ตอนที่ 63 ทำตัวเองทั้งสิ้น

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 63 ทำตัวเองทั้งสิ้น

สีหน้าของหยุุนลี่จงเปลี่ยนสลับไปมา เขาโบกแขนยาว ๆ ทำท่าทางคล้ายกับ ‘ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากล่าวถึงเรื่องใด’ แล้วเดินเลี่ยงหยุุนลี่เซี่ยวเข้าไปในห้องโถงใหญ่

“เหตุใดล่ะ? รู้สึกผิดหรือ?” หยุนลี่เซี่ยวก้าวตามเขาไปติด ๆ

“เจ้าสาม!” ชายชราหันกลับมา ทันใดนั้นเขาก็ไออย่างรุนแรง “แค่ก แค่ก แค่ก!”

“ท่านพ่อ!” หยุนลี่จงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองบิดา ดวงตาของเขาเย็นเยียบ หยุนลี่เซี่ยวรีบพลิกลิ้นกล่าววาจา “ดูสิ ท่านทำให้ท่านพ่อโกรธถึงเพียงนี้!”

“ท่านพ่ออย่าโกรธเลย…” บุตรชายคนที่สามกล่าว “ท่านพ่อเหน็ดเหนื่อยเพราะทำเพื่อครอบครัวของพวกเรามามากแล้ว”

“เจ้า…”

“ไปกินข้าว!” ผู้เฒ่าหยุนตัวแข็งทื่อ มือไม้โบกปัดไปมาด้วยแรงอารมณ์ “ถ้าไม่กินก็ไสหัวไป!”

ชายชราถึงกับแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก

สำหรับชาวนาแล้ว ที่ดินทำกินเปรียบดังเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต เขาลังเลอย่างมากที่จะขายมัน แต่ตอนนี้… ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ

“เฮ้อ…” หยุนลี่เต๋อถอนหายใจ

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” แม่นางเหลียนมองตามสายตาเขาไปทางห้องโถงใหญ่

“ท่านพ่อของเรา เกรงว่าแก่ไปก็จะยังต้องเหนื่อย…”

“ไม่สิ ทั้งชีวิตก็คงไม่จบ…”

สองสามีภรรยาถอนหายใจอีกครั้งด้วยความอ่อนใจ

หยุนเชวี่ยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

มีทั้งบ้านและที่นาทำกิน นับว่าเป็นชีวิตที่ดีและมั่นคง แต่พวกเขาก็ยังเฝ้าหวังจะได้ก้าวหน้าเป็นขุนนางอยู่ทุกวี่วัน

แม้จะคาดหวังแต่กลับเลือกทางเดินที่ไม่ถูกต้อง จะโทษผู้ใดได้? ทำตัวเองทั้งสิ้น!

วันต่อมา

หยุนเชวี่ยยังคงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง นางร้องเรียกเมื่อเห็นว่าหยุนลี่เต๋อเดินออกมา

“ท่านพ่อ จะไปไหนแต่เช้าหรือ?”

“เอ่อ… ไปเดินเล่น”

นางยืดเอวลุกขึ้น ก่อนจะเอนตัวพิงหน้าต่างแล้วขยี้ตา จึงเหลือบไปเห็นด้านหลังของชายชราอยู่ไว ๆ

ไม่แน่ใจว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่มักจะรู้สึกว่าเอวของท่านปู่ไม่ค่อยแข็งแรงและตั้งตรงนัก

“เชวี่ยเอ๋อ มาล้างหน้าเถอะ ข้าเตรียมน้ำไว้ให้แล้ว” หยุนเยี่ยนถืออ่างน้ำพร้อมกับตะโกนเรียก

“อืม”

ขณะหยุนเชวี่ยพลิกตัวกลับมานั่งตรงข้างเตียงเพื่อสวมรองเท้า นางได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก

“อ๊า!”

ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จ้าวกระทืบเท้าเล็ก ๆ ของนางและวิ่งออกจากห้องครัวราวกับเห็นผี

“ผีเร่ร่อนที่ไหนมาร้องขอส่วนบุญแต่เช้า!” แม่เฒ่าจูตะโกนสาปแช่งมาจากห้องชั้นบน

หยุนเชวี่ยยืดศีรษะออกไป “พี่สาว เกิดอะไรขึ้น?”

หยุนเยี่ยนส่ายหน้าด้วยความไม่รู้

“ศพ มีศพตายอยู่ใต้ตู้!” แม่นางจ้าวใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก ก่อนจะชี้ไปยังห้องครัว “สะใภ้สาม สะใภ้สามเจ้าอยู่ไหน? ไปหยิบมันออกมา!”

“เห็นข้าเป็นตัวอะไร? ร้องเสียงดังเอะอะโวยวาย” แม่นางเฉินกำลังวิดน้ำออกจากถังใบใหญ่ เมื่อได้ยินก็โยนกระบวยทิ้ง ก่อนจะกลอกตาบ่นพึมพำเสียงเบา “สูงส่งมาจากไหนกัน…”

“หนอนเต็มไปหมด จะกินข้าวกันได้อย่างไร เจ้ารีบจัดการเร็ว ๆ เข้าเถิด…” แม่นางจ้าวขมวดคิ้วและยืนห่างออกไป

“สะใภ้สาม เจ้ามันตัวเกียจคร้าน! ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง! ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่ของกิน! คนบัดซบเช่นเจ้าในสิบลี้แปดเมืองนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!”

หยุนเชวี่ยยังคงครุ่นคิดว่า ‘ศพ’ อะไร จากนั้นจึงเห็นว่าอาสะใภ้เฉินหยิบหนูที่ตายแล้วออกมาจากห้องครัวอย่างใจเย็น ท่ามกลางเสียงด่าทอของหญิงชรา

“อ๊า!” แม่นางจ้าวกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง “ยังไม่รีบทิ้งมันอีก โยนทิ้งไป!”

แม่นางเฉินเหลือบตามองนาง พลางเบ้ปากและยกมือขึ้น

“ตุบ…” หนูที่ตายแล้วถูกโยนทิ้งไปที่สวนผักข้างห้องปีกฝั่งตะวันตก

สีหน้าของแม่นางจ้าวเต็มไปด้วยความรังเกียจ พร้อมทั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าปัดไปมาที่จมูกของนาง “ก่อนจะทำอาหารเจ้าใช้ขี้เถ้าล้างมือหลาย ๆ รอบหน่อยนะ!”

หยุนลี่เต๋อเหลือบมองไปที่สวนโดยไม่กล่าววาจาใด ก่อนจะหันไปหยิบพลั่วจากคอกหมู

“เชวี่ยเอ๋อ มองอะไรอยู่หรือ?”

“ท่านพ่อ มันมีหนอน”

“หลบไปข้าง ๆ พ่อจะตักมันไปทิ้ง”

“โอ้”

หยุนเชวี่ยพยักหน้า มองดูหยุนลี่เต๋อที่กำลังใช้พลั่วตักหนูตายไปฝังไว้ที่มุมหนึ่งของสวนผัก จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

หลังจากจบมื้อเช้า เหอยาโถวจะมารับนางที่หน้าประตู

“เชวี่ยเอ๋อ เชวี่ยเอ๋อ”

“มีอะไรหรือ? แล้วเหตุใดจึงไม่เข้ามา?”

“เจ้าออกมาสิ”

“รถม้าของพี่รองเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”

“ยังหรอก จะมาถึงในอีกสองวัน เจ้าออกมาก่อน…”

นอกลานบ้าน เหอยาโถวพาคนมาด้วยอีกสองคน นั่นคือเหลียวชีจินกับเผยเสี่ยวส้วย

“ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ข้าสอนพวกเขาตะโกนขายของหรือ?” เหอยาโถวทิ้งสะโพกอย่างภาคภูมิใจ “เมื่อวานตอนบ่ายข้าสอนอยู่ทั้งวัน จนพวกเขาเข้าใจทุกอย่าง”

ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อต่างพากันพยักหน้า

เหอยาโถวยกนิ้วเรียวราวกล้วยไม้ของนางขึ้น “มาเลย เจ้าทั้งสอง ตะโกนให้เชวี่ยเอ๋อฟัง”

“อย่า! อย่าเพิ่ง…” หยุนเชวี่ยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ท่านย่าอยู่ในบ้าน!”

วาจาปากของหญิงชราเปรียบดังยาพิษ นางจึงไม่อาจทนให้ทั้งสองคนนี้พบเจอได้

เหอยาโถวจึงสูดปากเป็นการส่งสัญญาณ

หยุนเชวี่ยรีบปิดประตูลานบ้าน “พวกเราไปที่อื่นกันเถอะ”

ทั้งสี่คนเดินลัดเลาะตามทางขึ้นไปบนภูเขา

“เชวี่ยเอ๋อ ข้าได้ยินมาว่าท่านอาชิ่วเอ๋อของเจ้ายกเลิกการแต่งงานหรือ?” เหอยาโถวดึงแขนเสื้อของนางเพื่อกระซิบถาม

“ได้ยินผู้ใดพูดมา?”

“ลูกสะใภ้ของซุนลิ่วที่เพิ่งแต่งเข้ามาจากหมู่บ้านใกล้เคียง”

“…”

“คนที่ทะเลาะกับท่านอาหญิงของเจ้า เรื่องแย่งกันใช้กังหันน้ำซักผ้า”

หยุนเชวี่ยนึกย้อนไปจึงจำได้ว่า อีกฝ่ายเคยกล่าวชื่นชมว่านางเป็นคนที่น่าประทับใจ เมื่อนึกออกจึงกล่าวถามต่อ “แล้วนางรู้ได้อย่างไร?”

เหอยาโถวส่ายหัว “ผู้คนเล่าลือกันในหมู่บ้านว่าครอบครัวที่อยู่ในเมืองไม่ชอบท่านอาชิ่วเอ๋อ หยุนชิ่วเอ๋อกำลังจะเป็นสาวแก่ที่ไม่มีใครต้องการ”

หยุนเชวี่ยสีหน้าบูดบึ้ง “มิใช่เช่นนั้น”

“แล้วเป็นอย่างไร?” เหอยาโถวกระตือรือร้นยิ่งกว่าภรรยาตัวน้อย

“เป็นหยุนชิ่วเอ๋อที่ไม่ต้องการแต่งงาน ตระกูลหยูจึงไปหาหวังหลี่เจิ้งเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้…”

โลกนี้ไร้กำแพงขวางกั้น ในหมู่บ้านไป๋ซีมีคนอาศัยอยู่หลายสิบครัวเรือน ผู้ใดก็ตามย่อมสามารถสร้างความปั่นป่วนกระจายข่าวลือได้ ไม่ต้องกล่าวถึงท่าทีหยิ่งผยองของหยุนชิ่วเอ๋อ เมื่อยามตระกูลหยูนำของขวัญมามอบให้…

หยุนเชวี่ยซุบซิบกับเหอยาโถวเกี่ยวกับเรื่องที่หยุนชิ่วเอ๋อปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะจิตใจอันใฝ่สูงของนาง วาดหวังว่าหยุนลี่จงจะได้รับคัดเลือกในการสอบ เพื่อให้นางได้แต่งเป็นภรรยาของตระกูลขุนนางใหญ่โต มีชีวิตที่สุขสบาย

หลังจากได้ฟังเรื่องนี้ เหอยาโถวก็เบ้ปาก “จุ๊ ๆ หากท่านลุงใหญ่ของเจ้าสอบไม่ผ่านเล่า จะทำอย่างไร?”

หยุนเชวี่ยเตะหญ้าที่อยู่ใต้เท้า “สูญเสียทั้งฮูหยินและไพร่พล*”

“ใช่ ๆ” เหอยาโถวพยักหน้ารัว “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าช่างมีความรู้รอบด้านคล้ายบัณฑิตยิ่งนัก”

“ข้าเคยได้ยินหวังหลี่เจิ้งพูด”

หยุนเชวี่ยคิดในใจ เมื่อถึงวันที่ชีวิตของนางสว่างสดใสและมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ครานั้นจะต้องหัดเขียนอักษร อย่างน้อยก็ต้องเขียนชื่อตัวเองให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้น หากกิจการเติบโตขึ้นในอนาคตแต่นางกลับทำไม่ได้แม้แต่จับพู่กันเขียนชื่อตัวเอง คงจะเป็นที่น่าขบขันแก่ผู้คน

“เสี่ยวอู่ไปเรียนกับพี่สือยวินเป็นอย่างไรบ้าง?” เหอยาโถวเอ่ยถามขึ้นอีก

“พี่สือยวิน พี่สือยวิน ช่างสนิทสนมกันยิ่งนัก” หยุนเชวี่ยยักคิ้วล้อเลียน

“ข้าเพียงแต่เรียกตามเสี่ยวอู่…” เหอยาโถวอมยิ้มอย่างมีความสุข

หลังจากเดินมาครึ่งทางจากเชิงเขา ก่อนถึงด้านหน้าภูเขา

ทั้งสี่มองหาร่มเงาใต้ต้นไม้และนั่งลงเป็นวงกลม มองดูคล้ายพวกเขากำลังสมคบคิดกันทำเรื่องใหญ่

“ชีจิน เสี่ยวส้วยเอ๋อ” หยุนเชวี่ยกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

เหอยาโถวหยิบผลไม้อบแห้งห่อหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน แล้วแบ่งให้พวกเขาทั้งสองกิน

เหลียวชีจินเป็นคนตรงไปตรงมา จึงหยิบผลไม้อบแห้งขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย

ส่วนเผยเสี่ยวส้วยเลียมุมปากอย่างเขินอาย

* สูญเสียทั้งฮูหยินและไพร่พล คำกล่าวข้างต้น มาจากเรื่องสามก๊ก เป็นคำกล่าวที่ทหารฝ่ายเล่าปี่ตะโกนเยาะเย้ยจิวยี่ อุปมาว่า เสียเหยื่อไปพร้อมปลาหรือเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง