก็ถูกธนูยิงตายคาที” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้น
“ท่าทาง… ท่าทาง.. คงก่อเรื่องเข้าแล้วสินะ… โอ๊ย” นายใหญ่โจวอ้าปากพูดแต่เผลอกัดลิ้นตัวเอง เขาเบิกตาโพรงมองท่านชายโจวหก “ว่าอย่างไรนะ ถูกธนูยิงตายหรือ”
ฮูหยินโจวกกก็ตกใจจนตาตั้ง
“ใช่ขอรับ ตายคาที่ กลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้คนมากมาย คนห้าคนถูกยิงตายในคราวเดียว” ท่านชายโจวหดพูด พลางทำท่าเหนี่ยวคันธนู
ห้าคน กลางวันแสกๆ ตายคาที่ ถูกยิงตาย
ห้า! ชีวิต!
นายใหญ่โจวแทบจะกระเด้งตัวลุกขึ้น
“พอเกิดเรื่องแล้ว แล้วอย่างไรต่อ” เขาถลึงตาตะโกน
“หลังจากนั้น ก็ไม่อย่างไรต่อแล้วขอรับ” ท่านชายโจวหกตอบ
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ
นายใหญ่โจวและฮูหยินนิ่งไป
“วัดผู่ซิวออกหน้าพูดแก้ต่างให้ว่ามีคนจะมาขโมยสูตรเต้าหู้ อันที่จริงการฆ่าคนนั้นไม่ผิด หากทำเพื่อป้องกันตัว จู่อู่ที่เป็นหัวโจกก็ยอมรับสารภาพ หลักฐานก็มีอยู่ชัดเจน คดีนี้เรือนไท่ผิงไม่ผิด” ท่านชายโจวหกพูด
ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ
วัดผู่ซิวถึงกับออกหน้าแก้ต่างให้เช่นนี้ คงไม่ใช่เส้นสายของตระกูลโจวอย่างแน่นอน
นายใหญ่โจวและฮูหยินกลับลงไปนั่งดังเดิม
“เรื่องก็ง่ายดายเช่นนี้แหละขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย
“เช่นนั้นก็ถือว่าโชคดีนัก ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” นายใหญ่โจวเอ่ยเสียงเนิบ แม้เขาจะมีสายเลือดนักรบ ติดตามท่านพ่อออกรบฆ่าศัตรูมาตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่พอได้ยินเรื่องนี้ก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เพราะนั่นมิใช่สนามรบ อีกฝ่ายก็มิใช่โจรผู้ร้าย แม้จะชั่วช้าสามานย์เพียงใด แต่ฆ่าคนก็คือฆ่าคน ใช่ว่าใครก็จะกล้าลงมือทำ
“ผู้ใดเป็นคนลงมือฆ่ากัน คนคุ้มกันที่นางจ้างมาหรือ” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกมา ราวกับว่าต้องการพิสูจน์หรือว่าโต้แย้งอะไรบางอย่าง
ท่านชายโจวหกหันไปมองเขา
“ท่านพ่อ ท่านก็รู้ดีมิใช่หรือ หากคนเป็นนายไม่สั่ง คงไม่มีผู้ใดหาเรื่องใส่ตัวแล้วฆ่าคนเช่นนั้นหรอก”
นายใหญ่โจวเหม่อลอยไม่เอ่ยคำใด
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ฮูหยินโจวยังคงสับสนแล้วเอ่ยถามขึ้น “จะบอกว่าคนบ้านั่นเป็นคนสั่งให้ฆ่าคนพวกนั้นหรือ”
ท่านชายโจวหกไม่ตอบ
“เจ้าเล่าต่อสิ” เขาเอ่ยกับท่านชายโจวหก สีหน้าซับซ้อน ก่อนแววตาจะสงบนิ่งลงในที่สุด
“พออันธพาลพวกนั้นตาย พรรคพวกของพวกมันก็หนีเตลิดกันไปหมด คราวนี้เรือนไท่ผิงข่มขวัญศัตรูที่จ้องคิดร้ายได้ไม่น้อย แต่เพราะเหตุนี้ ผู้คนก็เดาไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เรือนไท่ผิงคอยพึ่งพิงอยู่” ท่านชายโจวหกพูด
นายใหญ่โจวพยักหน้า
“ยิ่งไม่รู้นั่นแหละยิ่งน่ากลัว” เขาเอ่ย “แต่เรื่องนี้ หากคนจะสืบ อย่างไรก็สืบรู้มาจนได้สินะ”
“ใช่ขอรับ ดังนั้นผ่านไปไม่นานก็มีคนสืบรู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของเรือนไท่ผิงคือเฉิงเจียวเหนียง” ท่านชายโจวหกพูด “จากนั้นก็สาวมาถึงตระกูลโจวของเรา”
นายใหญ่โจวจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เขาตะโกนออกมาพลางตบเข่าฉาด
ฮูหยินโจวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ที่แท้พวกเราคือคนที่รับเคราะห์แทนนางอย่างนั้นหรือ!” นายใหญ่โจวเอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ถึงว่าล่ะ ปกติแล้วข้าก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมาดกับผู้ใด หากมีเรื่องผิดใจกันขึ้นมาจริงๆ มีหรือที่ข้าจะไม่ระวังตัว ถึงว่าล่ะเหตุใดถึงได้ถูกคนเล่นงานตลบหลังโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้! ที่แท้เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
ฮูหยินโจวได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในทันที
“นังกาลกิณี!” นางทั้งโมโหทั้งเดือดดาล คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ก่อเรื่องให้ตนร้อนใจมาแสนนานจะเป็นหญิงผู้นี้
ทั้งๆ ที่ไล่ออกจากบ้านไปแล้ว แต่ความซวยก็ยังไม่ถูกลบล้างออกไปหรือนี่!
