บทที่ 138 ความรู้สึกคุ้นเคย

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 138 ความรู้สึกคุ้นเคย

 

ประเภทยาราคาสูงค่านัก เท่าที่หลัวซิวรู้ ทั่วทั้งเขตการปกครองหยุนหลงมีเพียง ปรมาจารย์กลั่นยาขั้นห้าคนเดียวที่ปักหลักอยู่ที่แก๊งนักกลั่นยา มีราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายยื่นคำร้องขอยา

“ยาผนึกเลือด?” สายตาเหวินเซวียนหงเป็นประกาย มันคือยารักษาขั้นห้า

ยิ่งระดับยารักษายิ่งสูง ผลลัพธ์ของการรักษาก็ยิ่งดี และจะไม่มีผลข้างเคียง เรียกได้ว่าเป็นของดีที่ใช้รักษาชีวิต

หลัวซิวยังมียาที่ช่วยเพิ่มพูนและฟื้นฟูตบะอยู่อีก แต่ยาเหล่านั้นเขาไม่ได้หยิบออกมา เพราะรอตบะของเขาเพิ่มพูนถึงระดับราชายุทธ์ ก็จะได้ใช้เอง

มูลค่ายาผนึกเลือดสามขวดนี้ มีราคาเท่ากับหินพลังจิตห้าหมื่น

จากนั้นหลัวซิวก็เอาทักษะยุทธ์ระดับ5และวิชายุทธ์ระดับหกนับไม่ถ้วนที่ตนใช้ไม่ได้ออกมาอีก หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงประมาณค่าออกมา ของทั้งหมดรวมกันแล้ว คงจะมีราคาเท่ากับหินพลังจิตเจ็ดแสน!

ของมากมายขนาดนี้ สาขาย่อยของแก๊งของเขตการปกครองหยุนหลงคงกินไม่ไหวหรอก ต้องผ่านช่องทางภายในมากระจายออก

หลัวซิวรอที่องค์กรนักล่ายุทธ์สามวัน ผลลัพธ์จากหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงดีไม่เลว จัดการส่งแหวนเก็บของมาใส่มือเขา

ของทั้งหมดแปรขายกลายเป็นหินพลังจิต มูลค่าถึงเจ็ดแสนห้าหมื่น!

ตามความหมายของหลัวซิวคือให้แบ่งส่วนหนึ่งให้หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง แต่เหวินเซวียนหงกลับยืนกรานไม่รับ

มีหินพลังจิตพวกนี้ หลัวซิวก็สามารถซื้อทรัพยากรสมบัตินานาชนิดที่ตนต้องการ มาเพิ่มพูนฝีมือตนได้แล้ว

นั่งวาร์ป หลัวซิวมายังเมืองเกายี่ที่อยู่ติดกับเส้นทางวัดกวนเหลยจากเขตการปกครองเมืองหยุนหลง

วิชาดาบเร็วของเขาในตอนนี้ฝึกฝนจนถึงระดับบริบูรณ์ หากพัฒนาไปอีกขั้น ก็จะใช้วิชาเป็นตัวนำเข้าเพื่อรับรู้ห้วงกระบี่

เพียงแต่การรับรู้ห้วงกระบี่ไม่มีต้นสายปลายเหตุบอกกล่าวให้รู้เลยตั้งแต่ต้น ดังนั้นเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือมุ่งหน้าไปยังวัดกวนเหลย เพื่อยืมห้วงดาบที่มีอยู่บริเวณนั้นมาขัดเกลาห้วงกระบี่ของตน

“โครมบึ้ม…”

ยามหลัวซิวปรากฏตัวอยู่ขอบแดนของเส้นทางวัดกวนเหลย ท้องฟ้าพลันเกิดเสียงกัมปนาทอันแสบแก้วหู จากนั้นพายุฝนก็โหมกระหน่ำ

ตอนนี้หลัวซวิวได้ทะยานผ่านภูเขาแห่งนี้ ต่อให้เป็นพายุฝนโหมกระหน่ำ เขายังคงไม่ลังเลในมือถือแผนที่ และเข้าไปในป่า

