ส่วนที่ 11 ลอยนวล ตอนที่ 10 ลอยนวล (ปัจฉิมบท)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ในบางครั้ง พวกเราก็มักจะคาดเดาการเริ่มต้นของนิทานได้ แต่กลับไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจุดจบของมันจะเป็นอย่างไร… 

 

 

สำนักงานตำรวจได้จัดงานแถลงข่าวขึ้นในปลายเดือนตุลาคม คนร้ายที่ฆ่าหลินลู่ลู่และถงซินเหยาถูกตำรวจยิงเสียชีวิตขณะกำลังพยายามลอบทำร้ายซย่าอวี่ซาน  

 

 

หลังจากเหตุการณ์นี้ ราชินีแห่งวงการเพลงซย่าอวี่ซานได้ตัดสินใจออกจากวงการเพลง เธอออกจากวงการในช่วงที่กำลังโด่งดังและเจิดจรัสมากที่สุด เหลือทิ้งไว้เพียงตำนานให้ทุกคนได้นึกถึง 

 

 

นิตยสารบันเทิงรายสัปดาห์หลายฉบับยังคงวิ่งตามซย่าอวี่ซานไม่ยอมปล่อย สื่อที่มีสายข่าวค่อนข้างไวบางแห่งได้ปล่อยข่าวว่าเธอมีแฟนและกำลังมีแผนจะแต่งงาน ว่ากันว่าชายหนุ่มคนนั้นของเธอเป็นนักสืบท่านหนึ่ง 

 

 

ในเดือนพฤษจิกายน สายฝนเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง 

 

 

ณ หลุมฝังศพของสวีจื่อหมิง ซูหว่านยืนมองภาพถ่ายที่ยังคงความหล่อเหลาบนป้ายหลุมฝังศพนั้น เธอค่อย ๆ โค้งตัวลงและวางช่อดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุมฝังศพอย่างเบามือ 

 

 

“จื่อหมิง ฉันสบายดีมาก คุณอยู่ที่นั่นสบายดีไหม?“ 

 

 

เธอยกมือขึ้นแตะรูปถ่ายบนป้ายหลุมฝังศพ และค่อย ๆ แนบหน้ากับป้ายหลุมฝังศพพลางพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ฉันได้…ส่งหลินลู่ลู่กับถงซินเหยาไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแล้วนะ คุณ จะไม่เหงาอีกแล้ว น่าเสียดาย..คุณคงไม่ได้พบซย่าเทียนที่คุณรัก เพราะฉันต้องใช้ร่างของเธอเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง” 

 

 

สายฝน ความหนาวเย็น และสิ้นหวัง 

 

 

ขณะที่หมุนตัวจากไป เธอโยนร่มสีดำในมือทิ้ง สีดำตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุมฝังศพ 

 

 

ซย่าเทียนป่วย ความแค้น ความเจ็บ ความอาฆาต และบาดแผลของเธอ เมื่อรวมตัวกันเป็นบุคลิกที่สองนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ได้บ่งบอกถึงความใสซื่อบริสุทธิ์ 

 

 

ซย่าอวี่ซาน เธอเป็นตัวแทนของความมืดมิดและสิ้นหวังมาโดยตลอด… 

 

 

“อวี่ซาน” 

 

 

ด้านนอกของสุสาน เซี่ยวจินยืนกางร่มอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นซูหว่านตากฝนเปียกมาทั้งตัว เขาก็รีบกระชับร่มก้าวออกไปบังเม็ดฝนอันหนาวเย็นให้เธอทันที “ร่มของคุณล่ะ? เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” 

 

 

“ฉันไม่เป็นไร ร่มของฉันให้จื่อหมิงไปแล้ว ฝนตกหนักขนาดนี้ ฉันกลัวว่าเขาจะหนาว” 

 

 

ใบหน้าซูหว่านขาวซีด เธอหันไปยิ้มให้เซี่ยวจินอย่างอ่อนเพลีย 

 

 

“ยัยบ๊องเอ๊ย” 

 

 

เซี่ยวจินยกมือขึ้นขยี้ผมยาวของเธอที่เปียกปอนไปด้วยสายฝนอย่างทะนุถนอม “ไป กลับบ้านกันเถอะ” 

