ตอนที่ 67 เจ้าสารเลวตัวน้อยต้องการหลอกลวงข้า
อย่าได้คิดดูถูกเสี่ยวอู่ที่พูดได้เพียงแค่ทีละคำ เพราะเมื่อเขาท่อง ‘คัมภีร์ตรีอักษร’ กลับสามารถท่องได้อย่างราบรื่น
อันคนเราแรกเกิดเดิมที ท่านว่ามีนิสัยดีที่งดงาม แต่ละคน แต่ละผู้ แต่ละนาม จะเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมการอบรม *(1)
หากไม่อบรมสั่งสอนลูกหลาน อันสันดานนิสัยจะแปรเปลี่ยนผัน การอบรมสั่งสอนลูกหลานนั้น จิตใจต้องตั้งมั่นไม่หวั่นไหว *(2)
ย้อนมองแม่เมิ่งจื้อครั้งโบราณกาล เฝ้นหาเพื่อนบ้านแลที่อยู่อาศัย ลูกไม่ใฝ่ร่ำเรียนแม่เสียใจ จึ่งตัดด้ายบนกี่ทอสั่งสอนลูก *(3)
เบญจยุคสมัยมีโต้วเยียนซัน ตัวท่านนั้นกำหนดกฎเหล็กบ้าน สอนลูกรักทั้งห้าคนไม่หย่อนยาน ล้วนเป็นที่กล่าวขานห้าวีรชน *(4)
เสี่ยวอู่ยังกล่าวถึง ‘สามพรสวรรค์ อันได้แก่สวรรค์ พิภพ และมนุษย์ แสงทั้งสาม อันได้แก่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว’ ถึงตอนนี้หยุนเชวี่ยไม่อาจตอบโต้ประโยคถัดไปได้แล้ว แต่นางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ใช้มือเคาะโต๊ะและส่ายหัวด้วยความเพลิดเพลิน
หยุนลี่เต๋อ…
แม่นางเหลียน…
หยุนเยี่ยน…
ทั้งสามกำลังนั่งฟังคัมภีร์สวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายเลย แต่ก็รู้สึกมีพลังอย่างยิ่ง
“ความขยันหมั่นเพียรเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับโดยไม่ต้องสูญเสีย จึงควรเพียรพยายามให้มากจะเป็นการดี”
เสี่ยวอู่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ เขาท่องบทความทั้งหมดด้วยความรวดเร็วและนุ่มนวล จากนั้นจึงก้มหน้ากินอย่างสงบเสงี่ยม
“นี่พูดถึงเรื่องอะไรกันรึ?” แม่นางเหลียนกล่าวเสียงเบาด้วยความสับสน
“ท่านแม่ถามเจ้าน่ะ” หยุนเชวี่ยแตะตัวเสี่ยวอู่และตั้งใจจะทดสอบเขา
“พูดถึงเรื่องความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความจริงใจ ความเคารพ และความกตัญญูกตเวที”
“รวมถึงประวัติศาสตร์และวรรณกรรม”
เสี่ยวอู่กล่าวถ้อยคำที่ดูหน้าเบื่อหน่ายออกมาทีละคำอีกครั้ง
หยุนเชวี่ยส่ายขาและเผยรอยยิ้มอันปิติยินดี
เจ้าเด็กเมื่อวานซืนทำให้นางภาคภูมิใจยิ่งนัก
“เสี่ยวอู่ของพวกเราภายหน้าย่อมได้ดิบได้ดีแน่นอน!”
เช่นเดียวกับแม่นางเหลียน หยุนลี่เต๋อรู้สึกเหมือนกำลังฟังพระสวดมนต์ เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยกย่องลูกชายของตนเช่นกัน
เพิ่งได้เล่าเรียนเพียงไม่กี่วัน แต่สามารถอ่านหนังสือได้ถึงเพียงนี้!
“สิ่งที่เฟิงซิ่วไฉสอนก็นับว่าดียิ่งนัก” แม่นางเหลียนคีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางลงในชามของเสี่ยวอู่อย่างมีความสุข
“ถ้าเช่นนั้น ไก่ฟ้าที่ล่ามาได้วันนี้หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้วรีบล้างทำความสะอาดและส่งไปให้เฟิงซิ่วไฉเป็นการขอบคุณเถิด” ใบหน้าสีเข้มของหยุนลี่เต๋อกลายเป็นสีแดง เขาตบลงที่ต้นขาของตัว “เฮ้อ ข้าคงต้องดื่มสักหน่อย”
“ข้าจะไปเอาเหล้ามาให้ท่านพ่อเอง” หยุนเชวี่ยยิ้ม แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็เห็นชายชราเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่
“ท่านปู่”
“อืม” ผู้เฒ่าหยุนพยักหน้า “กินเสร็จแล้วหรือ?”
“ยังเลยเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นท่าทางที่ดูมืดมนของเขา หยุนเชวี่ยมีลางสังหรณ์ว่าท่านปู่จะต้องมีเรื่องวุ่นวายและคิดแผนการร้ายอีกเป็นแน่
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองไปยังห้องปีกฝั่งตะวันตก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ารอง”
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น” หยุนหลี่เต๋อวางชามลงพร้อมรอยยิ้มที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมบนใบหน้าของเขา
“กินข้าวเสร็จแล้วมาที่ห้องชั้นบนหน่อย”
“อืม ได้ขอรับ!”
“ท่านปู่เรียกหาพ่อข้า มีอะไรหรือ?”
เมื่อหยุนเชวี่ยเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่จริงจัง คิ้วของผู้เฒ่าหยุนก็ขมวดมุ่น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องถามมาก”
กล่าวจบก็มองลึกไปยังหยุนลี่เต๋อ
แววตานั้นเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้เขาดูแลลูก ๆ ให้ดี โดยเฉพาะลูกสาวของเขา ไม่ให้ไปรบกวนอันใดได้
ตอนนี้ชายชรารู้สึกรำคาญนางยิ่งนัก จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับนาง
หยุนเชวี่ยหันกลับไปมองและแลบลิ้นออกมาอย่างไร้เดียงสา
แม่นางเหลียนยิ้มราวกับดอกไม้เบ่งบานจนหางตาของนางโค้งลง
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านปู่ถึงรำคาญข้า?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอย่างรู้เท่าทัน
“ท่านปู่ไม่ได้รำคาญเจ้าหรอก เขาแค่… ช่วงนี้มีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ” หยุนลี่เต๋อปลอบ
ในใจของชายผู้ซื่อสัตย์ เขาคิดเสมอว่าครอบครัวคือครอบครัว แม้กระดูกแตกหัก แต่เส้นเอ็นยังคงเชื่อมโยง คนเฒ่าคนแก่จะไม่เอ็นดูลูกหลานตัวเองได้อย่างไร
แม้ในใจจะลำเอียงไปบ้าง แต่นิ้วทั้งห้ายังยาวไม่เท่ากันเลย ถึงอย่างไรเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
หยุนเชวี่ยกล้ำกลืน “ทุกครั้งที่ท่านปู่เห็นข้า เขามักจะหน้าดำคร่ำเครียดอยู่เสมอ”
“ท่านปู่ของเจ้าก็เป็นเช่นนั้น เพราะเขาทำงานหนักอยู่กลางท้องทุ่งผิวจึงคล้ำเป็นเป็นธรรมดา”
หยุนเชวี่ย…
หยุนลี่เต๋อใช้มืออันเอื้อเฟื้อลูบศีรษะของนาง “ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเกิดปัญหา นี่ถึงนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน กินข้าวกันเถอะ”
หยุนเชวี่ยกะพริบตาและพยักหน้าอย่างลังเล
บางครั้งนางก็รู้สึกว่าพ่อผู้ซื่อสัตย์ของนางซื่อตรงและไร้เล่ห์เลี่ยมเกินไป ยิ่งนึกถึงความกตัญญูอันโง่เขลาก็ยิ่งไม่พอใจ
บางคราก็เหมือนเขาจะเข้าใจในความเป็นจริงทุกอย่าง กระจ่างแจ้งแก่ใจ จนดูคล้ายว่าเขา ‘ไร้เดียงสา’ แต่แท้จริงแล้ว ความงดงามในหัวใจของเขาอยู่เหนือคนธรรมดาทั่วไป
หลังจากที่หยุนลี่เต๋อกินข้าวอย่างรวดเร็วและง่ายดาย เขาก็วางตะเกียบลง แล้วตรงไปยังห้องชั้นบน
