ส่วนที่ 10 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด ตอนที่ 1 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (1)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

เพราะว่าอยู่ที่โลกที่แล้วนานเกินไป ตอนที่ซูรุ่ยตื่นข้นมาในเครื่องปฏิบัติการหมายเลข 11 จึงทำให้หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ  

 

 

พ่อ แม่ หนูจะรอพ่อกับแม่นะคะ 

 

 

ภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวคือภาพใบหน้าของซูเสี่ยวซูตอนโต 

 

 

ดวงตาของซูรุ่ยเป็นประกาย สุดท้ายก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม 

 

 

คะแนนสะสม 

 

 

เขาหลุบสายตาลงมองดูคะแนนสะสมของตัวเอง 67,300 คะแนน 

 

 

คะแนนสะสมพวกนี้น่าจะน้อยกว่าของซูหว่านมาก ถ้าหากเขายังติดตามซูหว่านต่อจนไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้อีกละก็ คะแนนของเขาก็จะไม่มีทางเพิ่มขึ้น นอกเสียจาก… 

 

 

สายตาของซูรุ่ยมองไปบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าของห้องปฏิบัติการ บนโต๊ะยังคงมีเอกสารที่อวิ๋นเซิงนำมาวางไว้ครั้งก่อน 

 

 

การทดลองฝึกซ้อมข้ามแผนก 

 

 

รางวัลของผู้ชนะเลิศ 200,000 คะแนน 

 

 

สายตาของซูรุ่ยจับจ้องอยู่ที่เอกสารการทดลองฝึกซ้อมอยู่เป็นเวลานาน 

 

 

ในตอนนี้ เครื่องแจ้งพิกัดบนข้อมือของเขามีสัญญาณแจ้งเตือนเข้ามา เมื่อเห็นว่าซูหว่านเข้าสู่ภารกิจอีกครั้ง ซูรุ่ยก็ยิ้มออกมาจากหัวใจ 

 

 

ตอนนี้ อยู่ในห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญ หัวใจของพวกเขาห่างไกลจากกัน มีแค่ตอนที่เข้าสู่โลกแห่งภารกิจเท่านั้น พวกเขาถึงจะได้เจอกัน 

 

 

ซูรุ่ยเดินกลับไปที่เครื่องปฏิบัติการอีกครั้งอย่างไม่ลังเล แต่ว่าในตอนที่กำลังเชื่อมต่อกับภารกิจอยู่นั้น ก็มีไฟสัญญาณแจ้งเตือนที่เครื่องปฏิบัติการก็สว่างขึ้นมา…  

 

 

แจ้งเตือน! แจ้งเตือน! โลกแห่งภารกิจนี้มีบั๊กที่ไม่ทราบตัวตนปรากฏขึ้น ถ้าหากว่าดึงดันเข้าไปอาจจะก่อให้เกิดอันตรายที่ไม่ทราบแน่ชัดขึ้น 

 

 

ผู้ปฏิบัติภารกิจเลือกที่จะยกเลิกภารกิจหรือไม่ 

 

 

จะยกเลิกภารกิจหรือไม่ 

 

 

“ไม่” 

 

 

ซูรุ่ยเลือก ‘ไม่’ อย่างไม่ลังเล ซูหว่านเข้าไปแล้ว แล้วเขาจะมาถอยตอนนี้ได้อย่างไร ไม่ว่าบั๊กที่ไม่รู้ตัวตนตัวนั้นจะเป็นอะไร ซูรุ่ยก็ไม่ได้มีความหวั่นเกรงใดๆ ทั้งนั้น  

 

 

เสี่ยวหว่าน รอฉันนะ  

 

 

…… 

 

 

สำนักงานใหญ่แผนกฟื้นฟูเขตแดน ห้องปฏิบัติการหมายเลข 1 

 

 

สวีเช่อเพิ่งกลับมาจากโลกภารกิจหนึ่ง เดิมทีตั้งใจว่าจะจัดการคดีที่ผิดพลาดในแผนกเสียหน่อย แต่เมื่อเขาเดินมาถึงห้องปฏิบัติการก็ได้รับแจ้งมาจากทางแผนกส่งสาร 

 

 

มีโลกภารกิจหนึ่งมีบั๊กที่ไม่ทราบตัวตนปรากฏขึ้น เพราะว่ากฎของที่นั้นค่อนข้างจะพิเศษ จึงทำให้ยังไม่สามารถจัดการบั๊กตัวนั้นออกไปได้ในตอนนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้โลกภารกิจนั้นตกอยู่ในสภาวะปิดกั้น เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจที่เข้าไปในนั้นจะไม่สามารถออกมาจากที่นั่นได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง 

 

 

และในโลกภารกิจนี้มีผู้ปฏิบัติภารกิจอยู่สองคน… 

 

 

ผู้ทำลายห้วงมิติ ซูหว่าน 

 

 

ผู้ฟื้นฟูห้วงมิติ ซูรุ่ย 

 

 

ที่แท้ก็เป็นซูหว่านกับซูรุ่ยนี่เอง ดวงตาของสวีเช่อเป็นประกายขึ้นมา เอกสารที่เขากำลังดูอยู่ในมือก็คือรายงานภารกิจผิดพลาดของซูรุ่ยในโลกภารกิจนี้ 

 

 

หมอนี่ยิ่งอยู่ยิ่งเอาแต่ใจ… 

 

 

แต่ว่า…อันตรายที่ไม่ทราบแน่ชัดอย่างนั้นเหรอ 

 

 

สวีเช่อขมวดคิ้ว ใบหน้าที่อ่อนโยนมาโดยตลอดบัดนี้มีแววแห่งความวิตกกังวลปรากฏอยู่ เขาค่อยๆ ปิดเอกสารที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง หลับตาลงแล้วทิ้งตัวพิงไปกับพนักเก้าอี้ หลังจากนั้นไม่นาน เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตามีประกายปรากฏอยู่ 

 

 

“สายภายใน 001” 

 

 

สวีเปิดเครื่องมือสื่อสารของเขาออกมาแล้วต่อสายภายในไปที่สำนักงานใหญ่ของห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญ 

 

 

“สวีเช่อ?” 

 

 

รอไม่นาน ปลายสายก็มีเสียงของผู้ที่ค่อนข้างมีอายุดังขึ้น น่าเกรงขามและหนักแน่น 

 

 

“ผมอยากจะขอดูเอกสารของห้วงมิติภารกิจที่เพิ่งจะมีบั๊กปรากฏขึ้น” 

 

 

น้ำเสียงของสวีเช่อเย็นยะเยือก ไร้ความรู้สึก ไม่เข้ากับภาพลักษณ์อันอบอุ่นสง่างามของเขาเลยแม้แต่น้อย 

 

 

“นายน่าจะรู้ดีนะ ว่านายไม่มีสิทธิ์ในการดูเอกสารนั้น” 

 

 

เสียงนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ คล้ายว่ากำลังลำบากใจ 

 

 

 “ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เอกสิทธิ์พิเศษ”  

 

 

สวีเช่อกล่าวออกมาอีกหนึ่งประโยค โดยที่ไม่มีความลังเลใดๆ 

 

 

 ได้ยินคำพูดของเขา ปลายสายก็เงียบไปอึดใจหนึ่ง หลังจากนั้นจึงตอบออกมาเบาๆ ว่า “ได้” 

 

 

…… 

 

 

ช่วงเวลานี้ ที่โลกภารกิจ 

 

 

ความเจ็บจี๊ดในหัวทำให้ซูหว่านเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน นี่คือ… 

 

 

เธอรู้สึกว่ามันแปลกๆ รู้สึกว่าไม่ปกติไปทั้งร่างกาย ความรู้สึกผิดปกติแบบนี้ เมื่อซูหว่านหันไปพบเข้ากับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ด้านข้าง ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติมากยิ่งขึ้นไปอีก นี่คือ… 

 

 

บนที่นอนหนานุ่ม มีร่างของสาวน้อยวัยเยาว์ที่แต่งกายด้วยชุดนอนผ้าไหมนอนหลับสนิทอยู่ ใบหน้าของเธอขาวซีด แต่ดวงหน้านั้นงดงามเป็นอย่างมาก ต่อให้เธอหลับตาอยู่ ก็สามารถดูออกได้ว่าเป็นคนสวยที่หาตัวจับยากเลยทีเดียว 

 

 

เธอคือใครกัน 

 

 

ฉัน…ไม่ใช่ว่าควรจะ… 

 

 

ซูหว่านเอามือถูไปบนหน้าผากของตัวเองไปมา ค่อยๆ ลงมาจากเตียงเงียบๆ อีกด้านหนึ่งของห้องนอนมีกระจกแต่งตัวบานสูงวางตั้งอยู่ เมื่อสายตาของซูหว่านมองลอดเข้าไปในบานกระจก ดวงตาของซูหว่านก็เบิกกว้างขึ้นทันที 

 

 

ในบานกระจกสะท้อนภาพควันคลุมเครือสีขาวกลุ่มหนึ่ง เป็นเพียงเงาร่างจางๆ เท่านั้น นี่มัน…เรื่องอะไรกัน 

 

 

“อืม” 

 

 

และในขณะนั้นเอง หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงงึมงำเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 

 

 

ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ เปลี่ยนจากความสะลึมสะลือเป็นตื่นเต็มตา หญิงสาวคนนั้นมองไปยังห้องนอนที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหราที่ไม่คุ้นเคยด้วยความมึนงง หลังจากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่ใช่ว่าฉัน…ตายไปแล้วหรอกเหรอ” 

 

 

ในขณะที่กำลังพึมพำกับตัวเองอยู่นั้น เธอจะจับใบหน้าของตัวเองไปด้วยอย่างตื่นตะลึงและตื่นเต้น วิ่งเท้าเปล่าลงจากเตียงนอนมาหยุดยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัวบานสูง ในกระจกสะท้อนภาพของสาวน้อยวัยเยาว์หน้าตาสะสวย รูปร่างอรชรสมส่วนสวยงาม  

 

 

“นี่คือ…ฉันเหรอ หรือว่าฉันทะลุมิติมา หรือว่าฉันมาเกิดใหม่” 

 

 

หญิงสาวหยิกไปที่แขนของตัวเองแรงๆ อีกหนึ่งที เจ็บมาก ไม่ได้ฝันไป…ฉันทะลุมิติมาจริงๆ 

 

 

ซูหว่าน “…” 

 

 

เอาเถอะ ตอนนี้คนที่ยืนอยู่หน้ากระจกซึ่งแต่งตัวเหมือนกัน แต่กลับถูกใครบางคนแถวนี้ละเลยอย่างซูเสี่ยวหว่านรู้สึกว่าเธอน่าจะรู้บางอย่างแล้วละว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

ในยามนี้ ประตูห้องนอนถูกคนผลักเข้ามาอย่างกะทันหัน หญิงวัยกลางคนหน้าตาอ่อนโยน แต่งกายด้วยชุดอาภรณ์ที่ดูหรูหราเดินเข้ามาในห้อง มองเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่บนพื้นห้อง นางก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้ “เสี่ยวหว่าน เหตุใดไม่ใส่รองเท้าเล่าลูก ลูกเพิ่งจะหายป่วย รีบกลับขึ้นไปบนเตียงนอนเร็วเข้า” 

 

 

เสี่ยวหว่าน ชื่อของนางหรือ 

 

 

หญิงสาวยืนนิ่งไปสักพัก แต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนเตียงนอนหลังใหญ่แสนสบาย “ลูก…” 

 

 

เธออ้าปากขึ้นลง ในตอนนี้หญิงสาวผู้ทะลุมิติกลับไม่กล้าพูดอะไรออกไปจริงๆ หรือว่าต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมกันนะ 

 

 

“เป็นอะไรไป” 

 

 

หญิงวัยกลางคนมองดูใบหน้ายุ่งเยิงของบุตรสาวตนเอง อดไม่ได้เดินเข้าไปลูบศีรษะของนางเบาๆ อย่างเป็นห่วง “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าจะให้แม่ไปต้มรังนกมาให้ลูกสักถ้วยดีไหม ” 

 

 

“ท่านแม่” 

 

 

หญิงสาวออกแรงจับมือของมารดามากุมเอาไว้ “ลูก…ในหัวสมองของลูกว่างเปล่า เหมือนว่าลูกจะ…จะจำอะไรไม่ได้เลย” 

 

 

ซูหว่าน “…” 

 

 

เอาเถอะ นี่เป็นกระบวนท่าเปิดท่าใหญ่ท่าแรกของหญิงสาวผู้ทะลุมิติสินะ แกล้งความจำเสื่อม!  

 

 

จำอะไรไม่ได้เลยหรือ 

 

 

ในตอนนี้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างตกใจเป็นอย่างมาก “เสี่ยวหว่าน นี่ลูกเป็นอะไรไป ลูกจำแม่ได้ไหม แม่เป็นแม่ของลูกอย่างไรเล่า!” 

 

 

“เอ่อ” 

 

 

หญิงสาวผู้ทะลุมิติมากะพริบตาปริบๆ “ท่านแม่เจ้าคะ เสี่ยวหว่านเป็นชื่อของลูกหรือเจ้าคะ” 

 

 

“ใช่ใช่ใช่ ลูกชื่อซูหว่าน เป็นลูกสาวของแม่” 

 

 

ซูหว่าน? 

 

 

คนที่อยู่บนเตียงเบิกตากว้างขึ้นอย่างกะทันหัน “ซูหว่านนครใต้?” 

 

 

“ใช่จ้ะ” 

 

 

ซูไท่ไท่[1]ที่อยู่ข้างเตียงพยักหน้าเบาๆ “เสี่ยวหว่าน ลูกจำได้แล้วหรือ” 

 

 

จำได้กะผีน่ะสิ~ เธอขอไม่รับรู้อะไรเลยยังจะดีเสียกว่าไหม 

 

 

“ท่านแม่เจ้าคะ ลูกอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวเจ้าค่ะ” 

 

 

หญิงสาวผู้ทะลุมิติมาล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมไปทั้งร่างแล้วหมกตัวอยู่ในนั้น 

 

 

ซูไท่ไท่มองไปยังบุตรสาวที่ทำตัวแปลกๆ สุดท้ายก็ส่ายศีรษะไปมา แล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบๆ  

 

 

พอได้ยินเสียงปิดประตู หญิงสาวทะลุมิติที่นอนอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นมานั่งทันที แล้วชูนิ้วกลางของตัวเองขึ้นเหนือศีรษะโดยไม่พูดจาอะไร “ฉันซูเจินเจินนี่มันซวยมาแปดภพแปดชาติหรือยังไงกัน ช่วยคนจนตกลงไปตายในแม่น้ำก็แล้วไป ให้ตายเถอะ ทะลุมิติมาทั้งทียังทะลุเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองอ่านจบไปแล้วอีก ทะลุมาเป็นใครไม่เป็นดันมาอยู่ในร่างของนางร้ายชะตาชีวิตสั้นนิสัยร้ายกาจอีก!” 

 

 

ซูเจินเจินรู้สึกว่าเง็กเซียนฮ่องเต้จะต้องเล่นตลกกับเธออยู่แน่ๆ  

 

 

ทะลุมิติมาเป็นใครไม่เป็น ทำไมต้องเป็นซูหว่านนครใต้ด้วย 

 

 

คุณถามว่าซูหว่านคือใครใช่ไหม 

 

 

‘จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด’ เคยอ่านไหม ในเรื่องมีพระเอกชื่อสวินหรานตู โหดเถื่อน บ้าคลั่ง ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา เขาเนี่ย มีแฟนเก่าที่คนไม่ค่อยชอบกันคนหนึ่ง ชื่อว่าซูหว่าน  

 

 

ซูหว่าน ลูกสาวของเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งนครใต้ ตั้งแต่เด็กก็มีร่างที่มีคุณสมบัติเป็นหยินบริสุทธิ์ ตอนเด็กจึงมีเรื่องกับพวกผีร้ายบ่อยๆ หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ของสวินหรานตู นักพรตจาง ก็เลยทำให้ไม่มีผีร้ายมากวนใจอีก 

 

 

ซูหลินพ่อของซูหว่านอยากจะตอบแทนน้ำใจของนักพรตจาง จึงได้หมั้นหมายลูกสาวของตัวเองให้กับลูกศิษย์ของเขาเอาไว้  

 

 

ในตอนนั้นเด็กทั้งสองยังเล็ก ทั้งสองคนยังไม่รู้ความอะไร ก็เลยมีความรู้สึกที่ดีให้ต่อกัน 

 

 

หลังจากนั้นผ่านไปหกปี นักพรตจางได้หายตัวไป เพื่อจะออกตามหาท่านอาจารย์ของตัวเอง สวินหรานตูจึงได้กลับมาที่นครใต้อีกครั้ง และได้ขอพักอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลซู 

 

 

แน่นอนว่าสองสามีภรรยาสกุลซูต่างก็ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น แต่ว่าซูหว่านที่เติบโตเป็นสาวแล้วในตอนนี้ มีเจ้าชายขี่ม้าขาวในดวงใจของตัวเองแล้ว มองเห็นสวินหรานตูที่แต่งกายซอมซ่อเหมือนเด็กบ้านนอกก็รู้สึกไม่ชอบใจ ถึงขนาดว่าเธอแอบไปพูดเตือนเขาลับหลังพ่อแม่ว่า อย่าคิดว่าทั้งสองคนมีสัญญาหมั้นหมายกันแล้วจะมาคิดเกินเลยอะไรกับเธอได้นะ  

 

 

สวินหรานตูเองก็เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะชอบพอใบหน้าที่สะสวยของซูหว่านอยู่บ้าง แต่หลังจากที่ได้รับคำเตือนจากเธอ วันที่สองเขาก็ทิ้งหนังสือยกเลิกสัญญาหมั้นหมายไว้แล้วจากไปโดยที่ไม่ได้ร่ำลา… 

 

 

เมื่อทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง ในตอนนั้น สวินหรานตูก็กลายเป็นคนหนุ่มไฟแรงแห่งสำนักลี้ลับผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ตอนนั้นซูหว่านรู้สึกเสียใจ แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว… 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ไท่ไท่ เป็นคำที่คนทั่วไปใช้เรียกภรรยาของขุนนาง