ตอนที่ 62 จับเสือมือเปล่า
หยุนเชวี่ยคุกเข่าลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก ก่อนจะอธิบายแผนการอย่างละเอียดภายใต้สายตาจับจ้องของคนทั้งสี่
เมื่อกล่าวจบก็กะพริบตาปริบ ๆ เห็นหรือไม่ ข้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายจริง ๆ
หลังจากฟังเสร็จ แม่นางเหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าจะทำกิจการเช่นนี้ได้หรือ?”
ไม่ใช่ว่าเป็นการจับเสือมือเปล่า!
อย่างแรกเหอเยี่ยเอ๋อให้ลูกบ๊วยมาห้าจินโดยยังไม่เก็บเงิน และเงินที่ได้รับก็เปลี่ยนเป็นเงินมัดจำ เท่ากับว่าไม่ได้เสียเงินสักเหรียญในการจ้างคนงานสองคน
หยุนเชวี่ยพยักหน้า
“นี่มัน…” หยุนลี่เต๋อตบต้นขา พยายามจะกล่าววาจาชื่นชมบุตรสาว แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
ชายผู้ซื่อสัตย์รู้สึกว่านี่เป็นกลลวงในการใช้ผู้อื่นทำงานให้และหาเงินได้เป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่า… ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ?
“เช่นนั้นเสี่ยวส้วยเอ๋อกับชีจินยินดีติดตามพวกเจ้าทั้งสองหรือ?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามอีกครั้ง
“เหตุใดพวกเขาจะไม่อยากได้เงิน?” หยุนเชวี่ยทำไม้ทำมือก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าลืมไป ลูกบ๊วยห้าจิน สามารถบรรจุได้ยี่สิบหกห่อ นั่นเท่ากับยี่สิบหกเหรียญ!”
สำหรับครอบครัวในชนบท หากเด็กที่โตขึ้นหน่อยสามารถหาเงินได้วันละมากกว่ายยี่สิบเหรียญ นับว่าเป็นเงินที่ค่อนข้างมาก เมื่อนำไปซื้ออาหารก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงทุกคนในครอบครัวให้อยู่ดีกินอิ่ม
“โอ้…” แม่นางเหลียนพยักหน้าอย่างจริงจังพร้อมกับกล่าวแนะนำ “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องใส่ใจให้มากขึ้น ส้วยเอ๋อและแม่ของนางลำบากมากและเราก็ช่วยไม่ได้…”
“ท่านแม่ ทั้งจิตใจและหน้าตาของท่านล้วนงดงามยิ่งนัก” หยุนเชวี่ยกอดแขนนาง กล่าววาจาประจบสอพอ ออดอ้อนให้นางพอใจ ก่อนจะยิ้มให้หยุนลี่เต๋อ “ท่านพ่อ ท่านเองก็ว่าอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“หึหึ” พ่อซื่อบื้อของนางยิ้มออกมา “ลูกสาวพ่อพูดถูก”
ลมยามเย็นพัดผ่านพลิ้ว เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขแว่วดังอยู่บริเวณหน้าห้องฝั่งตะวันตก
ในห้องชั้นบน
เปลวไฟขนาดใหญ่ในตะเกียงน้ำมันสั่นไหวราวกับกำลังเริงระบำ ผู้เฒ่าหยุนนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง ศีรษะของเขาคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึนสีดำ สีหน้าของเขามองไม่เห็นชัดเจนนัก
เบื้องหน้ามีกระดาษสีเหลืองประทับตราราชการสีแดงของราชสำนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะเห็นอักษรสำคัญ ‘โฉนดที่ดิน’
“เฮ้อ!” ชายชราถอนหายใจยาว
หยุนลี่จงและแม่นางจ้าวก้มศีรษะลงครึ่งหนึ่ง พวกเขายังคงนั่งนิ่ง หางตาเหลือบมองไปยังกระดาษบาง ๆ เป็นครั้งคราว
“มีที่ดินเหลืออยู่เพียงไม่กี่ไร่ หากขายมันออกไป ข้าคงต้องไปเดินขอเศษอาหารตามประตูบ้านคน!” แม่เฒ่าจูร้องไห้พลางตีอกชกหัว
ตระกูลหยุนมีพื้นที่เพาะปลูกห้าสิบสี่ไร่ ซึ่งที่ดินห้าสิบไร่ได้มาจากที่ทางราชสำนักมอบให้เป็นรางวัลสำหรับคุณงามความดีของหยุนลี่เต๋อ เมื่อครั้งก่อนได้นำที่ดินยี่สิบไร่ไปชดใช้หนี้ให้บ่อนพนัน จากนั้นต้องแบ่งสรรปันส่วนให้หยุนลี่เต๋อที่แยกบ้านออกไปอีกเก้าไร่ ตอนนี้เหลือที่ดินเพียงยี่สิบห้าไร่
ตามราคาท้องที่ดินอันอุดมบูรณ์หนึ่งไร่ราคาห้าตำลึง ต่อให้พวกเขาจะขายที่ดินทั้งหมด ก็มีค่าเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบห้าตำลึงเท่านั้น
หยุนลี่จงยังเอ่ยปากของเงินหนึ่งร้อยตำลึงอย่างเร่งรีบ อีกทั้งตระกูลหยูยังเรียกร้องเงินยี่สิบตำลึง นี่ไม่เท่ากับบีบบังคับกันให้ตายหรือ?!
