ตอนที่ 66 อะไรคือ ป้าบ ป้าบ ป้าบ…
“กินสิ มองข้าเช่นนี้มีอะไรหรือ?” หยุนเชวี่ยยื่นแป้งกับน้ำให้เขาอีกครั้ง
“เชวี่ยเอ๋อ…”
“หืม?”
สืออีเอียงศีรษะเล็กน้อย มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างงดงาม
“อะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไร”
จู่ ๆ ก็แค่อยากเรียกชื่อของสาวน้อยผู้นี้ขึ้นมา
“วันนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามขณะที่นั่งเท้าคางอยู่บนหินก้อนใหญ่
“อืม ไม่เจ็บแล้ว”
“กินอิ่มแล้วขอข้าดูแผลหน่อย…”
สืออีค่อย ๆ ฉีกเนื้อชิ้นหนึ่งออกจากขาไก่ ก่อนจะยื่นไปที่ปากของนางพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะ “ข้ากินอิ่มมาจากบ้านแล้ว เจ้ากินเถิด”
เจ้าหมาป่าน้อยยังคงยื่นมือของเขาค้างไว้อย่างนั้น พร้อมทั้งจ้องมองด้วยแววตารอคอย
สายตาสบประสานกันอยู่ชั่วขณะ
ฉับพลันหยุนเชวี่ยบังเกิดความรู้สึกอยากเอื้อมมือออกไปจัดผมของเขาให้เรียบร้อย
“เอาล่ะ ๆ เจ้าเองก็กินด้วย” นางหยิบเนื้อไก่เข้าปากแล้วพูดงึมงำ
ท่าทางของสืออีราวกับสุนัขตัวโตที่กระดิกหูส่ายหางอย่างมีความสุข ก่อนจะแลบลิ้นสีชมพูเล็ก ๆ ออกมาเลียปลายนิ้วเรียว
หยุนเชวี่ย…
แต่ถึงอย่างนั้น วิธีการกินของเจ้าหมาป่าน้อยนี้ช่าง… น่าดึงดูด
สืออีไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ไม่ว่าจะเป็นแป้งทอดแห้ง ๆ หรือน่องไก่หอม ๆ เขาก็จะละเลียดกินมันจนหมดในไม่ช้า
หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะมองเขาพร้อมกับลอบถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าวิธีการรักษาเช่นนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่ก็นับว่าทำดีที่สุดแล้ว จากนี้ก็แล้วโชคชะตานำพา อย่างน้อยก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับเขาในตอนนี้
สืออีลืมตาขึ้นมองนางด้วยแววตาที่น่าสงสาร หลังจากหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เถาวัลย์ที่เพิ่งเก็บมาก็แทบจะร่วงหล่นลงพื้น
หัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาเต้นตึกตัก ๆ
“เป็นอะไรไปหรือ?!” หยุนเชวี่ยตกใจรีบถลาเข้าไปช่วย
“เปล่า ไม่เป็นไร” สืออีหันหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หูของเขาเริ่มร้อนขึ้นและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
“ไม่สบายตรงไหนหรือ?” หยุนเชวี่ยที่ยังคงไม่รู้สถานการณ์ ยื่นมือนุ่มนิ่มมาแตะหน้าผากของเขาอีกครั้ง
สืออีหัวใจเต้นแรงราวกับมีกลองกระหน่ำรัวอยู่ในอก รู้สึกหน้ามืดวิงเวียน จนดวงตาของเขาแทบปิดลง
‘มันจบแล้ว…’ เขาคิดในใจ
“เสร็จแล้ว ๆ” หยุนเชวี่ยแตะหน้าผากของเขา
อุณหภูมิเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นไข้กลับหรอกหรือ? จู่ ๆ ก็มีอาการ จึงไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย
“นี่ เจ้ารอก่อน รอเดี๋ยว! ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”
สืออีพยักหน้า ในสายตาของเขามีเพียงใบหน้าสีชมพูระเรื่อของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดวงตาของนางกลมโตเป็นประกาย
“อดทนไว้อีกสามวัน เพียงสามวันเท่านั้น” หยุนเชวี่ยจับแขนของเขาไว้แน่น
“เชวี่ยเอ๋อ” สืออียื่นมือไปลูบผมของนางเพื่อปลอบโยน ดวงตาของเขาโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร”
แม้แต่การเก็บลูกสุนัขมาเลี้ยงเพียงสองสามวันยังรู้สึกผูกพัน นับประสาอะไรกับผู้ชายตัวใหญ่ที่ยังมีชีวิตเช่นนี้
หยุนเชวี่ยรู้สึกเจ็บปวดใจ
นางกังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอ่ยปากบอกใคร จึงทำได้เพียงกับไว้กับตัวลำพัง ภาวนาให้ดวงชะตาของเขาแข็งแกร่งรอดพ้นจากความตาย และมีชีวิตที่ดีอยู่ต่อไป
ระหว่างทางลงเขา
“เมื่อฤดูหนาวมาถึง คงล่าสัตว์ได้ยากขึ้น” หยุนลี่เต๋อตบไก่ฟ้าที่พาดอยู่บนไหล่ของเขาพร้อมถอนหายใจ “พ่อคงต้องหาอย่างอื่นทำ”
หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
“คงอีกสองสามเดือนกว่าจะผ่านพ้นฤดูหนาวเข้าสู่ช่วงฤดูใบ้ไม้ผลิ”
หยุนเชวี่ยเงียบงัน…
“เชวี่ยเอ๋อ?” หยุนลี่เต๋อดึงมือลูกสาว “ดูทางด้วย ระวังสะดุด เจ้าคิดอะไรอยู่?”
“เอ๊ะ?” หยุนเชวี่ยดึงสติกลับมาตอนที่เกือบเดินชนตอไม้ “ท่านพ่อ เมื่อกี้ท่านพูดอะไรหรือ?”
“พ่อบอกว่าช่วงหน้าหนาวคงต้องหางานอย่างอื่นทำ จะใช้เวลาหลายเดือนอยู่บ้านโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้”
หยุนลี่เต๋อเป็นคนหยาบกระด้าง ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตเฉกเช่นชาวนาทั่วไป ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาพักผ่อนในตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า หว่านไถพืชผลในฤดูใบไม้ผลิและเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้กระทั่งเข้าสู่ฤดูหนาว เขาก็ยังไม่มีความคิดอื่นใดนอกจากแต่งตัว กินข้าว และออกไปทำงานในท้องทุ่ง
แต่ตอนนี้เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้น เมื่อได้ลิ้มรสความหอมหวานของการหาเงินเพื่อให้ภรรยาและลูก ๆ ได้มีชีวิตที่สุขสบาย จิตใจของเขาจึงมีชีวิตชีวายิ่งนัก
“เชวี่ยเอ๋อว่าพ่อควรทำอะไรดี?” หยุนลี่เต๋อเอ่ยถาม
หยุนเชวี่ยส่ายหัวครุ่นคิด แต่ก็ยังนึกอะไรไม่ออก
ในทางตรงกันข้าม นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากที่หยุนลี่เต๋อสามารถพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แน่นอนว่าเมื่อคนซื่อสัตย์ได้รู้แจ้ง อนาคตอันสดใสย่อมรออยู่!
“เดี๋ยวกลับไปพ่อค่อยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกที ไม่ต้องรีบร้อน”
“อืม ท่านพ่อ ผลผลิตในสวนที่ใหม่ของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีมากเชียวล่ะ ดินอุดมสมบูรณ์ ต้นกล้าผักไม่ขาดน้ำ พรุ่งนี้ไปดูได้”
“ฮ่าฮ่า ดียิ่งนัก”
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยตะโกนเรียกมารดาก่อนจะก้าวเข้าประตูบ้าน
แม่นางเหลียนกล่าวทักทายบุตรสาวตรงหน้าประตูก่อนจะยกตะกร้าใบเล็กที่นางแบกไว้บนบ่าลงมา “โอ้ เหตุใดถึงตัวหนักเช่นนี้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”
“ไม่หนักเลยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเหยียดแขนของนาง “ข้าเก็บต้นเบอร์สวย ๆ มาเป็นอาหารให้กระต่าย”
ต้นเบอร์เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง พบได้มากมายตามทุ่งนาระหว่างสันเขา เป็นพืชที่มีความแข็งแรง มักนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ใหญ่ อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านไป๋ซีทำการเกษตรเป็นหลัก จึงมีคนจำนวนไม่มากนักที่มีวัวควายในครอบครอง
“อาหารพร้อมแล้ว รีบไปให้อาหารกระต่ายเถิด”
“พวกท่านกินก่อนเลย ไม่ต้องรอข้าไม่หิว” หยุนเชวี่ยถือหญ้าไว้หนึ่งกำมือ ก่อนจะเดินตรงไปยังรังกระต่ายใกล้ฐานกำแพงฝั่งตะวันตก
“เสี่ยวฮุย เสี่ยวฮวา ได้เวลากินแล้ว” นางยื่นมือไปสัมผัสหัวเล็ก ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มฟู “กินสิ กินเยอะ ๆ”
ใบหูยาวที่มีขนปุกปุยของเจ้ากระต่ายทั้งสองกระดุกกระดิก
“กินอิ่มแล้วจะได้มีแรงป้าบ ๆ ๆ”
“เสี่ยวฮุย เจ้าต้องเป็นฝ่ายรุกเข้าหา ไม่ต้องอายเสี่ยวฮวา”
พวงหางกลมสั้นของพวกมันส่ายไปมาอีกครั้ง
หยุนเชวี่ยยังคงป้อนหญ้ากระต่ายต่อไป พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “พวกเจ้าจะป้าบ ๆ ๆ กันหรือไม่? หรือควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ?”
เสียวฮุยและเสี่ยวฮวาขยับปากเคี้ยวหญ้าอย่างรวดเร็ว
“อะไรคือป้าบ ๆ ๆ หรือ?” หยุนเยี่ยนยื่นศีรษะมาจากด้านหลัง เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
หยุนเชวี่ยตัวเย็นเยียบด้วยความตกใจ “เอ่อ… พี่สาว เหตุใดท่านถึงเดินฝีเท้าเบาราวกับแมวเช่นนี้ ไม่ได้ยินเสียงเลย”
“เจ้ากำลังคุยอะไรกับกระต่ายอยู่หรือ?”
“ก็แค่… ฮ่าฮ่าฮ่า…” หยุนเชวี่ยเกาศีรษะ แหงนหน้ามองฟ้า “แค่บอกให้พวกมันกินเยอะ ๆ และโตเร็ว ๆ จะได้คลอดลูกกระต่ายตัวน้อย”
“มันจะเข้าใจหรือ?”
“ก็อาจจะ…”
“พรืด…” หยุนเยี่ยนหลุดหัวเราะ “ไปล้างมือกินข้าวได้แล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่รออยู่”
โต๊ะอาหารเย็น
“เสี่ยวอู่ สองวันมานี้เจ้าไม่ได้สร้างปัญหาอันใดให้เฟิงซิ่วไฉใช่หรือไม่?” แม่นางเหลียนเอ่ยปากถาม
เสี่ยวอู่ที่กำลังถือชามข้าวอยู่ ส่ายหัวปฏิเสธ
“หากได้ตามเฟิงซิ่วไฉไปร่ำเรียน จงจริงจังและระวังให้มาก มีคนเต็มใจสอนหนังสือนับเป็นเรื่องดีแก่เรา”
เสี่ยวอู่พยักหน้าอีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกำชับเรื่องนี้หรอก เสี่ยวอู่ของพวกเราเป็นเด็กมีเหตุผล” หยุนเชวี่ยบีบแก้มน้องชายพร้อมกับยักคิ้วให้
เสี่ยวอู่เม้มปากด้วยความขัดเขิน มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย
“เขียนชื่อตัวเองได้หรือยัง?”
เสี่ยวอู่พยักหน้า หลุบตาลง ใช้นิ้ววาดลงบนโต๊ะไม้
“ได้เรียนอะไรอีก?” หยุนเชวี่ยถามอีกครั้ง
เสี่ยวอู่กล่าวออกมาทีละคำ ด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
“ชื่อท่านพ่อ ท่านแม่”
“ชื่อพี่ใหญ่”
“ชื่อพี่รอง”
“คัมภีร์ตรีอักษร”
หยุนเชวี่ยมีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้ “แค่ไม่กี่วัน ได้เรียนรู้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? จุ๊ ๆ เสี่ยวอู่ของบ้านข้าฉลาดยิ่งนัก! ในอนาคตต้องได้เป็นจ้วงหยวน*แน่นอน! มาเถอะ ท่องคัมภีร์ตรีอักษรให้พี่สาวฟังหน่อย”
* จ้วงหยวน คือ ตำแหน่งของผู้ที่สอบคัดเลือกขุนนางต่อหน้าพระที่นั่งของจักรพรรดิ (เตี้ยนซื่อ) ได้คะแนนที่สูงที่สุด
“เจ้าก็รู้หรือ?” หยุนเยี่ยนกระพริบตาด้วยความสงสัย
จะว่าไปเชวี่ยเอ๋อก็ไม่เคยได้เรียนหนังสือ แต่เหตุใดถึงดูมีความรู้มากมาย? บางคราวนางก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องสาวพูดนัก