ตอนที่ 69 เพ้อฝันราวกับได้ขึ้นสวรรค์

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 69 เพ้อฝันราวกับได้ขึ้นสวรรค์

ทันใดนั้นแม่เฒ่าจูผู้มักจะกล่าววาจาสาปแช่งอยู่ทุกครั้งที่อ้าปากก็เอ่ยขึ้น “เจ้าสอง ข้าขอถามสักคำ เจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นแม่อยู่หรือไม่?!”

“ท่านแม่ ท่านพูดอะไรเช่นนั้น…” หยุนลี่เต๋อรีบพูด

แม่นางจ้าว “เจ้าพูดมาเลยว่าจะยอมหรือไม่!”

หยุนลี่เต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง “แน่นอน หากมันควรจะเป็นเช่นนั้น”

แม่เฒ่าจู “หยุนชิ่วเอ๋อไม่ใช่น้องสาวของเจ้าหรือ?”

หยุนลี่เต๋อ “ใช่”

แม่เฒ่าจูยิ่งระเบิดอารมณ์รุนแรง “ทั้งพ่อแม่และน้องสาวของเจ้ากำลังจะถูกตระกูลหยูฆ่าให้ตาย เจ้าก็ไม่สนใจหรือ?”

หยุนลี่เต๋อ “สนใจ…”

เมื่อน้ำเสียงของเขาขาดหายไป หยุนชิ่วเอ๋อเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจจึงไม่อาจทนรออีกต่อไปได้ “เช่นนั้นท่านก็จ่ายเงินและจัดการเรื่องตระกูลหยูซะ!”

หยุนลี่เต๋อ…

แม่เฒ่าจู “เหตุใดล่ะ? ที่พูดไปฟังไม่เข้าใจรึ? หรือว่าพ่อแม่และน้องสาวของเจ้าไม่มีค่าเท่าเงินยี่สิบตำลึง?”

“หาใช่เช่นนั้น” หยุนลี่เต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่อาจจ่ายเงินมากมายขนาดนั้นได้จริง ๆ …”

“เฮอะ…” หยุนชิ่วเอ๋อเยาะเย้ย

หยุนลี่เต๋อ “ท่านพ่อ…”

ผู้เฒ่าหยุนไม่พูดไม่จา วางท่าเพิกเฉย

หยุนลี่จงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “น้องรอง เจ้าควรคำนึงถึงความยากลำบากของท่านพ่อ ท่านแม่ด้วย ต่อไปในภายหน้า พี่ใหญ่จะไม่มีวันปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า”

หยุนชิ่วเอ๋อ “หึ เงินแค่ยี่สิบตำลึงไม่ใช่รึ? ต่อไปภายหน้า หากข้าได้แต่งเข้าตระกูลขุนนาง เพียงข้ากระดิกปลายนิ้ว ท่านก็จะมีเงินเหลือกินเหลือใช้ไปทั้งชีวิต”

หยุนเชวี่ยที่ซ่อนตัวอยุ่ใต้หน้าต่างแค่นเสียงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ

ไม่รู้ว่าหยุนชิ่วเอ๋อไปเอาความมั่นใจมากมายนี้มาจากไหน เรื่องราวยังไม่มีท่าทีว่าจะเกิดขึ้นก็เพ้อฝันราวกับได้ขึ้นสวรรค์เสียแล้ว

“หึหึ หากท่านลุงใหญ่ได้เป็นขุนนาง พวกเราก็จะได้เป็นนายน้อยอยู่ในเมืองด้วยล่ะ” ดวงตาของซานหลางเป็นประกายด้วยความคาดหวัง

“เมื่อเวลานั้นมาถึงจะได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่ กินดีอยู่ดี ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็มีรถม้าให้นั่ง มีสาวใช้มาคอยปรนนิบัติดูแล และได้แต่งหญิงสาวในตระกูลขุนนางมาเป็นภรรยา”

หยุนเชวี่ยส่งเสียงเยาะเย้ยและมองเขาด้วยแววตาเวทนา

แม้ว่าหยุนลี่จงจะได้เป็นขุนนางจริง อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่นายอำเภอ หาใช่จักรพรรดิ!

ไม่รู้ว่าเขาวาดความหวังอะไรให้กับครอบครัวนี้ แต่ละคนดูคล้ายกับต้องมนต์สะกด เพ้อฝันถึงคืนวันอันแสนสุขไม่รู้จบ

ในห้อง

หยุนลี่เต๋อยังคงนิ่งเงียบไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา

ส่วนแม่เฒ่าจูนั้นเริ่มร้อนรนทนไม่ไหว “ที่ดินเก้าไร่ที่เจ้าแบ่งไปจากการแยกบ้านมิใช่เงินรึ?”

หยุนลี่เต๋อ “ท่านแม่… แต่นั่นคือแหล่งทำมาหากิน…”

แม่เฒ่าจู “แล้วอย่างไร? ให้เจ้าขายที่เพียงไม่กี่ไร่ทำท่าเจ็บปวดราวกับเฉือนเนื้อตัวเองทิ้งเชียวหรือ?”

หยุนลี่เต๋อ…

แม่เฒ่าจู “ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี! ในใจของเจ้าไม่เคยมีพ่อแม่อยู่ในนั้น! ข้าทำบาปทำกรรมอันใดหนักหนา! ถึงได้ให้กำเนิดหมาป่าตาขาว*ออกมาจากท้อง! หากปล่อยให้ข้าตายไป เขาคงจะสาแก่ใจยิ่งนัก!”

* หมาป่าตาขาว หมายถึง คนเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณคน

ฉากเรียกน้ำตากลับมาอีกครั้ง

หยุนเชวี่ยรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะชมละครฉากนี้ยิ่งนัก แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นจุดอ่อนของหยุนลี่เต๋อที่มีต่อมารดา

“เจ้าไปบอกท่านแม่…” นางเอียงศีรษะไปกระซิบที่หูเสี่ยวอู่อยู่สองสามคำ

เสี่ยวอู่พยักหน้าและหันหลังวิ่งออกไป

หยุนเชวี่ยลากขาเดินย่อง ก้าวขึ้นไปชั้นบนบ้านทีละก้าว ก่อนจะเปิดปากร้องตะโกนออกมา

“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! แย่แล้ว! ท่านแม่เป็นลม! ท่านรีบมาดูเร็วเถิด!”

“ปัง! ปัง! ปัง!”

“ท่านปู่ เปิดประตูเถิด! ช่วยด้วย! ท่านแม่ข้าเป็นลมหมดสติไปแล้ว!”

ขณะที่แม่เฒ่าจูกำลังเอะอะอยู่ในห้อง

ด้านนอก หยุนเชวี่ยก็ทุบประตูและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสองคนส่งเสียงดังกึกก้องจนโกลาหลวุ่นวายไปทั้งบ้านของตระกูลหยุน

“เชวี่ยเอ๋อ แม่ของเจ้าเป็นอะไรไป?” หยุนลี่เต๋อรีบออกมาจากห้องชั้นบนด้วยความกังวล

“ท่านพ่อ ท่านรีบไปดูเถิด ท่านแม่กำลังทำงานอยู่ จู่ ๆ นางก็ล้มลงไปเลย!” หยุนเชวี่ยดึงแขนเสื้อของเขาวิ่งไปทางห้องฝั่งตะวันตก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”

การจู่โจมอย่างกระทันหันของหยุนเชวี่ย ทำให้แม่เฒ่าจูสับสนอยู่ไม่น้อย

หญิงชราสะอึกอยู่เป็นนาน วาจาสาปแช่งของนางหยุดชะงักในทันที ความรู้สึกจุกแน่นไปทั้งอกตีขึ้นมา จนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ

คนในห้องได้แต่มองกันตาปริบ ๆ พวกเขาร่วมมือกันแสดงงิ้วโรงใหญ่ด้วยความเหนื่อยยากอยู่นาน แต่ก่อนที่หยุนลี่เต๋อจะทันได้กล่าวอะไรออกมา เขาก็จากไปเสียอย่างนั้น…

“สะใภ้รองนี่จริง ๆ เลย ทุกทีก็เห็นแข็งแรงดีอยู่แท้ ๆ เหตุใดวันนี้ถึงเป็นลมเป็นแล้งไปได้?” แม่เฒ่าจูบิดผ้าเช็ดหน้าพลางปิดปาก ซึ่งเผยให้เห็นถึงความนัยบางอย่าง

หยุนชิ่วเอ๋อเขวี้ยงพัดในมือทิ้งด้วยความเกรี้ยวกราด “หึ! นางต้องจงใจแกล้งป่วยเป็นแน่!”

