ตอนที่ 64 ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ต้องลงแรง
ด้วยความที่พวกเขาทั้งหมดมาจากหมู่บ้านเดียวกันและอายุรุ่นราวคราวกัน จึงนั่งล้อมวงสนทนาและสนิทสนมกันภายในช่วงเวลาอันสั้น
“ช่วงนี้แม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามเสี่ยวส้วยเอ๋อ
“ช่วงนี้อากาศร้อนจึงพอทำงานได้บ้าง จะแย่หน่อยเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็นมักจะทำให้นางไอหนัก” เสี่ยวส้วยเอ๋อก้มศีรษะบิดนิ้วมือของตัวเอง สีหน้าเศร้าสร้อยเช่นนั้นไม่สมกับวัยเอาเสียเลย
ชีจินถอนหายใจอย่างน่าเวทนา “ส่วนลุงของข้าก็ป่วยหนักขึ้น จนตอนนี้เขาลุกจากเตียงไม่ได้แล้ว”
แม่ของเสี่ยวส้วยเอ๋อป่วยเป็นโรคเก่าเรื้อรังรักษาไม่หายขาด
ลุงของชีจินนั้นได้ยินว่าเป็นวัณโรค ในยุคโบราณยังไม่ค้นพบวิธีรักษาโรคนี้
“พวกเรามาหาเงินกันให้ได้เยอะ ๆ จะได้เอาไปรักษาลุงของชีจินและช่วยเหลือแม่ของเสี่ยวส้วยเอ๋อ” หยุนเชวี่ยตบไหล่ชีจินเพื่อปลอบโยน
ทั้งสองพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ยังจำที่ข้าบอกเมื่อวานได้หรือไม่? มาเถอะ ตะโกนสองครั้ง” เหอยาโถวโบกมือพร้อมกับพูด
เสี่ยวส้วยเอ๋อเม้มปาก นางกับชีจินต่างเหลือบมองกันโดยไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่ อายอะไรกัน เปล่งเสียงตะโกนออกมา”
เหอยาโถวยืนขึ้น ปัดเศษหญ้าออกจากสะโพก ก่อนจะเตรียมลำคอและเปิดปากร้องตะโกน “ขายลูกบ๊วยเจ้าค่ะ บ๊วยดองน้ำตาลสูตรลับเฉพาะ รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยดับกระหายคลายร้อน เดินผ่านไปผ่านมาแวะชิมดูก่อนได้ ของอร่อย ราคาไม่แพง ไม่หวานไม่คิดเงินเจ้าค่ะ”
หยุนเชวี่ย…
ชีจิน…
เสี่ยวส้วยเอ๋อ…
“เป็นอย่างไร?” เหอยาโถวถามขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก
หยุนเชวี่ยยกนิ้วให้อย่างชื่นชม
ทั้งใบหน้าที่สงบนิ่ง วาจาคล่องแคล่วลื่นไหลกว่าสองสามวันก่อน เทียบได้กับผู้มากประสบการณ์
ชีจินก้มศีรษะยิ้ม ๆ ส่วนเสี่ยวส้วยเอ๋อหน้าแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“เมื่อเริ่มต้นทุกอย่างดูคล้ายจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเจ้าได้เปิดปากและส่งเสียงออกมา จากนั้นมันจะง่ายยิ่งขึ้น”
เหอยาโถวเป็นแบบอย่างของคนที่มีบุคลิกกล้าแสดงออก ยิ่งอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อนั้นเป็นเพียงเด็กในชนบททั่วไป จะสามารถพูดออกมาง่ายดายได้อย่างไร?
หยุนเชวี่ยเองก็ลุกขึ้น ใช้มือประสานกันก่อนจะโก่งคอตะโกน “บ๊วยดองน้ำตาลเจ้าค่า บ๊วยดองน้ำตาลดับกระหาย ห่อละห้าเหรียญ รสชาติดี ราคาไม่แพง”
เสียงดังชัดเจนก้องอยู่ในภูเขา
หลังจากตะโกนเสร็จ นางก็ยิ้มและมองดูทั้งสองคนอย่างให้กำลังใจ
“คิดเสียว่าเป็นการตะโกนเพื่อทำงาน!” เหอยาโถวชี้นิ้วเรียวงามไปยังชีจิน “เจ้าเป็นผู้ชาย เช่นนั้นให้เจ้าเริ่มก่อน”
“ฮ่าฮ่า เอาล่ะ!” ชีจินลุกขึ้น กลืนน้ำลายพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก
“น้ำตาล บ๊วยดองน้ำตาล… บ๊วยดองน้ำตาล… ขายบ๊วยดองน้ำตาล…”
เสียงดังฟังชัด พลังเต็มเปี่ยม เพียงแต่เขากล่าวอยู่แค่ประโยคเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหอยาโถวจึงพูดขึ้น “เจ้าจำคำพูดที่ข้าบอกเมื่อวานไม่ได้หรือ?”
“ในใจข้าจำได้ชัดเจน” ชีจินเกาศีรษะและหน้าแดงด้วยความอับอาย “แต่ใครจะรู้ เมื่อต้องพูดออก ปากข้ากลับไม่ได้ดั่งใจ”
เสี่ยวส้วยเอ๋อก้มศีรษะลงและยิ้มขบขัน
เหอยาโถวตบหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่เลว หลังจากเจ้าลองตะโกนอีกไม่กี่ครั้งมันก็จะดีขึ้น” หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เสี่ยวส้วยเอ๋อ เจ้าอยากลองด้วยหรือไม่?”
“ได้”
เสี่ยวส้วยเอ๋อหันหน้าเข้าหาภูเขา มือทั้งสองจับชายเสื้อของตนไว้แน่น
“บ๊วยดองน้ำตาลเจ้าค่ะ บ๊วยดองน้ำตาลอร่อย ๆ รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยดับกระหายคลายร้อน เดินผ่านไปผ่านมาแวะชิมดูก่อนได้ ไม่หวานไม่คิดเงินเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้ไม่ลืมคำพูด แต่น้ำเสียงนั้นเบาหวิว
นางหันกลับมามองหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวด้วยความเขินอาย
“ไม่เลว หากเปล่งเสียงออกมาให้ดังกว่านี้จะดียิ่งขึ้น” หยุนเชวี่ยกล่าวชื่นชม
กินเพียงคำเดียวไม่อาจทำให้กลายเป็นคนอ้วน* คงต้องใช้เวลาอีกสักสองวัน ดังนั้นต้องใจเย็น ๆ!
เสี่ยวส้วยเอ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมทั้งยิ้มอย่างเขินอาย
“นี่! ทำอะไรอยู่หรือ?”
มีคนสามคนเดินขึ้นมาจากเชิงเขา เป็นเถียนตวนสื่อกับต้าจ้วงและเอ้อจ้วงลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของเขา
“ข้าได้ยินเจ้าตะโกนมาตลอดทาง ว่าแต่หาเงินได้เยอะมากเลยหรือ?” เถียนตวนสื่อยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียน
เสี่ยวส้วยกัดริมฝีปาก ฉับพลันใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เหอยาโถวกลอกตา “พวกข้าอยากตะโกนก็ตะโกน มิได้ไปตะโกนในบ้านเจ้าสักหน่อย เจ้ามีปัญหาอะไรหรือ?”
“ชีจิน เจ้าใช้พลังไปเท่าไหร่? แล้วได้เงินเท่าไหร่จากการตะโกนอย่างเหนื่อยยากเช่นนี้?” เถียนตวนจื่อกล่าววาจายั่วยุอีกครั้ง
ชีจินส่ายหัวอย่างลังเล
สามพี่น้องพากันหัวเราะเยาะ
หยุนเชวี่ยยักไหลอย่างเฉยเมย “เพียงแค่ตะโกนไม่ได้เสียเนื้อเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ตอนนี้พวกข้าฝึกฝนกันดูก่อน อีกไม่นานก็หาเงินได้”
“อีกไม่นานของเจ้าคือเมื่อไหร่กัน? อย่าทำให้ผู้อื่นวุ่นวายไปเลย ท่านป้าเจิ้งเคยกล่าวว่า พวกปากไม่มีหนวด ทำอะไรก็ไม่น่าเชื่อถือ*”
“ปากไม่มีหนวด ทำอะไรก็ไม่น่าเชื่อถือ…”
“ปากไม่มีหนวด ทำอะไรก็ไม่น่าเชื่อถือ…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เถียนตวนสื่อเอ่ยร้อง ต้าจ้วงกับเอ้อจ้วงก็ตะโกนรับ ทั้งสามหัวเราะเยาะและเดินจากไป
“หึ หากพวกข้าหาเงินได้ เจ้า… เจ้าอย่ามาอิจฉาแล้วกัน!” เหอยาโถวโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สามคนนั้นแข็งแกร่งราวกับวัว ในขณะที่พวกเขาแต่ละคนรูปร่างผอมบาง หากพลังการต่อสู้ไม่ต่างกันมากนัก เขาคงจะเข้าไปข่วนหน้าเถียนตวนสื่อสักที
“นักปราชญ์รู้ว่าเมื่อใดควรถอย บุรุษผู้ยิ่งใหญ่รู้ว่าเมื่อใดควรยอมจำนน*” เหอยาโถวบ่นพึมพำ มืองามขยี้ผมจนฟูฟ่องด้วยความโกรธเคือง
หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปลูบหลังเขาเพื่อปลอบใจ “ช่างเถิด เหตุใดเจ้าต้องฉุนเฉียวถึงเพียงนี้?”