“ชื่อเสียงเงินทอง นางเป็นคนได้ไปทั้งหมด ส่วนความแค้นความเกลียดชังกลับตกอยู่ที่พวกเรา!”
ก็เหมือนกับตอนที่นางรับรักษาโรคที่เรือน ตอนนั้นก็โกลาหลวุ่นวายไปหมด
ทุกคนยิ้มแย้มให้นาง แต่กลับปั้นหน้ายักษ์ใส่พวกเขา
“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าให้ไล่นางออกไป ส่งกลับไปเจียงโจว! แต่ท่านก็ไม่เคยฟัง!” ฮูหยินโจวโบกพัดกลมในมือไปมา นางโมโหจนน้ำตาไหล “ท่านยังพูดว่าอย่างนางจะก่อเรื่องอันใดได้ ท่านดูสิ ท่านดูสิว่านางก่อเรื่องอะไรลงไป! เรื่องใหญ่จนตระกูลแทบจะล่มสลาย!”
จู่ๆ ภายในห้องก็เสียงดังโหวกเหวกขึ้นมาจนเสียงลอดออกไปยังลานบ้าน
แม่นมและสาวใช้ที่ยืนอยู่ริมระเบียงทางเดิน ยามนี้ก็พากันถอยออกไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงดัง มองดูท่านพ่อที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียด และท่านแม่ที่โมโหจนร้องไห้ออกมา
“มีอะไรจะพูดอีก!” นางเอ่ยตัดบทแล้วใช้พัดชี้มาที่เขา “เจ้ารู้มาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ ถึงว่าตอนพ่อเจ้าเกิดเรื่อง เจ้าถึงไม่ทุกข์ไม่ร้อน วันๆ เอาแต่เทียวไปหานาง ที่แท้เจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้ว! แล้วยังปิดบังพวกข้าอีก! เจ้าคิดจะแก้ตัวให้นางอีกใช่หรือไม่ ข้าจะบอกให้นะ หยุดคิดไปได้เลย ข้าจะไปสั่งสอนนางเอง ให้นางได้รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าร้ายกาจ!”
“พอเถิดท่านแม่!” ท่านชายโจวหกตะโกนรั้งฮูหยินที่ทำท่าจะลุกเดินออกไป “สิ่งใดที่เรียกว่าร้ายกาจอย่างนั้นหรือ ท่านดูอันธพาลพวกนั้นสิ ท่านดูจูอู่ที่ไร้หนทางจนต้องฆ่าตัวตาย แล้วก็ดูราชเลขาหลิวที่ตอนนี้เป็นบ้าไปแล้ว นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าร้ายกาจ!”
ทั้งห้องเงียบสงัด
นายใหญ่โจวและฮูหยินมองเขาอย่างตกตะลึง
“เจ้าพูดถึงอะไร” ฮูหยินโจวถาม
พูดอะไรวกไปวนมาฟังไม่เข้าใจ นั่นเป็นเรื่องของผู้ใดกัน
ท่านชายโจวหกพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะจัดท่านั่งอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าขอเล่าต่อ” เขาเอ่ยราวกับคำพูดเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น จังหวะการพูดเริ่มเร็วขึ้น “คนที่คิดร้ายก็สืบรู้จนได้ว่าเฉิงเจียวเหนียงคือเจ้าของเรือนไท่ผิง พวกเขาจึงนึกถึงตระกูลโจวของเรา โกรธแค้นและคิดจะเล่นงานลับหลัง ตอนแรกก็คิดบัญชีกับท่านพ่อ หวังจะสั่งสอน ทั้งหมายจะข่มขู่ผู้อื่นไปด้วยในคราวเดียวกัน ให้ทุกคนได้รู้ว่าหากล่วงเกินเขาจะมีจุดจบอย่างไร ขณะเดียวกันเขาก็สั่งให้คนไปตัดมือของพ่อครัวประจำเรือนไท่ผิง”
ฮูหยินโจวก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง พอได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนยกมือขึ้นป้องปาก
“เป็นฝีมือผู้ใดกัน” นางถาม “คนที่คิดร้ายคือผู้ใดกัน เหตุใดถึงได้เหี้ยมโหดเพียงนี้”
“คือเถ้าแก่เรือนนางฟ้า โต้วชี” ท่านชายโจวหกตอบ “หากจะถามว่าได้ผูกปมแค้นกันตั้งแต่เมื่อใด ก็คงตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว”
เช่นนี้นี่เอง
ทว่าเขาก็เป็นแค่เถ้าแก่ร้านอาหารมิใช่หรือ
“แล้วโต้วชีผู้นี้คือใครกัน” นายใหญ่โจวถาม
แต่ฮูหยินกลับไม่สนใจเรื่องนี้ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“ละ… แล้วตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” นางถามอย่างร้อนรน “เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างนางฟ้าผ่านท่าง แต่ทำให้เรื่องราวกลับใหญ่โตถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วเรื่องจบอย่างไรเล่า”
“เรื่องนี้จบลงไปแล้ว” ท่านชายโจวหกพูด “ก็เหมือนเมื่อก่อน คนที่ล่วงเกินนาง คนที่จ้องจะฮุบสมบัติของนาง ก็ตายไปหมดไม่ก็ตายทั้งเป็น”
นายใหญ่โจวและฮูหยินโจวมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วเหตุใดถึงได้จบลงง่ายๆ” พวกเขาถามขึ้น
“เพราะราชเลขาหลิวเป็นอัมพาต” ท่านชายโจวหกตอบ
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้วกกลับไปหาราชเลขาหลิวอีก
“โต้วชีก็ไม่ได้มียศมีตำแหน่งอะไร แต่เขามีปู่บุญธรรม” ท่านชายโจวหกพูด “ซึ่งก็คือราชเลขาหลิว”
นายใหญ่โจวและฮูหยินมองลูกชายอย่างตกตะลึงอีกครั้ง
เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ขอเวลาให้พวกเขาจับต้นชนปลายก่อน
เฉิงเจียวเหนียง เรือนไท่ผิง
โต้วชี เรือนนางฟ้า
พูดวกไปวนมาตั้งนาน ที่แท้มีคนที่เกี่ยวข้องเพียงสามคนและสองร้านเท่านั้น ข้าแก้แค้นเจ้า เจ้าแก้แค้นข้า แก้แค้นกันไปมาจนเกิดเรื่องราววุ่นวายมากมาย ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตดั่งคลื่นลูกยักษ์ แต่อันที่จริงกลับนิ่งสงบ ไม่มีผู้ใดรู้เห็น
ในที่สุดนายใหญ่โจวก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนแรกลูกชายถึงได้พูดเช่นนั้น
‘ท่านพ่อ ราชเลขาหลิวเป็นอัมพาต’
‘คราวนี้สมปรารถนาท่านแม่แล้วล่ะขอรับ’
ถึงว่าล่ะพอไปถึงศาลาว่าการ บรรยากาศกลับไม่ได้เคร่งเครียดอย่างที่คิดไว้ ถึงว่าล่ะคนพวกนั้นถึงบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว
คดีนี้จะว่าไปก็ร้ายแรงไม่น้อย แต่หากมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ เพียงแต่ว่าจะมีผู้ใดหยิบยกขึ้นมาเล่นงานก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้คนที่จ้องจะเล่นงานเขานอนเป็นลมชักกลายเป็นอัมพาตไปแล้ว ชาตินี้ก็คงจะลุกขึ้นมาไม่ไหว ถึงจะลุกขึ้นมาได้ ราชสำนักก็คงไม่ใช้งานเขาอีกต่อไป ไม่ว่าแต่ก่อนเขาจะเก่งกาจสักแค่ไหน มีบารมีแก่กล้าเท่าใด แต่พอล้มลงครานี้ เขา…ก็ไม่ใช่คนของราชสำนักอีกต่อไป
คนป่วยที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ จะข่มขู่เขาได้อย่างไร
อย่างนี้นี่เอง อย่างนี้นี่เอง
นายใหญ่โจวถอนหายใจก่อนจะกลับลงไปนั่งดังเดิม แต่จู่ๆ ก็ยืดตัวขึ้นในทันใด
“เจ้าจะบอกว่า…” เขาจ้องมองลูกชาย แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงไฟรอบด้าน สีหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก น้ำเสียงก็เริ่มแหบพร่า “นางเป็นคนกำจัดเขาหรือ”
นางคือใคร เขาคือใคร แม้นายใหญ่โจวจะไม่พูด แต่ท่านชายโจวหกก็พยักหน้าตอบ
“แน่นอน นางต้องกำจัดเขาแน่ คนที่จ้องจะฮุบสมบัติของนาง นางก็จำกัดทิ้งหมดอย่างง่ายดาย” เขาเอ่ย
“เป็นไปได้อย่างไร” นายใหญ่โจวตกตะลึงพลางส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ นางจะทำได้อย่างไรกัน!”
