ตอนที่ 68 งิ้วโรงใหญ่

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 68 งิ้วโรงใหญ่

ลูกไม้ตื้น ๆ ของเจ้าเด็กสารเลวผู้นี้ไม่อาจตบตาหยุนเชวี่ยได้

นางแบสองมือออกพร้อมยักไหล่ “ข้าไม่มีเงินมากถึงเพียงนั้น”

เมื่อซานหลางได้ยินเช่นนี้ เขาก็จ้องนางเขม็งทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ? ไสหัวไปซะ อย่ามากวนข้าที่นี่!”

“พี่สามอย่ากังวลไปเลย” หยุนเชวี่ยป้องปากกระซิบ “พรุ่งนี้ข้าจะเก็บขาไก่ชิ้นใหญ่ไว้ให้เจ้า เป็นอย่างไร?”

หยุนอี้กลอกตาไปมา

หยุนเชวี่ยขยิบตาให้เขา

“ไม่ล่ะ” เขาทำท่าทางและชูนิ้วขึ้นมา “อย่างน้อยต้องได้สองชิ้น!”

เจ้าสารเลวน้อยจอมโลภมาก…

หยุนเชวี่ยแสร้งทำเป็นคิดหนัก “เช่นนั้นก็ช่างเถิด ขาไก่หายไปตั้งสองขา ท่านแม่ของข้าต้องจับได้แน่ หากยุ่งยากนัก ข้าไม่ฟังแล้วก็ได้…”

หลังจากกล่าวจบ นางก็จับมือเสี่ยวอู่พร้อมกับถอนหายใจและเดินหันหลังจากไป

หนึ่ง…

สอง…

สาม…

นางนับถึงสามเงียบ ๆ ในใจ จากนั้นเสียงของหยุนอี้ก็ดังมาจากด้านหลัง

“อย่าเพิ่งไป”

หยุนเชวี่ยชะงักไปชั่วครู่ ริมฝีปากที่เม้มแน่นของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย

หยุนอี้กลืนน้ำลาย “ไม่กินก็น่าเสียดาย ขาไก่ชิ้นใหญ่ทั้งชิ้น ต้องนำมาให้ข้าในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง หากเจ้ากล้าหลอกข้าล่ะก็…”

เขาเดินเข้าไปอีกสองก้าว ก่อนจะกำมือแน่นพร้อมกับหักข้อต่อเสียงดัง

“พี่สามอย่าได้กังวล พรุ่งนี้เจอกันหลังห้องฝั่งตะวันตก”

หลังจากที่ใช้ขาไก่ชิ้นใหญ่ซื้อตัวหยุนอี้ได้สำเร็จ หยุนเชวี่ยก็หมอบโค้งอยู่ใต้หน้าต่างหลังห้อง

คนที่กำลังพูดอยู่ในห้องชั้นบนคือหยุนลี่จง

“น้องรอง เจ้าทำเช่นนี้นับว่าไม่ถูกต้อง…”

หยุนลี่เต๋อ…

หลุนลี่จงกล่าวต่อ “ไม่ควร ไม่ควรเลยจริง ๆ เจ้าไม่ควรรับปากเรื่องเงินยี่สิบตำลึงนั่น ไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ของครอบครัวเราตอนนี้เป็นอย่างไร…”

หยุนลี่เต๋อ “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้รับ…”

หยุนลี่จง “หากรับของขวัญมงคลมาแล้วก็ไม่ควรนำกลับคืน นั่นจะทำให้ตระกูลหยูจะรู้สึกว่าพวกเราไม่กล้าแข็งข้อกับเขา เพราะเหตุนี้เขาถึงได้กล้าโลภมากเรียกร้องเงินจากเรา…”

หยุนลี่เต๋อ “หากไม่คืน เท่ากับพวกเราเป็นฝ่ายผิด”

จากนั้นแม่นางจ้าวก็พูดขึ้น

“ผิดอย่างไร? ของขวัญมงคลนั่นเป็นตระกูลหยูยินดีมอบให้ หาใช่พวกเราเอามีดจี้คอมาสักหน่อย ท่านแม่ขอสินสอดหนึ่งร้อยตำลึง ให้เหมาะสมกับความงามของชิ่วเอ๋อ หากเขาอยากแต่งงาน ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องพยายามให้มากขึ้นหรือ?”

หยุนชิ่วเอ๋อพ่นลมอย่างไม่พอใจ

แม่เฒ่าจูตะโกนสาปแช่งขึ้นมาทันที “พอก้าวเท้าหน้าแยกบ้านออกไป ก้าวเท้าหลังก็ลืมเสียแล้วว่าใครให้กำเนิดเลี้ยงดูมา หายใจเข้า หายใจออกนึกถึงแต่คนนอก ในใจคงหวังจะให้พ่อแม่ตายไปให้พ้น! ช่างเป็นลูกชายจิตใจอำมหิตอะไรเช่นนี้! คงคิดบัญชีแค้นที่มีต่อพวกเรา…”

หยุนลี่เต๋อที่ถูกด่ายังคงไม่พูดไม่จา

ก่อนที่หยุนเชวี่ยจะเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาเหล่านี้ร่วมกันสาดโคลนใส่พ่อผู้ซื่อสัตย์ของนางนั้นหมายความว่าอย่างไร ก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าหยุนตบโต๊ะและถอนหายใจยาว

“เฮ้อ… !”

ฉับพลันทั้งห้องก็ตกอยู่ในความสงบ

หยุนลี่จง “ท่านพ่อ มีอะไรจะกล่าวหรือ”

“แค่ก ๆ” เสียงของผู้เฒ่าหยุนแหบแห้ง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “อย่าโทษเจ้ารองเลย เป็นตระกูลหยูที่ไร้เหตุผล เจ้ารองลำบากแล้ว เจ้ารอง…”

หยุนลี่เต๋อตอบกลับอย่างโง่เขลา “ท่านพ่อ”

ผู้เฒ่าหยุน “เรื่องนี้ ไม่สามารถกล่าวโทษเจ้าได้ทั้งหมด”

หยุนลี่เต๋อ…

ผู้เฒ่าหยุน “แต่เจ้าก็เห็นว่าสถานการณ์ในบ้านตอนนี้เป็นอย่างไร…”

หยุนลี่เต๋อ…

“เฮ้อ!” ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจอีกครั้ง “ตระกูลเราไม่มีเงินยี่สิบตำลึงแล้วจริง ๆ!”

เงียบ…

สงบ…

ไม่มีผู้ใดในห้องกล่าววาจาใดออกมา

หยุนเชวี่ยอยากจะมองสอดส่องเข้าไปข้างใน แต่หน้าต่างด้านหลังปิดสนิท

ครู่ต่อมา หยุนลี่เต๋อเอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านจะทำอย่างไร?”

ฉับพลันหยุนเชวี่ยก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

“น้องรอง เจ้าถามเช่นนี้ ไม่ใช่อยากทำให้ท่านพ่อของเราอับอายหรือ?” แม่นางจ้าวกล่าวขึ้นเสียงแผ่วเบา

หยุนลี่เต๋อ…

“หึ ทำให้พวกเราอับอายหรือ? เขาคงทนรอแทบไม่ไหวแล้วที่จะให้ข้าไปคุกเข่าเป็นขอทานขอเศษอาหาร! ชั่วช้ายิ่งนัก…” แม่เฒ่าจูพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

“น้องรอง เรื่องครั้งก่อน เป็นความผิดของพี่ใหญ่ที่ปล่อยให้เจ้าถูกทำร้าย” หยุนลี่จงกล่าวอย่างจริงใจ “พี่ใหญ่ขอสาบานต่อสวรรค์ ถึงแม้เราจะแยกครอบครัวกัน แต่เราจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงคนนอก ภายหน้าเมื่อพี่ใหญ่ได้เป็นขุนนาง คนแรกที่จะได้รับผลประโยชน์คือเจ้า ท่านพ่อเองก็ทำทุกอย่างที่ดีต่อครอบครัวเรา ขอเพียงเจ้าอย่าเก็บความเกลียดชังเอาไว้ในใจ…”

หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ อยู่ใต้หน้าต่าง คิ้วของนางขมวดมุ่น เหตุใดวาจาเหล่านี้ยิ่งดูผิดแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ที่ลุงใหญ่พูดหมายความว่าอย่างไร?” ซานหลางที่กำลังแอบฟังอยู่ด้วยกันเอ่ยถามขึ้น

“ชู่ว…” หยุนเชวี่ยมองเขาอย่างเย็นชา “เงียบ อย่าส่งเสียงดัง!”

ซานหลางไม่ยอมแพ้ “เจ้า…”

“หุบปาก หากท่านปู่จับได้ เจ้าจะไม่ได้ทั้งขาไก่ชิ้นใหญ่และเงินสิบเหรียญ!”

ซานหลางตกตะลึงกับแววตาอันดุร้ายของหยุนเชวี่ย นังเด็กน้อยกล้าดีอย่างไรมาโกรธเขา?!