“ท่านแม่ ท่านกำลังจะได้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่และยังมีสาวใช้คอยปรนนิบัติดูแล” แม่นางจ้าวเลิกคิ้วพูดประจบฉอเลาะ
หยุนลี่จงผู้ต้องจ่ายเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่ากล่าวสำทับเพื่อยืนยันเช่นกัน
แต่หญิงชราไม่สนใจ นางเงยหน้าและเปิดเปลือกตาขึ้น “ข้าคงไม่อาจได้รับความสุขสบายเช่นนั้น เมื่อเจ้าได้เป็นขุนนาง เกรงว่าเจ้าจะรีบเตะผู้เฒ่าอย่างพวกข้าออกไปให้ไกลที่สุด!”
“ท่านแม่…” หยุนลี่จงคุกเข่าลงกระแทกอยู่ข้างเตียงน้ำตาคลอเบ้าด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความรักอย่างจริงใจ “ท่านแม่ ท่านกำลังพูดอะไร มันสายเกินไปแล้วหรือที่ตอบแทนบุญคุณท่าน?”
ใบหน้าของแม่เฒ่าจูบิดเบี้ยว ก่อนจะแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “ถุย! แม้แต่โลงศพของพ่อกับแม่ก็แทบจะไม่เหลือ เจ้าไม่กลัวถูกฟ้าผ่าตายบ้างหรือ!”
หยุนลี่จงก้มศีรษะลงขณะที่ถูกมารดาต่อว่า
“ท่านแม่ ท่านอย่าโกรธเลย” แม่นางจ้าวรีบขยิบตาให้หยุนชิ่วเอ๋อในทันที
“อย่างไรก็ตามข้าไม่มีวันแต่งงานกับคนตระกูลหยู” หยุนชิ่วเอ๋อพึมพำขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเล่น
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา แม่นางจ้าวลอบเป่าหูนางอยู่ไม่น้อย
หากได้เข้าไปอยู่ตระกูลใหญ่ นางจะได้แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมเนื้อดีที่สุด มีอาหารเลิศรส สวมเครื่องประดับทองคำ ทั้งยังมีมรกตที่เหมือนกับจักรพรรดินีในราชวังใช้ การแต่งตัวก็จะถูกปรนนิบัติโดยสาวใช้ฝีมือดี คนทั่วไปต้องคุกเข่าก้มหน้าเมื่อเห็นนาง
หยุนชิ่วเอ๋อกำลังวาดฝันถึงความมั่งคั่ง และได้รับกำลังใจจากคำพูดอันชาญฉลาดของแม่นางจ้าว จากนั้นหัวใจของนางก็ล่องลอยไปไกล
“ท่านแม่ ที่เราปฏิเสธการแต่งงานกับตระกูลหยู เพื่อหวังจะให้ชิ่วเอ๋อได้แต่งงานกับขุนนางและได้ใช้ชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองมิใช่หรือ?” แม่นางจ้าวเผยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับกล่าววาจาเกลี้ยกล่อมอย่างละมุนละม่อม “เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งลูกชายคนโตและลูกสาวคนเดียวของท่านจะมีอนาคตที่ดี ชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นโลกอันกว้างใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่อิจฉาจนตายไปเลยหรือ”
“ต่อไปพวกเราจะได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมืองอย่างสุขสบาย และซ่อมแซมบ้านหลังเก่านี้อย่างดีเพื่อให้เป็นหอบรรพบุรุษของตระกูลหยุน”
“ทุกเทศกาลไหว้บรรพบุรุษและปีใหม่ เมื่อครอบครัวของเรากลับมาคารวะบรรพบุรุษ ทุกคนในตระกูลล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นดี กลับมาพร้อมความเจริญรุ่งเรือง ต้องเป็นภาพที่ดูงดงามยิ่งนัก…”
เพียงแค่เปิดปากวาจาของแม่นางจ้าวราวกับทำให้ดอกไม้เบ่งบาน
แต่แม่เฒ่าจูยังคงไม่แย่แส
ส่วนชายชราขมวดคิ้วแน่น มุมปากกระตุกเล็กน้อย
คำพูดเหล่านี้กระแทกใจเขาอย่างจัง
ชายชราเฝ้าวาดหวังมาเกือบทั้งชีวิต เขาหวังเพียงคำนี้เท่านั้น ‘นำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายชราจึงได้แต่กัดฟันแน่น
หยุนลี่จงสังเกตท่าทีของเขาและกล่าวอย่างระวัง “ท่านพ่อ…”
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปในเมืองเพื่อสอบถามเรื่องนี้กับนายหน้า” ผู้เฒ่าหยุนพับโฉนดที่ดิน ห่อด้วยผ้าสีแดงผืนหนึ่ง ก่อนจะวางลงในตะแกรงข้างเตียง
“อา… ช่างทำเรื่องชั่วร้าย…” จู่ ๆ แม่เฒ่าจูก็ขึ้นเสียง เงยหน้าร้องคร่ำครวญ “เจ้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าปีศาจ ข้าจะตายให้ดู!”