“ท่านพ่อ ควรทำอย่างไรดี?” หยุนลี่จงเอ่ยถาม

ชายชราสีหน้าหมองคล้ำ คิ้วของเขาขมวดมุ่น ก่อนจะตวัดสายตามองหาหยุนอี้ “ซานหลาง”

“ท่านปู่” หยุนอี้ที่นั่งหมอบอยู่ใต้ชายคา เมื่อได้ยินเสียงเรียก ก็ลุกขึ้นและปัดเศษดินออกจากมือ “ท่านปู่ ข้ากำลังจับตามองอยู่ นังเด็กบ้านั่นไม่ได้มาแอบฟังที่หลังกำแพง”

ชายชราพยักหน้า

หยุนอี้ยิ้ม “ท่านปู่ อย่าลืมที่สัญญาว่าจะให้ไข่ข้าสองฟองล่ะ”

“ไข่อะไร? ที่บ้านนี้จะมีไข่ให้เจ้าได้อย่างไร?! เหมือนกับแม่ตัวเกียจคร้านของเจ้าไม่มีผิด เป็นวิญญาณหิวโหยมาเกิดหรืออย่างไร วันทั้งวันถึงได้อ้าปากร้องหาแต่ของกิน! รู้อย่างนี้เอาข้าวยัดปากให้ตายเสียตั้งแต่ยังเด็ก!”

แม่เฒ่าจูพยายามกดดันหยุนลี่เต๋อ แต่ไม่คาดคิดว่าลูกชายผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของนางกลับกล้าขัดใจทำในสิ่งที่นางไม่ชอบ!

หญิงชราโกรธจัดจนพาลระบายอารมณ์ใส่ซานหลาง

แม้ซานหลางจะเติบโตมาพร้อมกับเสียงดุด่าของหญิงชรามาตั้งแต่เด็ก แต่ลึก ๆ ในใจของเขาก็ยังหวาดกลัวนางอยู่เล็กน้อย

เขานิ่งเงียบ ไม่ปริปากโต้เถียงใด ๆ เพียงแค่เหลือบมองหญิงชราอย่างโกรธเคือง

แต่ก็นับว่าเป็นการแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว

แม่เฒ่าจูกระโดดลงจากเตียง ชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของซานหลางก่อนเอ็ดตะโรเสียงดัง

“คิดจะทำอะไรไอ้เด็กสารเลว? อยากตีข้าแต่ทำไม่ได้หรือ? มาสิ เข้ามาตีข้าเลย! ฆ่าข้าให้ตายไปเลย!”

หัวใจของนางเต้น ‘ตุบ ๆ ๆ’ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะร้องคร่ำครวญออกมา

“โอ๊ย… ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว! วันนี้คงเป็นวันตายของข้า ทั้งลูกชายและหลานชายล้วนอยากให้ข้าตาย เอาสิ เร็ว ๆ เข้า! หากข้าตายไปพวกเจ้าคงสาสมใจ!”

ถึงอย่างไรซานหลางก็ยังเด็กอยู่มาก เขาไม่อาจต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้ เอ้อหลางเห็นดังนั้นจึงรีบลากตัวเขาออกไป

“เจ้าสารเลวน้อยผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก เห็นแววตาของเขาหรือไม่? แทบจะอดทนฆ่าคนไม่ไหวแล้ว… เจ้าสามเลี้ยงดูลูกหมาป่าเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกจับเข้าคุกและตัดหัว!” แม่เฒ่าจูยังคงพูดพล่ามและสาปแช่งไม่รู้จบ

“เจ้าพอได้หรือยัง!” ผู้เฒ่าหยุนเครียดจนเส้นเลือดปูดโปนเต็มหน้าผาก

“เกรงว่าลูกสาวของบ้านรองจะรู้ทันและสร้างปัญหาอีกแล้วใช่หรือไม่?” แม่นางจ้าวเหลือบตามองไปทางห้องปีกฝั่งตะวัน ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับทั้งชีวิตของชิ่วเอ๋อ”

“นังเด็กชั้นต่ำ! สู่รู้นัก!” หยุนชิ่วเอ๋อกัดริมฝีปากและกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ “คอยดูเถิดว่าข้าจะลากนางมาตีจนตายได้หรือไม่!”

เมื่อกล่าวจบ ขึ้นก็เท้าสะโพกและสาวเท้าออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด

“ข้าสั่งให้เจ้าหยุด!” ชายชราตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธจัด

“ท่านพ่อ! พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน! อยากเห็นข้าทนทุกข์ทรมาน!”

“ทำเรื่องเช่นนี้กับเจ้ารอง ช่างน่าละอายเสียจริง” เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

ชายชรารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

เมื่อเห็นว่าการสอบในฤดูใบไม้ร่วงของลูกชายคนโตกำลังจะมาถึง เขาต้องใช้เงินเพื่อจัดการปัญหาต่าง ๆ และไม่สามารถคาดหวังอะไรจากลูกชายคนที่สาม จึงทำได้เพียงทำผิดต่อลูกชายคนรองเท่านั้น

หลังจากช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้สิ้นสุดลง ในภายหน้าลูกชายคนรองของเขาจะไม่มีวันได้รับการปฏิบัติที่เลวร้าย ชายชราคิดในใจ