ปกติแล้ว การคมนาคมระหว่างเขตการปกครองหยุนหลงกับเขตการปกครองโต้วไห่ต้องผ่านเส้นทางวัดกวนเหลย ถ้าอ้อมรอบนอกไป ขอเพียงไม่โชคร้ายเจออสุรกายขั้นสูง ปกติไม่มีอันตรายอันใดมาก

ครั้งนี้หลัวซิวกลับไม่ได้อ้อมไป แต่ทะลวงตรงกลางเข้าไปเลย เขาต้องการผ่านใจกลางของป่าแห่งนี้

สามวันต่อมาหลัวซิวปรากฏตัวอยู่ในจุดส่วนลึกของเส้นทางวัดกวนเหลย พื้นที่นี้มักโดนอสุรกายร้ายกาจระดับสี่ขึ้นไปเข้าครอบครอง แม้กระทั่งยังมีอสุรกายขั้นห้า เปรียบเทียบได้กับราชายุทธ์ซ่อนเร้น

ในสถานที่เช่นนี้หลัวซิวไม่กล้าเสี่ยงกระจายการรับรู้จิตวิญญาณของตน ได้แค่อาศัยการรับรู้ชีวิตมาตรวจสอบว่ารอบข้างมีอสุรกายร้ายกาจอยู่หรือไม่

“มีคน”

หลัวซิวรับรู้ได้ว่า ด้านหน้าไม่ไกลนักมีลมหายใจชีวิตของจอมยุทธ์อยู่หลายคน

ที่นี่เป็นพื้นที่อันตรายของเส้นทางวัดกวนเหลย ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิตก็ไม่อาจย่างกรายเข้าไปโดยง่ายได้ เหตุใดจึงมีจอมยุทธ์มาอยู่ที่นี่ได้เล่า?

ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือราชายุทธ์ก็ยังพอได้ ในการรับรู้ของหลัวซิว ลมหายใจของจอมยุทธ์มนุษย์หลายคนนั่นดูไม่มีระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือราชายุทธ์อยู่เลย

ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือราชายุทธ์จริง ในเวลาเดียวกับที่หลัวซิวรับรู้ถึงอีกฝ่าย จิตเทพของอีกฝ่ายก็ต้องรับรู้ถึงตัวตนเขาได้เช่นกัน

การเก็บรักษาลมหายใจ หลัวซิวเดินขึ้นหน้า ตามระยะห่างระหว่างทั้งคู่ที่เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เขาพบลมหายใจจอมยุทธ์มนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอีกฝ่ายมีคนเยอะมาก เกือบร้อยคน!

แต่ที่ทำให้หลัวซิวแปลกใจมากที่สุดคือ จอมยุทธ์มนุษย์พวกนี้ที่เขารับรู้ได้ ส่วนมากตบะน้อยนิดทั้งนั้น เป็นระดับกลั่นร่างซะส่วนมาก ฝีมือเท่านี้เหตุใดมาอยู่ที่จุดลึกที่สุดของเส้นทางวัดกวนเหลยได้กัน?

หลัวซิวขมวดคิ้ว รู้สึกเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล

จากนั้นหลัวซิวเห็นคนพวกนั้นในที่ว่างที่หนึ่ง

ในพริบตาที่หลัวซิวปรากฏตัว การรับรู้ที่แข็งแกร่งก้อนหนึ่งไหล่ผ่านร่างเขาไป ต่อให้เขาเก็บลมหายใจดีมาก ยังคงโดนคนรับรู้ได้อยู่ดี

คนที่สามารถมีการรับรู้แข็งแกร่งแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาแน่ ทำเอาใจหลัวซิวกระตุกวูบ

“สหายในเมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่ปรากฏตัวเล่า?”

ศูนย์กลางที่ว่างมีศาลาอันหนึ่งวางอยู่ ชายหนุ่มในชุดชุดขาวราวขงจื๊อเดินออกมา พลางมองมายังต้นไม้ที่หลัวซิวซ่อนตัวอยู่

หลัวซิวรู้ดีว่าซ่อนตัวต่อไม่ได้แล้ว เลยก้าวออกมา ในการรับรู้ของเขา ตบะชายชุดขาวผู้นี้เป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด

และเมื่อครู่คือการรับรู้ของชายชุดขาวคนนี้ผ่านร่างเขาไป

ถึงจะเป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด แต่ความรู้สึกที่ชายชุดขาวมีให้กับหลัวซิว กลับเก่งกาจกว่าจางหลู่เหลียงซึ่งเป็นระดับจอมยุทธ์

ในจุดลึกของเส้นทางวัดกวนเหลย จู่ๆก็มีห้องใต้หลังคาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้

เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลัวซิว ผู้คนนับร้อยรอบห้องใต้หลังคาไม่ได้มีท่าทีอะไร แต่ละคนสีหน้าดูอิดโรย

หลัวซิวสังเกตเห็นว่าใบหน้าคนพวกนี้มีรอยสักสีแดงอยู่ เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้เป็น…ทาส!

เพราะมีแต่ทาสเท่านั้น ที่ใบหน้าจะมีรอยสัก เรียกกันว่ารอยสักทาส เป็นการใช้ฝีมือค่ายกลพิเศษชนิดหนึ่งมาประทับตรา ไม่อาจใช้ยาทำให้หายไปได้

มีคนเข้ามาจุดลึกของเส้นทางวัดกวนเหลย และยังนำทาสนับร้อยมาด้วย มีจุดประสงค์อันใดกัน?

ค่ายกลของหลัวซิวมาถึงระดับปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้าแล้ว

ดังนั้นเขาเลยมองออกแต่แวบแรกว่า การจัดวางรอบห้องใต้หลังคามีค่ายกลขั้นสี่และตัวห้องใต้หลังคานี้ก็เป็นสมบัติค่ายกลชิ้นหนึ่ง สามารถเก็บเข้าแหวนเก็บของ และพกพาติดตัวได้

ทุกอย่างล้วนแสดงออกมาว่า คนที่มาอยู่ที่นี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย

“สหายเชิญ!”

ชายชุดขาวทำท่าเชื้อเชิญ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา

หลัวซิวมองค่ายกลรอบห้องใต้หลังคาหนึ่งที ถ้าเป็นแค่ค่ายกลขั้นสี่ก็ไม่เป็นอันตรายอันใดกับเขา

พอแน่ใจว่าไม่มีอันตราย หลัวซิวจึงพยักหน้า และเดินตามชายชุดขาวเข้าไปในห้องใต้หลังคา

ช่องว่างภายในห้องใต้หลังคาใหญ่มาก เหมือนเป็นห้องโถงใหญ่ ที่นั่งประธานมีสาวน้อยผมยาวเคลียบ่าในชุดต่อสู้รัดรูปนั่งอยู่

รูปร่างสาวน้อยนางนี้โดนชุดรัดรูปจนเห็นสัดส่วนเย้ายวนเร่าร้อน ขาวขาวเรียวดุจหิมะคู่นั้น ผมยาวสยายคลุมบ่ายาวถึงเอว แต่มันกลับไม่ใช่สีดำปกติ แต่เป็นสีแดงเพลิง

แวบแรกที่หลัวซิวเห็นหญิงสาวคนนี้ เขารู้สึกถึงความร้อนแรงของเปลวเพลิง และหน้าตาสาวน้อยนางนี้ก็งดงามหาใดเปรียบด้วย

และสิ่งที่หลัวซิวสนใจที่สุดไม่ใช่ใบหน้าและรูปร่างของสาวน้อยคนนี้ แต่เป็นที่คอระหงขาวเนียนมีหยกแขวนเดือนเสี้ยวห้อยประทับหน้าหน้าอกอยู่

หยกแขวนนี้หลัวซิวรู้สึกคุ้นเคยนัก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน