บทที่ 139 เจอหยกแขวนเดือนเสี้ยวอีกครั้ง
สาวผมแดงนั่นรู้สึกว่าสายตาชายผู้นี้จับจ้องที่หน้าอกตน สายตางดงามพลันแล่นปลายประกายตาเย็นเยียบ
“บังอาจ กล้าไร้มารยาทต่อหน้าคุณหนูของเรา?” ด้านข้างที่นั่งสาวน้อยคนนั้น ชายร่างใหญ่กำยำคนหนึ่งตะคอกดังขึ้น
หลัวซิวได้สติกลับมา และรู้ว่าการกระทำของตนเมื่อครู่ดูเสียมารยาทไปหน่อย
ในตอนที่เขากำลังจะขอโทษออกมา ชายร่างใหญ่ที่ตะคอกเมื่อครู่กลับก้าวเท้าออกมา และยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้วจะจิ้มเข้าตาเขา
สีหน้าหลัวซิวขรึมลงทันที เขาเพียงแต่เหม่อลอยมองไปนิดหน่อย อีกฝ่ายกลับคิดจะแทงตาเขาบอดเลยรึ?
หลัวซิวเข้าใจมานานแล้วว่าโลกนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี มีเพียงฝีมือเท่านั้นที่จะสามารถมีสิทธิ์พูดได้
นี่คือโลกของผู้แข็งแกร่ง!
ดังนั้นตอนนิ้วของชายร่างแกร่งจะทิ่มตาตน หลัวซิวไม่พูดพร่ำทำเพลงสะบัดฝ่ามือใส่ทันที
“เพี๊ยะ!”
เสียงตบหน้าดังสนั่นกลางห้องโถง ชายร่างใหญ่นั่นเหมือนไม่คิดว่าหลัวซิวจะลงมือ หรือเขาอาจจะคิดแล้ว แต่อีกฝ่ายลงมือเร็วเกินไป จนเขาไม่ทันได้สติ
โดนหลัวซิวสะบัดฝ่ามือเข้าไป ร่างชายร่างใหญ่หมุนคว้างกลางอากาศหลายครั้งก่อนจะล้มลงพื้น ใบหน้าด้านหนึ่งบวมปูดขึ้นมา เป็นรอยฝ่ามือสีแดงม่วงก่ำ
ในห้องโถง มีทั้งหมดสิบสามคน ในพริบตาที่หลัวซิวลงมือ หลายคนชักกระบี่ออกจากฝัก สีหน้ากัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“หาเรื่องตาย!” ชายร่างใหญ่ที่โดนตบอายจัดจนเป็นโกรธ แผ่ซ่านประกายปราณแท้ออกมาทั้งตัว แผ่ซ่านรังสีพรสวรรค์ขั้นสาม
“แค่พรสวรรค์ขั้นสามเท่านั้น กล้าไร้มารยาทกับข้า?”
หลัวซิวแค่นเสียงหึ ก้าวเท้าออกไป และสะบัดไปอีกฝ่ามือหนึ่ง
เขารู้ดีถึงโลกในตอนนี้ ยิ่งเจ้าแข็งแกร่ง คนอื่นยิ่งกลัวเจ้า หากเจ้ามีเมตตายอมอ่อนข้อให้ผู้อื่น ผู้อื่นกลับรู้สึกว่าเจ้าอ่อนแอรังแกได้ง่าย
อ่าน มหายุทธ์ สะท้านภพ บท 139
การลงมือของหลัวซิวเร็วแค่ไหนกัน? ชายร่างใหญ่พึ่งโกรธจัด ก็โดนตบอีกครั้ง ร่างกายหมุนคว้างลอยออกไป
คนอื่นในห้องโถงพากันกรูเข้ามา กลับเห็นสาวผมแดงที่นั่งเป็นประธานอยู่ยกมือขึ้นปราม คนอื่นจึงไม่ได้ทำอะไร
ชายร่างใหญ่ที่โดนตบติดกันสองครั้งก็รู้ตัวละว่า ชายหนุ่มชุดดำเบื้องหน้าตนเก่งกาจกว่าตนมากนัก แต่สายตาที่เขาเพ่งมองหลัวซิวกลับเต็มไปด้วยความโกรธจัด
สาวน้อยชุดแดงมองจากที่สูง จ้องมองหลัวซิวด้วยสายตาไม่พอใจ พูดเย็นเยียบว่า “คุณชายท่านนี้ลำพองตนนัก ไม่เห็นพรสวรรค์ขั้นสามในสายตาเลยรึ?”
ระหว่างที่สาวผมแดงพูดคำนี้ รวมถึงชายชุดขาวที่เป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด ก็มีอีกสามรังสีพุ่งขึ้นมาในห้องโถง ในนั้นมีสองคนเป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด และมีคนหนึ่งเป็นถึงพรสวรรค์ขั้นแปด!
ในบรรดาสิบสามคนของห้องโถง รวมถึงสาวผมแดง ตบะสี่คนนี้สูงที่สุด อีกเก้าคนที่เหลือ มีพรสวรรค์ขั้นหนึ่งถึงสามเจ็ดคน พรสวรรค์ขั้นสี่หนึ่งคน
มีเพียงตบะของสาวผมแดงเท่านั้นที่หลัวซิวมองไม่ออก นางดูราวกับมีสมบัติบางอย่างปกปิดรังสีอยู่
“ใช่แล้วอย่างไร?” หลัวซิวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย สำหรับเขาแล้ว ต่ำกว่าปรมาจารย์ฝึกจิตล้วนแต่ยากจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ สำหรับเขาแล้วพรสวรรค์ขั้นสามเรียกได้ว่าไม่คณามือตนเลย
“โอหังนักเจ้าหนู!”
จอมยุทธ์ที่เป็นระดับพรสวรรค์ขั้นสามสองคนได้ยินดังนั้นตะคอกดัง พลางกระโดดพุ่งสูง ตรงไปหาหลัวซิว
สำหรับการลงมือของสองคนนี้ สาวผมแดงมีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ได้ออกเสียงห้ามปราม
หลัวซิวไม่ได้ชักกระบี่ การฝึกวิชาวัชรยักษ์ครองร่าง ทำให้ร่างเนื้อของเขายิ่งเปรียบเทียบได้กับนักยุทธ์ของชั้นกลาง
แทบจะในพริบตาเดียวกัน เขายื่นนิ้วออกไปสองนิ้ว ประกายไฟทมิฬสีดำผสานกันกลายเป็นรังสีกระบี่ ยิงออกจากปลายนิ้ว
วินาทีที่หลัวซิวลงมือ ประกายไฟทมิฬแผ่ซ่านรังสีอำมหิตน่ากลัวออกมา ยอดฝีมือพรสวรรค์ขั้นแปดที่มีตบะสูงที่สุดในห้องโถงมีสีหน้าเคร่งเครียด ประกายไฟสีดำนั่นทำเขารู้สึกกดดัน
“ชิ้ง!ชิ้ง!….”
แสงเลือดสองสายแผ่ซ่าน จอมยุทธ์สองคนที่เป็นพรสวรรค์ขั้นสามแค่นเสียงอึก ไหล่โดนรังสีกระบี่แทงทะลุ ประกายไฟทมิฬได้ทำร้ายเส้นชีพจร ทำให้สีหน้าพวกเขาซีดเผือดมาก
“ข้ายั้งฝีมือไว้แล้ว ไม่งั้นตอนนี้พวกเจ้าสองคนกลายเป็นซากศพไปแล้ว”
หลัวซิวพูดเสียงเย็น ยังไงซะเขาไม่ได้จิตใจโหดเหี้ยมเพียงนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือรุนแรง
สะบัดไปนิ้วใดนิ้วหนึ่ง ก็ทำพรสวรรค์ขั้นสามสองคนพ่ายแพ้ หรือแม้กระทั่งหากเขาไม่ได้ยั้งมือไว้ คงฆ่าพรสวรรค์ขั้นสามสองคนนั้นตายไปในพริบตาแล้ว
ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมา ทำให้บรรดายอดฝีมือพรสวรรค์มากมายในที่นั้นต่างมีสีหน้าต่างๆกันไป
ชายชุดขาวที่ยืนข้างสาวผมแดงนั้นถ่ายทอดเสียงให้นางว่า “คุณหนู คนผู้นี้ดูราวเป็นพรสวรรค์ขั้นสามบางมีอาจจะใช้วิชาลับซ่อนตบะเอาไว้ ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย เขากลับดูมีอายุราวสิบห้าสิบหกเพียงเท่านั้น คงมีที่มาไม่ธรรมดาแน่”
พอได้ยินดังนั้น คิ้วบางของสาวผมแดงขมวดเล็กน้อย อายุประมาณสิบห้าก็มีฝีมือระดับยอดฝีมือเปรียบเทียบได้กับพรสวรรค์ขั้นเจ็ด ปกติมีแต่อำนาจใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่จะฝึกฝนอัจฉริยะเยี่ยงนี้ออกมาได้
“คุณชายท่านนี้มีนามว่ากระไรรึ อาจารย์คือผู้ใด?” สาวผมแดงถามขึ้น
“ซิวหลัว!”