เมื่ออยากโต้กลับก็นึกถึงขาไก่ชิ้นใหญ่หอมกรุ่น ชุ่มน้ำมัน จึงได้แต่จ้องมองนางด้วยความโกรธจนอยากจะตีใครสักคน

“พี่ใหญ่ ข้าไม่เคยเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน จะโกรธเกลียดกันได้อย่างไร…” หยุนหลี่เต๋อกล่าว

“หากท่านคิดว่าท่านเป็นคนตระกูลหยุน เช่นนั้นก็ไม่ควรเข้าข้างผู้อื่น” หยุนชิ่วเอ๋อตะโกน

หยุนลี่เต๋อ…

หยุนชิ่วเอ๋อ “เป็นเพราะท่าน ตระกูลหยูถึงกล่าวหาข้าผิด ๆ เช่นนั้น ข้าไม่สน อย่างไรท่านก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ข้า! หากข้าต้องทนแต่งงานกับเจ้าของร้านขายของชำนั่น ฆ่าข้าให้ตายเสียดีกว่า!” หยุนชิ่วเอ๋อตีโพยตีพาย

นางทั้งตะโกนและร้องไห้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“จิตใจของเขาต่ำช้าอะไรเช่นนั้น! ไม่ใช่ว่าเป็นการบีบบังคับให้ครอบครัวเราต้องตายหรือ! โหดร้ายเกินไปแล้ว! ตายไปจะต้องตกนรกขุมที่สิบแปด!” ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจูกำลังสาปแช่งตระกูลหยูหรือหยุนลี่เต๋อกันแน่

“เอาล่ะ อย่าโวยวายไป ให้เจ้ารองกล่าวอะไรบ้างเถิด” ชายชราพูดเสียงเบา

หยุนลี่เต๋อลังเลเล็กน้อย “… ท่านพ่อ จะให้ข้าพูดอะไรหรือ?”

ชายชรายังไม่ทันได้กล่าววาจาใดออกมา หยุนชิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้น

“ท่านต้องชดใช้เงินยี่สิบตำลึงให้ตระกูลหยู!”

ทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดกล่าววาจาใดออกมา ราวกับพวกเขายอมจำนนต่อคำพูดของหยุนชิ่วเอ๋อโดยปริยาย

หยุนเชวี่ยแทบอยากเราะออกมาด้วยความโกรธ ไม่น่าแปลกที่นางยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หึหึ คนเหล่านี้กำลังร่วมกันเล่นงิ้วโรงใหญ่!

ผ่านไปครู่ใหญ่

หยุนลี่เต๋อ “ท่านพ่อ… นี่…”

หยุนลี่จง “น้องรอง เจ้าควรเห็นใจในความยากลำบากของท่านพ่อบ้าง!”

หยุนลี่เต๋อ “แต่… ข้าจะมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร!”

หยุนชิ่วเอ๋อ “เหตุใดท่านจะไม่มี? ที่บ้านของท่านมีทั้งเหล้าและเนื้อ อีกทั้งท่านยังไปล่าสัตว์บนภูเขาทั้งวันเพื่อเอาไปขายในเมือง หากท่านไม่มีเงิน? แล้วผู้ใดจะมีหรือ?!”

หยุนลี่จง “นั่นอาจจะได้เงินไม่มากนัก”

หยุนชิ่วเอ๋อ “หึ ลูกสาวของท่านจ้างคนในหมู่บ้านมาทำงานหาเงินให้นาง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้!”

หยุนลี่เต๋อ…

หยุนชิ่วเอ๋อ “อีกทั้งเสี่ยวอู่ หากท่านไม่นำเนื้อหมูเค็มไปให้ มีหรือเฟิงซิ่วไฉจะยอมสอนวิชาแก่เขา”

หยุนลี่เต๋อ “คนที่บ้านเฟิงซิ่วไฉไม่รับเนื้อหมูเค็ม”

หยุนชิ่วเอ๋อ “เหลวไหล ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็เห็นกันทั้งนั้น ท่านนำเหล้า เนื้อและขนมไปให้ตระกูลเฟิง พ่อแม่ของตัวเองแท้ ๆ ไม่เคยกตัญญู แต่กลับไปก้มหัวให้คนนอก”

หยุนลี่เต๋อ…

น้ำเสียงของหยุนลี่จงคล้ายจะไม่พอใจเล็กน้อย “น้องรอง ไม่ใช่ว่าข้าบอกเจ้าแล้วหรือ อย่างน้อยตัวข้าเองก็เป็นบัณฑิต การที่เจ้ามองข้ามคนในครอบครัว แต่ไปพึ่งพาคนนอก นี่ไม่ใช่จะทำให้ข้าดูไม่ดีหรอกหรือ?”

แม่นางจ้าวกล่าวขึ้น “จะให้ลุงสอนหลานชายของเขาอ่านออกเขียนได้สักสองสามคำแล้วรับของขวัญไม่ได้เชียวหรือ?”

หยุนชิ่วเอ๋อ “คงกลัวว่าครอบครัวของข้าจะใช้ผลประโยชน์จากท่านสินะ!”

ต่างคนต่างต่อว่ากันคนละคำ

ทันใดนั้น…