แม่นางเหลียนลังเลที่กล่าววาจาออกมา จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเป็นกังวล
“ข้าจะไปแอบฟัง” หยุนเชวี่ยเดินเลาะตามกำแพงไปตรงหน้าต่างหลังห้องชั้นบน
เสี่ยวอู่เช็ดปากและเดินตามนางไปอย่างเงียบเชียบ
หลังบ้านเป็นพื้นที่โล่ง มีเครื่องโม่หินอยู่ตรงกลาง ซานหลางหยุนอี้ นั่งอยู่บนเครื่องโม่หินโดยยกขาขึ้น ส่วนเอ้อหลางหยุนเหรินนั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้างเขา
หลังจากเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ หยุนเชวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง “เอ้อหลาง ซานหลาง”
หยุนเหรินและหยุนเยี่ยนอายุเท่ากัน ส่วนหยุนอี้นั้นเกิดก่อนนางเพียงครึ่งปี
กล่าวได้ว่าพวกเขาอยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน ตามปกติแล้วพวกเขาควรจะได้วิ่งเล่นด้วยกัน มีความใกล้ชิดสนิทสนม แต่ตระกูลหยุนไม่ใช่เช่นนั้น
หยุนโม่ หยุนเซียงและหยุนเย่วลูกของท่านลุงใหญ่ ไม่เคยแยแสเด็กหญิงเด็กชายในชนบทเหล่านี้
หยุนเหรินลูกชายของท่านอาสามนั้นน่าเบื่อและไร้ตัวตน ส่วนหยุนอี้นั้นเหมือนกับพ่อของเขาทุกประการ วันทั้งวันเอาแต่เดินเตร็ดเตร่ เที่ยวเล่นกับหมากับแมวไปทั่วหมู่บ้าน ไม่เคยคิดทำการงานอันใด
บรรดาหลาน ๆ ของตระกูลหยุนจึงต่างคนต่างอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง หากพวกเขาไม่ทะเลาะกันหรือสร้างปัญหา ก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข ดังนั้นพวกเขามักคิดว่าหลีกเลี่ยงการสนทนากันจะเป็นการดีกว่า
“ฮ่าฮ่า” หยุนอี้แกว่งขา ปากของเขายกยิ้มเผยให้เห็นฟันซี่ใหญ่เรียงเป็นแถว “เจ้ามาที่กำแพงเพื่อแอบฟังใช่หรือไม่?”
“ข้ากินอิ่มจึงมาเดินย่อย แล้วพี่สามมาทำอะไรที่นี่?” หยุนเชวี่ยถามกลับ
“ชิ…” หยุนอี้ใช้แขนรั้งก่อนจะกระโดดลงมาจากเครื่องโม่หิน เขาเดินเข้าไปหาหยุนเชวี่ย ยกแขนกอดอก รูจมูกเปิดกว้าง “เจ้าคิดว่าข้าอายุสามขวบหรือ?”
เขาสูงกว่าหยุนเชวี่ยไปครึ่งหัว และด้วยรูปลักษณ์อันพาลเช่นนั้น จึงทำให้การวางท่าของเขาดูน่ากลัวยิ่งนัก
จู่ ๆ เสี่ยวอู่ที่เดินตามหยุนเชวี่ยมาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า จ้องมองเขาตาเขม็ง มือเล็ก ๆ กำหมัดแน่น
“หึหึ” หยุนเชวี่ยวางมือบนศีรษะของเสี่ยวอู่แล้วตบเบา ๆ
“เจ้าหัวเราะอะไร” หยุนอี้มองนางด้วยแววตาฉงน
“พี่สาม ขอข้าฟังหน่อย” หยุนเชวี่ยชี้ไปที่หน้าต่างด้านหลัง พร้อมกะพริบตาปริบ ๆ
“ไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะอารมณ์เสีย” ซานหลางแกว่งกำปั้นไปมา
“เหตุใดพวกเราถึงไม่แอบฟังด้วยกันล่ะ?”
“เชวี่ยเอ๋อ ท่านปู่สั่งให้คอยจับตาดูเจ้า” เอ้อหลางที่นั่งเงียบมาโดยตลอดกล่าวขึ้น
หยุนเชวี่ยได้แต่ลอบกลอกตาในใจ
ตาเฒ่านั่นเข้มงวดกับการป้องกันนางเสียยิ่งกว่าป้องกันโจร
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ย่อมหมายความว่าพวกเขาต้องการจะขุดหลุมพรางพ่อผู้ซื่อสัตย์ของนางอีกครั้ง!
ครอบครัวเดียวกัน เมื่อมีปัญหาต้องช่วยเหลือกัน คำกล่าวนี้นับว่าสมเหตุสมผล แต่เมื่อยามสุขสบายล่ะ เคยแบ่งปันกันหรือไม่?
ส่งคนที่จิตใจดีไปตกนรกแทน นี่ยังนับว่าเป็นครอบเดียวกัน ไม่ใช่ศัตรูกันอีกหรือ
ความเลวร้ายนี้ยังไม่ชัดเจนพอหรืออย่างไร
“พี่สาม ท่านปู่ให้สัญญาอะไรกับท่านไว้หรือ?” หยุนเชวี่ยกล่าวจี้จุดสำคัญ
“เจ้าจัดการไม่ได้หรอก”
“ท่านปู่ให้ข้าในสิ่งที่ให้ได้ หากข้าไม่พูดเสียอย่างก็ไม่มีผู้ใดรู้”
หยุนอี้ลูบคางครุ่นคิด แต่ถึงอย่างไรได้กินสองย่อมดีกว่าหนึ่ง
“ท่านปู่ให้… ให้เงินข้าสิบเหรียญ”
“โอ้”
หยุนเชวี่ยพยักหน้าพลางคิดว่าชายชราไม่มีทางใจกว้างถึงเพียงนี้ ให้เงินสิบเหรียญหรือ… ให้ไข่ไก่แค่สองฟองยังเป็นไปได้มากกว่า!
เจ้าสารเลวน้อยซานหลางต้องการหลอกลวงนางเช่นนั้นหรือ?
“แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า?” หยุนอี้กวาดสายตามองนางขึ้นลงก่อนจะเอ่ยถาม
*(1) มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยชุนชิว เป็นยุคทองของเหล่านักปราชญ์เมธีทั้งหลายที่จะออกมานำเสนอความคิดแนวคิดของสำนักของตน จนเป็นที่มาของสำนวนจีนที่ว่า “百家争鸣” ครั้งหนึ่ง มีนักปราชญ์เมธีหลายคนได้หยิบยกเอาประเด็นปัญหาที่ว่า นิสัยของคนเราในตอนเกิดนั้นดีหรือชั่ว เปิดการอภิปรายถกเถียงกันเป็นการใหญ่ ในท้ายที่สุดแล้ว แนวคิดที่มีน้ำหนักที่สุด ก็คือ แนวคิดของปราชญ์เมิ่งจึ (เมิ่งจื้อ) ที่กล่าวว่านิสัยของคนเราเมื่อแรกเกิดคือนิสัยดี เขาได้ให้คำอธิบายไว้ว่า ตอนที่คนเราคลอดออกมานั้น นิสัยก็เป็นนิสัยที่ดีอยู่ แต่ที่มันเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมในภายหลังนั้น เกิดจากสิ่งแวดล้อมและการศึกษาอบรมที่แตกต่างกันเป็นเหตุนั้นเอง
*(2) คัมภีร์ตรีอักษรบทที่สองนี้ มุ่งชี้ให้เห็นถึงจิตใจที่ต้องตั้งมั่นว่าจะอบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ดำรงอยู่ในธรรมนองครองธรรม ไม่ให้นิสัยสันดานที่ดีตั้งแต่กำเนิดนั้นถูกสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีทำให้เปลี่ยนแปลงไป หากแม้ว่าจิตใจของผู้ที่จะอบรมสั่งสอนไร้ซึ่งความมุ่งมั่น ไร้ซึ่งความกล้าที่จะยืนหยัดต่อสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามากระทบจิตใจให้เกิดความรู้สึกท้อถอย ไม่ว่าเราจะมีวิธีที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลานที่ดีสักเท่าไร ก็จะไม่มีวันสำเร็จไปได้
*(3) คัมภีร์ตรีอักษร บทที่สามนี้ สอนเรื่องยืนหยัดทำในสิ่งดี ต้องทำสม่ำเสมอ ต้องมีวินัยไม่เกียจคร้านหรือเบื่อหน่ายที่จะทำ มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยที่ท่านเมิ่งจื้อยังเยาว์วัยนั้น ท่านอาศัยอยู่ในบ้านที่ใกล้ ๆ กับสุสานหลุมฝังศพ แต่ละวันก็จะมีพิธีฝังศพของผู้วายชนให้เห็นตลอดเวลา เด็กแถวนั้นจึงได้พากันเล่นเลียนแบบพิธีศพนี้ ถือว่าเป็นการเล่นที่พิเรนมากทีเดียวครับ และแน่นอนว่าท่านเมิ่งจื้อก็ร่วมเล่นกับเด็กๆเหล่านั้นด้วยเช่นกัน มารดาของท่านเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าไม่น่าจะดีกับลูกถ้าขืนยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป ภายหน้าลูกเราคงไม่พ้นอาชีพสัปเหร่อเป็นแน่ จึงตัดสินใจพาลูกย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในเมือง
บ้านที่ย้ายมาอยู่ใหม่นั้น อยู่ในเมืองและมีเพื่อนบ้านเป็นคนฆ่าสัตว์พ่อค้าขายเนื้อสัตว์ ไม่วายที่เด็กแถว ๆ นั้นจะพากันเล่นขายของเล่ขายเนื้อ มารดาท่านเมิ่งจื้อเห็นเช่นนั้น คิดว่าคงไม่ได้การเป็นแน่ จึงตัดสินใจพาลูกย้ายบ้านอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ท่านย้ายมาอยู่ใกล้กับสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง เมิ่งจื้อจึงเริ่มมีเพื่อนใหม่จากสำนักศึกษานั้น และก็เริ่มต้นเล่าเรียนหนังสือเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่นั้นมา
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านเมิ่งจื้อโดดเรียนหนีกลับมาบ้าน ถูกมารดาของท่านจับได้ มารดาของท่านจึงใช้กรรไกรตัดผ้าทั้งผืนที่ทอเสร็จแล้วขาดเป็นท่อน ๆ ท่านเมิ่งจื้อเห็นดั่งนั้นแล้วไม่เข้าใจจึงถามว่า “เหตุใดท่านแม่ถึงตัดผ้าที่ทอแสนลำบากนี้เสียเล่า” มารดาของท่านจึงสอนว่า “ที่เจ้าหนีเรียนไม่ตั้งใจเรียน ก็เหมือนที่แม่ตัดผ้าที่ทอเสร็จให้เสียเป็นท่อน ๆ นี้ ความดีที่เคยทำมาอย่างสม่ำเสมอ กลับมลายสิ้นลงเพียงเพราะความคิดชั่ววูบหรือความเกียจคร้าน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านเมิ่งจื้อจึงตั้งใจศึกษาตำราต่าง ๆ จนเทื่อเติบโตขึ้นกลายเป็นนักปราชญ์เมธีผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีนที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
*(4) ในปลายสมัยเบญจยุค มีชายคนหนึ่งนามว่า “โต้วหวี่จวิน 窦禹钧” เมื่อครั้งวัยรุ่นนั้นที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย จิตใจไม่ซื่อตรงเท่าไรนัก อาศัยการต้มตุ๋นหลอกลวงจนสามารถก่อร่างสร้างฐานะร่ำรวยขึ้นมาได้ เมื่ออายุก้าวเข้าสู่เลขสาม ตัวเขานั้นยังไม่มีลูกสืบทอดสกุลเลยสักคนเดียว อยู่มาวันหนึ่ง วิญญาณพ่อของเขาได้มาเข้าฝันแจ้งกับโต้วหวี่จวินว่าให้เร่งสำนึกในความผิดพลาดที่ตนได้เคยกระทำและจงกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ และให้เร่งสร้างคุณงามความดีไว้มาก ๆ เมื่อตื่นขึ้นจากความฝันในคืนนั้น โต้วหวี่จวินจดจำคำสอนของพ่อในฝันจนขึ้นใจ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาจึงกลับตัวเป็นคนใหม่ หันมาสงเคาระห์คนไร้ยาก เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น ประพฤติตนเป็นผู้ปิดทองหลังพระ ไม่นานนักเขากับภรรยาก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายถึงห้าคน โต้วหวี่จวินอบรมสั่งสอนลูกทั้งห้าอย่างเคร่งครัดไม่ย่อหย่อน ในท้ายที่สุดผลจากการที่เขาอบรมสั่งสอนลูก ๆ อย่างเข้มงวดนั้น ทำให้ลูก ๆ ของเขาทั้งหมดเติบโตขึ้นก็สอบเข้ารับราชการ กลายเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองและมีชื่อเสียงตราบจนทุกวันนี้