ตอนที่ 65 ชายผู้ซื่อสัตย์ตื่นสักทีเถิด
หลังจากหยุนเชวี่ยเดินกลับถึงบ้าน นางได้กลิ่นอาหารตลบอบอวลไปทั่วทั้งลาน
“ข้าไม่เห็นใครเลยตั้งแต่เช้า เจ้าไปไหนมา” แม่นางเหลียนถามขึ้นขณะยืนอยู่ข้างโต๊ะ
“ข้าไปเล่นกับเหอยาโถวมา” หยุนเชวี่ยชะโงกหน้ามองเข้าไปในหม้อ
เมื่อครั้งที่อดยากได้กินแต่ผักกับรำก็ตะกละกินเนื้อ แต่เมื่อได้กินเนื้อติดกันหลายวันก็ให้รู้สึกเลี่ยนอยู่ไม่น้อย
“ท่านแม่ ข้าอยากกินบะหมี่ไข่”
“ไปล้างมือก่อนนะ”
หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ ตรงข้างแปลงผักเพื่อล้างมืออย่างเชื่อฟัง “ท่านแม่ บ้านเรามีแป้งขาวหรือไม่?”
“พรุ่งนี้แม่จะเอาของไปขอแลกของกับแป้งที่บ้านป้าเหอ” แม่นางเหลียนพูดขณะจัดจานและตะเกียบ
หลังจากได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากแม่เฒ่าจู ชีวิตของนางก็เปิดกว้างขึ้น ด้วยความรักที่มีต่อลูก ๆ นางจึงดูแลพวกเขาอย่างดี หากเหล่าเด็กน้อยอยากกินสิ่งใด นางก็อยากให้ทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ ตราบเท่าที่ให้ได้
“มีใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอีกครั้ง
แม่นางเหลียนมองดูบุตรสาวด้วยความขบขัน “เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น?”
“มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่สาวข้าเคยเก็บไข่มาทำกิน จำได้ว่าตอนนั้นข้าโดนท่านย่าด่าอยู่ตั้งนาน”
ในตอนที่แยกบ้าน ไก่สามตัวนั้นถูกแบ่งให้ก็จริง แต่พวกมันทั้งหมดถูกเลี้ยงในเล้าเดียวกัน เมื่อแม่ไก่วางไข่ แม่เฒ่าจูก็ครอบครองไข่พวกนั้นเอาไว้ทั้งหมด หากคนในครอบครัวของนางกล้าแตะต้องไข่แม้แต่ฟองเดียว พวกเขาก็จะถูกสาปแช่งตลอดทั้งเช้า
แม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนล้วนนิสัยดี พวกนางต่างก็ไม่ต้องการยั่วยุอารมณ์ของหญิงชรา ส่วนหยุนเชวี่ยนั้นขี้เกียจเกินกว่าจะไปหาเรื่องโต้เถียง
หากคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ทั้งวัน นางคงไม่อยากมีชีวิตที่ร่ำรวยแล้ว
“พูดเบา ๆ หน่อย” หยุนเยี่ยนเหลือบมองห้องชั้นบน
แม่เฒ่าจูมักจะหาผลประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความจริง
หยุนเชวี่ยแลบลิ้นและสะบัดน้ำออกจากมือ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเอาของไปแลกกับที่บ้านป้าเหอหรอก พรุ่งนี้ตอนข้าเข้าไปขายเนื้อสัตว์ป่าในเมืองจะซื้อแป้งขาวกับไข่กลับมาเอง”
“ตกลง” แม่นางเหลียนพยักหน้า จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถามเยี่ยนเอ๋อกับเสี่ยวอู่ด้วย พวกน้ำตาลก้อน ผลไม้และขนม อยากกินอะไรก็ซื้อกลับมา”
การเงินมิได้ตึงมือนัก ตามธรรมชาติของผู้เป็นแม่จึงไม่อยากให้ลูกอดยาก
“ท่านแม่ของพวกเจ้า รักพวกเจ้าทั้งสามคนยิ่งนัก” หยุนลี่เต๋อยิ้มพร้อมกล่าวสนับสนุน
“แล้วท่านพ่อล่ะ?” หยุนเชวี่ยกะพริบตา
“พ่อมีแรงมีแรงทำงานหนักเพื่อหาเงินมาให้ท่านแม่ของพวกเจ้า จะได้มีชีวิตที่สุขสบาย” ท่านพ่อผู้ต่ำต้อยถูมือของเขา
แม่นางเหลียนยิ้มเอียงอาย ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ดวงตาของหยุนเชวี่ยจ้องมองระหว่างคู่รักที่หวานชื่นแล้วอมยิ้ม “ข้าถามท่านพ่อด้วย ท่านอยากกินอะไร?”