“ข้าก็ไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร” ท่านชายโจวหกตอบก่อนจะยิ้มออกมา “ก็คงเหมือนตอนที่สั่งให้คนยิงธนูฆ่าอันธพาลพวกนั้นกระมัง หรือไม่ก็คงเหมือนกับตอนที่ฟ้าผ่าวัดเสวียนเมี่ยวเล็กในเมืองเจียงโจว จนเจ้าอาวาสและชายชู้ตายไปกระมัง”
เอาเป็นว่านางทำได้ก็พอ ทั้งยังลงมือได้อย่างแยบยลจนไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เจียงโจวอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่โจวและฮูหยินจ้องหน้าลูกชายอีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านให้คนไปสืบเรื่องเจียวเหนียงถึงเจียงโจว แต่กลับไม่ได้ฟังความโดยละเอียด แต่ลูกนั้นตั้งใจฟัง ตอนแรกเจียวเหนียงมาถึงเจียงโจวก็ถูกตระกูลเฉิงไล่ออกจากบ้านไปอยู่ที่วัดเต๋า ชื่อวัดเสวียนเมี่ยวเล็ก แต่ไม่ใช่วัดเสวียนเมี่ยวที่รู้จักกันในทุกวันนี้ ที่วัดนั่นมีเจ้าอาวาสผู้หนึ่ง ประพฤติผิดในกาม มีชายโฉดเป็นชู้รัก แม้ชื่อเสียงจะฉาวโฉ่แต่กลับอยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด แต่พอเจียวเหนียงเข้าไปอยู่ได้ครึ่งเดือนกว่า เขาก็ถูกฟ้าผ่าตาย” ท่านชายโจวหกพูดแล้วมองไปทางพ่อแม่ของตน “ท่านพ่อ ท่านเชื่อว่าโลกนี้มีเหตุบังเอิญไหม”
เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า
“ข้าไม่เชื่อ” เขาเอ่ย
จู่ๆ ก็ถูกฟ้าผ่าตาย จู่ก็กลายเป็นอัมพาต…
บังเอิญ… บนโลกนี้มีเรื่องบังเอิญมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แถมยังเป็นเรื่องบังเอิญที่เป็นผลดีกับตนเองอีกต่างหาก
นายใหญ่โจวส่ายหน้าช้าๆ กลืนน้ำลายอย่างห้ามไม่อยู่
หรือว่าเด็กบ้าจากเจียงโจวนั้น จะเป็นศิษย์ของนักพรตหลี่จริงๆ
เรียกฟ้าฝนได้ดั่งใจ กำหนดชะตาชีวิตคนได้…
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร” ท่านชายโจวหกพูด “ข้ารู้เพียงแค่ว่า คนเหล่านั้นจ้องจะฮุบสมบัติและคิดร้ายต่อนาง ก็เลย…”
เขาพูดพลางมองไปทางฮูหยินโจว
“ท่านแม่ ตอนนี้ท่านยังอยากจะได้สมบัติของนางอยู่หรือไม่” เขาถาม
ฮูหยินโจวที่ได้ยินเรื่องคนถูกฟ้าผ่าตายก็เหม่อลอย แต่พอถูกถามก็สะดุ้งตกใจ จนพัดที่อยู่ในมือร่วงหล่นลงมาบนพื้น
เสียง ‘ตุบ’ นั้นช่างแสบแก้วหูนักยามอยู่ในห้องอันเงียบสงัดนี้
ตายแล้ว ตายแล้วทั้งหมด คนพวกนั้น คนพวกนั้นที่ตามราวีนาง คนที่อยากได้สมบัติของนาง…
นางไม่ใช่ตัวโชคร้าย แต่คือกาลกิณี ไม่ก็คือหายนะต่างหาก
หายนะ!
………………….