หญิงชราก้มหน้าลงและพยายามเอาศีรษะทุบกำแพง
เมื่อไม่สามารถกำเงินไว้ในมือได้ ทั้งยังเห็นเงินหลุดลอยออกไป ราวกับชีวิตนี้ปราศจากวิญญาณ!
หยุนลี่จง แม่นางจ้าวและหยุนชิ่วเอ๋อรีบช่วยกันหยุดนางไว้
สีหน้าของชายชราดูหงุดหงิดยิ่งนัก
“ปัง ปัง ปัง!” หยุนลี่เซี่ยวได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงตบประตูจากด้านนอก
“ท่านพ่อ ท่านเข้าไปคุยอะไรในห้องกับพี่ใหญ่? ยังไม่มืดเลย เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อย!”
“ปัง ปัง ปัง!”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” ผู้เฒ่าหยุนตะโกนเสียงต่ำ
“ครอบครัวเดียวกัน มีอะไรถึงพูดต่อหน้าไม่ได้?” หยุนลี่เซี่ยวแนบหูไปที่แผงประตูและตะโกนด้วยรอยยิ้ม “อากาศร้อนเช่นนี้ ปิดประตูหน้าต่างเสียมิดชิด ท่านพ่อไม่อึดอัดแย่หรือ”
สีหน้าของชายชราดำทะมึนราวก้นหม้อ
ส่วนหยุนลี่จงไม่ได้กล่าวอะไรตอบ
หน้าประตูห้องปีกฝั่งตะวันตก
หยุนเชวี่ยมือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือถือแป้งทอด ชะเง้อคอยาวมองไปตามเสียง
“คราวนี้ท่านย่าไม่ได้ด่าข้าใช่หรือไม่?”
“กินดี ๆ” หยุนเยี่ยนดึงนางกลับมา
“หรือนางกำลังสาปแช่งตระกูลหยู?”
“เจ้าอย่าไปสนใจเลย”
“คงไม่ใช่ว่าด่าท่านลุงใหญ่หรอกนะ?”
“…”
“เอี๊ยด…” สักพักก็เห็นว่าประตูห้องชั้นบนส่งเสียงดังและค่อย ๆ เปิดออก ชายชราเอามือไพล่หลังเดินออกมา จ้องมองหยุนลี่เซี่ยวด้วยสายตาเย็นชา
หยุนลี่จงเดินตามออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ใหญ่” บุตรชายคนที่สามของตระกูลหยุนยืนกอดออกยิ้มร่าอยู่ตรงหน้าเขา “ท่านคุยเรื่องอะไรกับท่านพ่อในห้อง?”
หยุนลี่จงยกมือขึ้นโบกปัด “เรื่องเกี่ยวกับตำรา บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”
“ข้าไม่เข้าใจ หรือท่านมีเรื่องชั่วร้ายในใจจึงไม่กล้าพูด?” เขาเบ้ปากพร้อมกับหรี่ตา
“เจ้า… หยุดพูดจาเหลวไหล!”
“พี่ใหญ่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พวกท่านสองคนไม่ใช่สนใจแต่ทรัพย์สินของตระกูลเราหรือ? ข้าอดทนอย่างยากลำบากกว่าจะหามันมา หากท่านกล้าเสวยสุขเพียงลำพัง ข้าก็กล้าที่จะสู้กับท่าน!”