“พ่อไม่อยากกินอะไร แค่มองดูพวกเจ้ากินก็มีความสุขแล้ว”
แค่มองดูภรรยาของท่านก็หวานกว่ากินน้ำผึ้งทั้งโถแล้ว หยุนเชวี่ยคิดในใจ
“พี่สาวกับเสี่ยวอู่อยู่ที่ไหนหรือ?”
“ข้าโตแล้ว ยังต้องกินขนมอีกหรือ?” หยุนเยี่ยนโบกมือปฏิเสธ
เสี่ยวอู่ก็ส่ายหัวอย่างรู้ความ
หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ท่านยังไม่แต่งงาน นับว่ายังเป็นเด็กอยู่”
หยุนเยี่ยนจ้องกลับมาด้วยแววตาขุ่นเคือง “ท่านแม่ดูนางสิ พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว”
“เชวี่ยเอ๋อ หยุดแกล้งพี่สาวเจ้าได้แล้ว” แม่นางเหลียนรู้สึกกลุ้มใจนัก
ลูกสาวคนรองของนางอายุเท่าไหร่กัน? เหตุใดวันทั้งวันถึงเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้?
“หน้าแดง ๆ ของพี่สาวข้างดงามที่สุดแล้ว เจ้าว่าเช่นนั้นหรือไม่เสี่ยวอู่?”
เสี่ยวอู่มองหยุนเยี่ยน จากนั้นก็หันกลับมาพยักหน้าให้หยุนเชวี่ย
“อย่าไปทำตามพี่รองของเจ้า ทั้งไม่รู้จักอายทั้งดื้อรั้น” หยุนเยี่ยนหันหน้าไปทานมื้อเย็น
ทั้งสามคนพี่น้องต่างเติบโตขึ้น หยุนเชวี่ยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งเดือนแรกหลังจากแยกบ้าน
โดยเฉพาะหยุนเยี่ยน ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางหาได้ซูบตอบดังที่เคยเป็น ผิวพรรณเริ่มผุดผ่อง อวบอิ่มขึ้นจากการกินอิ่มนอนหลับ รอยยิ้มของนางเบ่งบานงดงามตามวัยสาวแรกแย้ม
เพียงแต่ว่า…
นางแอบหรี่ตามองเลยลงไปใต้ที่คางเรียวสวยได้รูปของหยุนเยี่ยน ดูเหมือนว่าหน้าอกจะแบนราบไปสักหน่อย จากนี้ไปจะต้องบำรุงหยุนเยี่ยนให้มากขึ้น!
“เจ้ามองข้าทำไมหรือ?” แก้มของหยุนเยี่ยนยังคงแดงก่ำ นางยื่นชามข้าวไปตรงหน้าน้องสาว “รีบกินซะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“หัวเราะอะไร?”
“ไม่มีอะไร พี่สาว… ท่านกินเยอะ ๆ สิ”
หยุนเยี่ยนรู้สึกว่าหยุนเชวี่ยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดจึงปล่อยผ่านไป เมื่อตื่นขึ้นจากการนอนงีบในช่วงเที่ยง นางเดินมุ่งตรงไปหลังบ้านด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา
ผู้เฒ่าหยุนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ขณะที่หยุนลี่เต๋อกำลังสะพายหน้าไม้เตรียมตัวขึ้นภูเขา ในตอนที่เขากำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูจึงบังเอิญได้เผชิญหน้ากันพอดี
“ท่านพ่อ ไปไหนมาหรือ? แล้วท่านกินข้าวหรือยัง?”
“ท่านปู่” หยุนเชวี่ยทักทายเขาด้วยความเคารพ ในมือถือตะกร้าใบเล็ก
“เจ้ารอง กำลังจะไปล่าสัตว์อีกแล้วสินะ” ผู้เฒ่าหยุนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“ท่านพ่อ ข้าให้แม่ของเชวี่ยเอ๋อเก็บเนื้อตุ๋นไว้ให้ในหม้อ”
“อืม ดี ๆ”
ผู้เฒ่าหยุนเอามือไพล่หลัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปในลานบ้าน เขาลังเลอยู่ตรงลานบ้านชั่วขณะ จากนั้นก็ตัดสินใจหันหลังเดินกลับขึ้นห้องชั้นบน
“ท่านพ่อ อาหารยังอุ่นอยู่ ท่านกินก่อนเถิด…”
แต่ชายชราโบกมือปฏิเสธโดยไม่หันมามองหยุนลี่เต๋อด้วยซ้ำ
“พ่อว่าท่านปู่ของเจ้าดูท่าทางไม่ค่อยดีนัก”
หยุนเชวี่ยรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ก็เดินตามหลังผู้เป็นพ่อไปโดยไม่กล่าวอะไร แม้แต่พ่อผู้ซื่อบื้อของนางยังรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ แล้วนางจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร?
หยุนเชวี่ยถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย อันที่จริงนางหวังใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยอยากอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข
อีกอย่าง ทั้งหยุนลี่จงและหยุนลี่เซี่ยวล้วนวางใจไม่ได้ มีเพียงพ่อผู้ซื่อสัตย์ของนางเท่านั้นที่สามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ได้
“เรื่องชิ่วเอ๋อ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี” หยุนหลี่เต๋อพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ท่านปู่คงอยากให้ใครสักคนไปเจรจายอมความกับตระกูลหยู ท่านพ่ออย่าได้สนใจ ปล่อยให้ลุงใหญ่เป็นคนไปจัดการเรื่องนี้เอง” หยุนเชวี่ยเตะก้อนหินก้อนเล็กตรงหน้า พร้อมกับตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“ลุงใหญ่ของเจ้าเป็นบัณฑิต จึงไม่อาจมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้”
“บัณฑิตกล่าววาจาไร้วาทศิลป์ เช่นนั้นก็ให้อาสามไป”
“อาสามของเจ้า…” หยุนลี่เต๋อโบกไม้โบกมือท่าทีอึกอัก “ช่างเถิด…”
“พวกเขาทั้งสองล้วนไม่อยากไป ท่านพ่อ ท่านเองก็แยกตัวออกมาจากตระกูลแล้ว หากกล่าววาจาใดให้ตระกูลหยูระคายใจ อาจไม่ได้กลับมาในสภาพที่ดีนัก” หยุนเชวี่ยบ่นออกด้วยความโกรธ
แต่หยุนลี่เต๋อยังคงเป็นผู้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์และคุณธรรมในใจ “พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าพูดเรื่องแยกเป็นสองครอบครัวอีก”
หยุนเชวี่ยถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่กลอกตาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางรู้สึกอยากจับตัวเขามาเขย่าเรียกสติเสียจริง!
‘ท่านพ่อตื่นสักที! ท่านกลายเป็นแพะรับบาปที่ถูกขับออกจากตระกูลแล้วมิใช่หรือ?! ทั้งหยุนลี่จง หยุนลี่เซี่ยวและหยุนซิ่วเอ๋อ มีผู้ใดบ้างที่นับว่าท่านเป็นคนในครอบครัวของพวกเขา?’
บนภูเขา
“เจ้าเก็บพุทราอยู่แถวนี้ อย่าเดินเข้าไปลึก”
แม้ว่าหยุนเชวี่ยจะรู้เส้นทางบนภูเขานี้แล้ว หยุนลี่เต๋อก็ยังคงกล่าวกำชับกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันทีที่เขาลับสายตาไป หยุนเชวี่ยที่สะพายตระกร้าใบเล็กไว้ด้านหลัง ก็รีบกระโดดข้ามไปยังอีกด้านของพุ่มไม้ราวกับกระต่ายซุกซน
แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านเถาวัลย์ที่ห้อยระย้าอยู่ตรงปากถ้ำ สืออีคาบใบหญ้าไว้ในปาก นั่งบนพื้นพิงผนังถ้ำ เข่าข้างหนึ่งตั้งชันขึ้น
เมื่อมองเห็นร่างเพรียวบางมาแต่ไกล เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วโบกมือร้องเรียก “เชวี่ยเอ๋อ!”
“เหตุใดเจ้าถึงมานั่งตรงนี้”
“รอเจ้า คิดว่าเจ้าน่าจะมา” เมื่อเขายืนขึ้นเต็มตัว ความสูงจึงแตกต่างกันถึงหนึ่งช่วงไหล่
“หิวงั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมองคางเรียวจากด้านข้าง
สืออีก้มลงเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเถาวัลย์ตรงปากถ้ำยื่นให้นาง
“วันนี้ข้าเอาไก่ฟ้ามาให้เจ้า” หยุนเชวี่ยหยิบห่อใบบัวออกมาจากตะกร้า เมื่อแกะห่อใบบัวออก กลิ่นหอมฟุ้งก็พัดผ่านปลายจมูกของเขาไปตามลมภูเขา
“ข้าแอบเก็บเอาไว้ให้ตอนกินข้าวน่ะ”
ดวงตาดอกท้อของสืออีทอดมองนางด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้ม