หลัวซิวไม่ได้เอ่ยนามจริงของตนออกมา เพราะไม่อยากให้ครอบครัวที่เมืองชิงหยุนเจอกับปัญหาโดยไม่จำเป็น
ชื่อซิวหลัวนี้ ไม่ว่าใครได้ยินก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อจริง หรือแม้แต่กำเนิดของตนหลัวซิวก็ไม่เอ่ยถึงแม้เพียงสักคำ
แต่สาวผมแดงก็ไม่ได้สนใจ และพูดเสียงเบาว่า “คุณชายซิวหลัวเป็นแขก เชิญนั่งเถิด!”
หลัวซิวเล็งเห็นแล้ว ในห้องโถงนี้ นอกจากสาวผมแดงรวมถึงชายชุดขาวข้างกายนางและชายร่างยักษ์แล้ว อีกสิบคนที่เหลือล้วนนั่งอยู่ที่ที่นั่งด้านบนในห้องโถง
หลัวซิวเองก็ไม่เกรงใจ เดินไปนั่งลงที่หนึ่งเลย จากนั้นก็มีสาวใช้นำเหล้าออกมามอบให้
แต่ว่าเหล้านี้หลัวซิวกลับไม่แตะต้องเลย เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะวางยาพิษในเหล้าก็ได้
สายตาของหลัวซิวมองไปยังหยกแขวนเดือนเสี้ยวที่คอสาวผมแดงเป็นระยะ พลันนึกถึงช่วงก่อนระหว่างเส้นทางวัดกวนเหลย ศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บของตระกูลกงซุนชื่อดังคนหนึ่งก็มีหยกแขวนเช่นนี้ และหยกแขวนอันนั้นมิอาจเก็บเข้าแหวนเก็บของได้
ตอนนั้นเขาหวังดี ศิษย์ตระกูลกงซุนชื่อดังคนนั้นกลับลอบทำร้ายเขา เรื่องนั้นหลัวซิวจำได้แม่นยำมาก ดังนั้นตอนที่เห็นหยกแขวนเดือนเสี้ยวนั่นถึงรู้สึกคุ้นเคย
ระหว่างหยกแขวนเดือนเสี้ยวสองอันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเยี่ยงไรเล่า?
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มเงียบสงัด สีหน้าจอมยุทธ์สามคนที่โดนหลัวซิวทำร้ายต่างมีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
โดยจอมยุทธ์ระดับพรสวรรค์ขั้นแปดที่มีตบะสูงที่สุดยืนขึ้น สายตาจับจ้องไปที่หลัวซิว พลางยกมือคารวะว่า “คุณชายซิวหลัวท่านนี้มาถึงเส้นทางวัดกวนเหลย เพื่อแดนนานาอสูรด้วยรึ?”
“แดนนานาอสูร?” หลัวซิวสงสัย แต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงออกเลย
“หรือว่าคุณชายซิวหลัวไม่รู้จักแดนนานาอสูร?” พอเห็นสีหน้าสงสัยของหลัวซิว จอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นแปดคนนั้นออกหน้าอธิบายให้ว่า “แดนนานาอสูรเป็นหนึ่งในสามดินแดนพิศวงของประเทศเทียนหวู เพียงแต่ตำแหน่งดินแดนพิศวงนี่หายากยิ่งนัก มีแต่ตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยนเท่านั้นที่ได้ถือครองแผนที่ลับ พวกข้าเองก็ติดตามคุณหนูเหยียนเยว่เอ๋อร์มายังที่แห่งนี้”
ได้ยินดังนั้นหลัวซิวถึงรู้ว่า สาวผมแดงคือคุณหนูจากตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยน
เมืองกู่เจี้ยนตระกูลเหยียน หลัวซิวเคยได้ยิน เป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู เป็นตระกูลอันดับต้นที่มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง!
แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวสงสัยคือ ในเมื่อมีแต่ตระกูลเหยียนที่มีแผนที่ลับ แล้วเหตุใดเหยียนเยว่จึงพาบรรดาจอมยุทธ์เดินทางมายังแดนปริศนานี้ด้วยล่ะ?
เส้นการเดินทางในแผนที่ลับเรียกได้ว่าลึกลับซับซ้อน ถ้าเพียงเปิดเผยออกไป มิเท่ากับว่าอำนาจอื่นจะสามารถเข้ามายังแดนนานาอสูรได้ด้วยรึ?