“พวกเขาดูถูกผู้อื่น” เหอยาโถวขมวดคิ้ว “เจ้าไม่โกรธหรือ?”
“โกรธไปก็เท่านั้น เมื่อเราหาเงินได้ พวกเขาก็จะหุบปากกันไปเอง”
ชีจินเกิดความรู้สึกลังเล จึงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไม่มั่นใจนัก “พวกเราจะหาเงินได้จริงหรือ?”
เสี่ยวส้วยเอ๋อก็เปิดเปลือกตามองพวกเขาทั้งสองอย่างสับสน
“ได้แน่นอน!” เหอยาโถวยืดเอวขึ้นและตบหน้าอกของตน “อย่าไปฟังวาจาสามหาวของเจ้าเถียนตวนสื่อ เขาแค่อยากได้เงินก่อนโดยไม่ต้องทำงาน ไม่มีอะไรง่ายดายเช่นนั้นหรอก! ประโยคนั้นพูดอย่างไรนะ…”
“ได้มาโดยไม่ต้องลงแรง” หยุนเชวี่ยกล่าว
“ใช่ ได้มาโดยไม่ต้องลงแรง!” เหอยาโถวถอนหายใจยาว “เมื่อพวกเราหาเงินได้ หากเขาอยากมาร่วมด้วย ข้าจะไม่ต้อนรับอีกแล้ว!”
เสี่ยวส้วยเอ๋อกับชีจินได้แต่นิ่งเงียบ
“พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้กังวล ลูกบ๊วยที่ฝากพี่เหอเยี่ยเอ๋อซื้อ จะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า หากขายได้หนึ่งห่อจะได้เงินหนึ่งเหรียญ หากขายได้สิบห่อก็จะได้เงินสิบเหรียญ โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย!” หยุนเชวี่ยสร้างความมั่นใจให้ทั้งสองคนอีกครั้ง
“ขายได้มากเท่าไหร่ ก็ได้เงินมากเท่านั้น คราวที่แล้วข้ากับเหอยาโถวขายได้ยี่สิบหกห่อในโดยใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวัน”
“ใช่ ๆ” เหอยาโถวพยักหน้า
ดวงตาของเสี่ยวส้วยเอ๋อเป็นประกายเมื่อได้ยิน “นั่นเท่ากับว่าได้เงินยี่สิบหกเหรียญหรือ?”
“อีกไม่กี่วันจะมีการชุมนุมใหญ่ ในเมืองครึกครื้นยิ่งนัก” หยุนเชวี่ยหรี่ตาลงพร้อมกับรอยยิ้ม “ตราบใดที่พวกเจ้าทั้งสองทำงานอย่างขยันขันแข็ง ย่อมหาเงินได้มากขึ้นอย่างแน่นอน”
“อืม!” ชีจินกำหมัดด้วยท่าทีฮึกเหิม “ข้าจะลองตะโกนอีกสักสองสามครั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสี่ยวส้วยเอ๋อเองก็เม้มริมฝีปากพร้อมกับพยักหน้า
จากนั้นไม่นาน หนึ่งน้ำเสียงหนักแน่น หนึ่งน้ำเสียงสดใส ทั้งสองเสียงเปล่งออกมาดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งภูเขา
“ลูกบ๊วย… บ๊วยดองน้ำตาลดับกระหาย…”
“ห่อละห้าเหรียญ รสชาติดี ราคาไม่แพง ลองชิมดูก่อนได้ ถูกใจค่อยซื้อ…”
หลังจากตะโกนเช่นนี้อยู่ครึ่งค่อนวัน ยิ่งตะโกนมากก็ยิ่งมีพลัง และในที่สุดก็กลายเป็นความสนุกสนาน ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจากการร้องเล่น
* กินเพียงคำเดียวไม่อาจทำให้กลายเป็นคนอ้วน บางอย่างไม่สามารถทำสำเร็จได้ภายในครั้งเดียว มักจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝน
* ปากไม่มีหนวด ทำอะไรก็ไม่น่าเชื่อถือ ใช้ตำหนิหรือปรามาสเด็กวัยรุ่นที่ไร้ประสบการณ์ ไม่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีได้
* นักปราชญ์รู้ว่าเมื่อใดควรถอย บุรุษผู้ยิ่งใหญ่รู้ว่าเมื่อใดควรยอมจำนน หมายความว่า คนฉลาดต้องปฏิบัติตามสถานการณ์และหลีกเลี่ยงการสูญเสียหรือเสียเปรียบในทันที แล้วค่อยดำเนินการอีกทีเมื่อมีโอกาสในอนาคต