ตอนที่ 70 หากชักช้าอาจเกิดปัญหาได้
อันที่จริงนอกจากชายชราแล้ว ทุกคนในนี้ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่พวกเขาล้วนเห็นแก่ตัว
หากพวกเขาทั้งหมดต้องการยึดมั่นในผลประโยชน์ของตนเองและไม่ยอมแพ้ ก็มีทางเลือกเดียวคือเจาะจงไปที่ชายผู้ซื่อสัตย์เพียงเท่านั้น
“ละอายอะไรนัก? เขาเกิดออกมาจากท้องข้า เงินเพียงยี่สิบตำลึงก็ให้ไม่ได้เชียวรึ?” แม่เฒ่าจูแค่นเสียงอย่างเย็นชา
“ท่านแม่กล่าวมีเหตุผล บุญคุณในการให้กำเนิดยิ่งใหญ่กว่าสวรรค์” แม่นางจ้าวสนับสนุน “พวกบ้านรองก็มีลูกแค่สามคน จะต้องกินต้องใช้อะไรมากมายหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยนเอ๋อกับเชวี่ยเอ๋อล้วนเป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่ อีกไม่กี่ปีก็ถึงวัยแต่งงานและจะได้รับสินสอดทองหมั้น ถึงคราวนั้นบ้านรองคงมั่งคั่งด้วยสมบัติมากมาย!”
ยิ่งฟังยิ่งให้อารมณ์เสีย แม่เฒ่าจูรู้สึกคับข้องใจยิ่งนัก
“ฮึ่ม! ในตอนแยกบ้านไม่น่าแบ่งที่ดินให้เขามากมายถึงเพียงนั้น หากไม่ใช่เพราะ…”
หากไม่ใช่เพราะต้องรับมือกับหยุนเชวี่ยนังเด็กสารเลว พวกเขาคงไม่ได้เงินแม้แต่เหรียญเดียว!
แค่เพียงว่า ‘เรื่องนั้น’ กลายเป็นข้อห้ามของตระกูลหยุน ไม่ว่าใครก็ตามที่กล่าวถึง ชายชราจะโมโหขึ้นมาทันที
ใบหน้าของแม่เฒ่าจูดูแก่ชราและทรุดโทรมลงไปในพริบตา นางคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
“ถุย! ตัวล้างผลาญทั้งคู่!” หยุนชิ่วเอ๋อยืนเท้าสะโพกอยู่ตรงประตู ก่อนจะถุยน้ำลายไปทางห้องฝั่งตะวันตก
“ท่านพ่อ ทำอย่างไรดี?” หยุนลี่จงเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ผู้เฒ่าหยุนยกมือขึ้นไพร่หลังและเดินไปทางประตูลานบ้านด้วยความเป็นกังวล
แม่เฒ่าจูที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงร้องถามสามี “ค่ำแล้ว ท่านจะไปไหน?”
“ไปเดินเล่น”
หยุนลี่จงรีบเดินตามไปประจบสอพลอ “มืดแล้วมองไม่ค่อยเห็นทาง ข้าจะไปกับท่านพ่อ”
“กลางคืนไม่หลับไม่นอน สัมภเวสีเร่ร่อนจะมาพรากวิญญาณ…”
แม่เฒ่าจูบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะยื่นมือไปจุดไส้ตะเกียงและหยิบตะกร้าหวายใบเล็กข้างเตียงขึ้นมา ในตะกร้ามีรองเท้าที่เย็บเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งอยู่ในนั้น
ผ้าแพรสีชมพูสดใสปักด้วยกล้วยไม้สองดอกที่งดงามละเอียดอ่อน
อย่าได้ตัดสินคนจากเพียงด้านเดียว แม้แม่เฒ่าจูจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวและไร้เหตุผล แต่นางก็รักสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทรงผมของนางมักจะเก็บรวบอย่างพิถีพิถันอยู่เสมอ อีกทั้งยังทำความสะอาดห้องหับอย่างเป็นระเบียบ ฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางก็ปราณีตงดงามอย่างยิ่ง
“นี่คงเป็นของขวัญแต่งงานของชิ่วเอ๋อ ท่านแม่ฝีมือของท่านช่างล้ำเลิศนัก” แม่นางจ้าวลูบไล้ลวดลายผ้าปักอย่างนุ่มนวล พร้อมทั้งพูดด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง
แม่เฒ่าจูเปิดเปลือกตาขึ้นและเพิกเฉยต่อนาง
“ตอนนี้สีและลายปักเช่นนี้ไม่เป็นที่นิยมในเมืองแล้ว” หยุนชิ่วเอ๋อเม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ
แม่นางจ้าวยิ้มจืดเจื่อน “แล้วในเมืองนิยมอย่างไรหรือ?”
“เมื่อวานข้าเจอเหอเซียงเอ๋อ รองเท้าของนางปักลายผีเสื้อบนผ้าแพรสีเหลือง ทั้งยังประดับด้วยลูกปัดหยกมรกตด้วย!”
“ถึงอย่างไรหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสย่อมดูดีกว่าอยู่แล้ว ชิ่วเอ๋อของเราเกิดมางดงาม ใส่ชุดอะไรก็สวยกว่าลูกสาวทั้งสามของตระกูลเหอเสียอีก”
แม่นางจ้าวเอียงศีรษะ หลบสายตาของหยุนชิ่วเอ๋อและยิ้มให้หญิงชรา “ท่านแม่ ค่ำแล้วอย่าทรมานสายตาเลย ข้าจะขอตัวกลับห้องก่อน”
ประตูห้องชั้นบนเปิดออกเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ปิดลง
“ฮึ!” หยุนชิ่วเอ๋อดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือและกลอกตาด้วยความโกรธ “ขี้เหนียวนัก แม้แต่รองเท้าปักคู่เดียวก็ให้ข้าไม่ได้”
แม่เฒ่าจูเบะปาก “อย่างน้อยนางก็ยังฉลาดกว่าลิงภูเขาอยู่บ้าง”
“ท่านแม่ ข้าอยากได้รองเท้าปักแบบเหอเซียงเอ๋อเท่านั้น”
เหอเซียงเอ๋อสวมรองเท้าแบบใหม่ที่เพิ่งวางขายในเมือง ด้วยความประณีตแปลกตา ประดับประดาด้วยลูกปัดสีสันสดใส มีพู่ระย้าตรงปลายเท้ากวัดแกว่งไปมายามเคลื่อนไหว จึงทำให้ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ และบรรดาลูกสะใภ้ในหมู่บ้านต่างกล่าวชื่นชมความวิจิตรงดงามของรองเท้าคู่นั้น
หยุนชิ่วเอ๋อยิ่งให้บังเกิดความอิจฉาริษยาในใจ
เหอเซียงเอ๋อหน้าตาจืดชืด หาได้มีความงดงามอันโดดเด่น เหตุใดถึงได้แต่งงานกับเถ้าแก่น้อยแห่งภัตตาคารหลงชิ่ง และได้รับการยกย่องเป็นนายหญิงผู้มีชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทอง?
ยิ่งคิดยิ่งให้โมโห ทั้งที่นางอ่อนวัยกว่าดุจดังดรุณีแรกแย้ม รูปร่างหรือก็ดีกว่าอักโข แล้วเหตุใดนางถึงด้อยกว่าเหอเซียงเอ๋อ?
แม่เฒ่าจูใช้มือชุบน้ำลายบิดด้ายแล้วสอดเข้าไปในเข็ม “เจ้าน่ะ หูตาไม่กว้างไกล มองไม่เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นมี หากเจ้าได้ตบแต่งกับนายน้อยในเมือง อย่าว่าแต่รองเท้าปักเพียงคู่เดียวเลย แม้แต่ภูเขาเงินภูเขาทองก็มิใช่ปัญหา”
“นี่ไม่ใช่เพราะว่าคนในตระกูลเราไม่มีผู้ใดสามารถนำพาข้าไปสู่ความก้าวหน้าได้หรอกหรือ?” หยุนชิ่วเอ๋อกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่สน อย่างไรข้าก็จะเปรียบเทียบตนเองกับเหอเซียงเอ๋อ!”
“เปรียบเทียบอะไร? เมื่อตอนที่นางแต่งออกไป สินเจ้าสาวก็มีทั้งที่ดินและเงินทอง คุณนายเหอแทบจะยิ้มไม่ออก เหตุใดไม่เจ้าไม่ลองเปรียบเทียบดูเล่า?”
“ทั้งรูปร่างหน้าตาและพื้นหลังครอบครัวของนางล้วนไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง แต่งออกไปก็ต้องถูกรังแก” หยุนชิ่วเอ๋อกัดริมฝีปากของนางและพูดอย่างฉุนเฉียว
ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเหอก็เป็นเพียงชาวนาธรรมดา แต่นางนั้นแตกต่างออกไป
เมื่อหยุนลี่จงได้เป็นขุนนาง นางก็จะกลายเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากได้แต่งเข้าไปอยู่บ้านแม่สามี ทุกคนล้วนต้องให้เกียรติและเคารพนาง
เปลือกตาของแม่เฒ่าจูหลุบต่ำลงภายใต้แสงไฟที่แผดเผาอยู่ในตะเกียง “ตอนนี้ไม่มีเงินเหลือแล้ว เจ้าคงต้องรอคอยความหวังจากสะใภ้ใหญ่”
“นางคงไม่เต็มใจนัก แค่กาน้ำชาในเทศกาลหยวนเซียว* ยังให้ไม่ได้! ท่านพ่อหลงผิดแล้วที่ยังเลี้ยงดูครอบครัวของนาง…”
หยุนชิ่วเอ๋อนอนหันหน้าเขาหาผนังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฝืนใจพูดกับตัวเอง “พรุ่งนี้ข้าจะไปหานาง หากนางกล้าที่จะไม่ให้ข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้เงินสักเหรียญจากท่านพ่อ!”
ยามค่ำคืนของช่วงฤดูร้อน พระจันทร์ส่องแสงกระจ่างใส ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับงดงามจับตา
ลมเย็นพัดผ่านท้องทุ่งก่อให้เกิดเสียงหวีดหวิวแผ่วเบา
ทั้งจั๊กจั่นและกบร้องดังระงมอยู่รอบ ๆ
ผู้เฒ่าหยุนยืนอยู่บนสันเขา สองมือไพร่หลัง สายตาจ้องมองไปยังที่ดินทำกินของตนด้วยท่วงท่าสง่างาม
หลังจากนั้นไม่นาน หยุนลี่จงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “ท่านพ่อ?”
“อืม…” ชายชราถอนหายใจ ในอกเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมแต่ก็ทำอะไรไม่ถูก
“ท่านพ่อ มืดแล้ว กลับกันเถิด” หยุนลี่จงที่ไม่เคยตรากตรำทำงานหนัก ผิวของเขาจึงบอบบางยิ่งนัก ไม่อาจทนทานต่อการถูกยุงกัดได้
“ขอข้ามองอีกหน่อย อยากมองให้มากกว่านี้…”
“ท่านจะมองเห็นอะไรในความมืด? ท่านพ่อกลับกันเถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่” หยุนลี่จงเอื้อมมือออกไปพร้อมกล่าวโน้มน้าวเขา
ผู้เฒ่าหยุนยังคงยืนนิ่ง เงาร่างภายใต้แสงจันทร์นั้นดูโงนเงนราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
“เจ้าใหญ่…”
“ขอรับ ท่านพ่อ”
“นี่เป็นที่ดินของตระกูลเรา…” เสียงของผู้เฒ่าหยุนนั้นแหบพร่าและสั่นเครือราวกับเครื่องเป่าลมที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมมานาน
“ที่ดินนี้… ข้าได้คุยกับท่านกั๋วผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่บ้านข้าง ๆ แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของหยุนลี่จงก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ต้องไปทำเรื่องโฉนดที่ดินก่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ตระกูลกั๋วก็จะมารับมอบที่ดิน ช่างมีเมตตา…!” ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจ
“แล้วจะได้เงินเมื่อไหร่หรือ?”
“หลังจากให้โฉนดที่ดินกับทางการ” ชายชราเกิดความรู้สึกไม่เต็มใจอัดแน่นอยู่เต็มอก เขากล่าวพึมพำกับตัวเอง “น่าจะใช้เวลาราวสองสามวัน”
ในหัวใจของผู้เฒ่าหยุน ที่ดินแห่งนี้มิได้เป็นเพียงแหล่งทำมาหากินเท่านั้น แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจของชาวนาอย่างเขาด้วย
ที่ดินเพาะปลูกชั้นดีที่ได้รับจากทางราชสำนัก พื้นที่หลายสิบไร่เชื่อมต่อกันกันเป็นผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ นับว่าใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน
ทุกปีช่วงหว่านไถตอนฤดูใบไม้ผลิและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง กำลังคนที่บ้านไม่เพียงพอต่อการทำงาน พวกเขาต้องจ้างคนงานชั่วคราวมาช่วย คนเหล่านั้นมักจะเรียกเขาว่า “นายท่าน” อย่างยกย่องอยู่เสมอ
เมื่อถึงฤดูร้อน ยามที่ยืนมองดูจากตรงสันเขา แลเห็นท้องทุ่งเต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิด ทั้งถั่วเหลืองและข้าวฟ่าง สีเขียวชะอุ่มเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูน่ายินดียิ่งนัก!
และในตอนนี้…
ที่ดินที่เขาเฝ้าดูแลอย่างทะนุถนอมมาเป็นเวลากว่าสิบปีกำลังจะกลายเป็นของผู้อื่น ชายชราไม่เพียงระทมทุกข์ แต่ยังรู้สึกว่างเปล่าราวกับทุกอย่างกำลังสูญสิ้น…
“อย่าเพิ่งรีบร้อนล่ะ ข้ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่ของเจ้า…”
“ท่านพ่อ” หยุนลี่จงร้อนใจ “จะช้าอยู่ไย? ถึงอย่างไรที่ดินก็อยู่ที่นี่ไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้ เราสามารถเพาะปลูกได้จนถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นควรรีบเอาเงินมาไว้ในกำมือของเราโดยเร็ว หากล่าช้าเกินไปอาจเกิดปัญหาได้…”
* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่ 15 ในเดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติ คำว่า หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วน เซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน สำหรับคืนนี้ มีประเพณีว่า ชาวจีนจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงาม ดังนั้น จึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