 

 

“อืม” 

 

 

ซูหว่านพยักหน้า ปล่อยให้เซี่ยวจินโอบตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถแลนด์โรเวอร์คันสีแดงของเขา 

 

 

ที่จริงแล้ว เซี่ยวจินก็พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง การเป็นตำรวจและนักสืบนั้นเป็นเพียงแค่งานอดิเรกของเขา… 

 

 

“พี่เฉิงช่วยฉันย้ายคอนโดแล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ที่นั่นแล้ว”  

 

 

ซูหว่านพูดเสียงเบาขณะที่พิงพนักที่นั่งข้างคนขับ  

 

 

“คุณวางแผนหลังจากนี้ไว้อย่างไรบ้าง?” 

 

 

เซี่ยวจินอดไม่ได้ที่จะถามเธอ 

 

 

“ยังไม่รู้เลย” 

 

 

ซูหว่านมองรอยสักสีทองหม่นบนข้อมือของเธออย่างเหม่อลอย “คืนนี้หลับให้สบายก่อน เรื่องของพรุ่งนี้…ใครจะไปรู้ล่ะ?“ 

 

 

“อืม คุณพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมไปหา ทานมื้อเช้าด้วยกัน” 

 

 

“ได้ค่ะ” 

 

 

ซูหว่านพยักหน้ารับ จากนั้นก็พิงพนักเก้าอี้บนรถของเซี่ยวจินและงีบหลับไป… 

 

 

เที่ยงคืนแล้ว  

 

 

เซี่ยวจินเคยชินกับการนอนดึก เขากำลังเตรียมจะไปพักผ่อน ทว่าจู่ ๆ เขาก็ได้รับอีเมลฉบับหนึ่งทางคอมพิวเตอร์ 

 

 

ผู้ส่งคือซย่าอวี่ซาน 

 

 

เซี่ยวจินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเปิดอีเมลฉบับนั้นขึ้น ในอีเมลมีเพียงเลขที่ตู้เซฟธนาคาร และรหัสผ่านของมัน  

 

 

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? 

 

 

เซี่ยวจินตกตะลึง เขาหยิบเสื้อคลุมแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ประตูบ้านของซย่าอวี่ซานไม่ได้ล็อค ทุกอย่างในคอนโดยังคงเหมือนเมื่อกลางวัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ ในตอนนี้ทั้งห้องนั้นว่างเปล่า ซย่าอวี่ซานหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย… 

 

 

สีหน้าของเซี่ยวจินแย่ลงอย่างมาก เขาสันนิษฐานความเป็นไปได้ไว้เรื่องหนึ่ง เขาฝืนตัวเองไม่ให้คิดถึงความเป็นไปได้นั้น 

 

 

ในวันรุ่งขึ้น เมื่อธนาคารเปิดทำการ เซี่ยวจินมายังธนาคารเพื่อหาตู้เซฟที่ซย่าอวี่ซานเหลือไว้ให้ตนเองจนพบ ภายในนั้นมีเพียงมือถือวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวเครื่องหนึ่งเท่านั้น 

 

 

มันเป็นมือถือเครื่องที่ซย่าอวี่ซานทำหายไป 

 

 

เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ เซี่ยวจินจ้องหน้าจอของมันอย่างเหม่อลอย รหัสล็อคหน้าจอได้ถูกปลดออกไปแล้ว ทั้งหน้าจอมีเพียงประโยคเดียว 

 

 

ว่ากันว่านิ้วก้อยข้างซ้ายเชื่อมต่อกับบุพเพสันนิวาสของคนทั้งชีวิต เซี่ยวจิน คุณเชื่อไหม? 

 

 

เมื่อเกี่ยวก้อยกันแล้ว นั่นหมายถึงการสัญญาชั่วชีวิต 

 

 

คำสัญญาของนิ้วก้อยข้างซ้าย คือไม่ทอดทิ้งชั่วชีวิต 

 

 

คนที่ผิดสัญญาควรได้รับความตายเป็นบทลงโทษ 

 

 

สวีจื่อหมิงตายแล้ว ซย่าเทียนเองก็เสียใจมากจนคิดฆ่าตัวตาย แล้วพวกหลินลู่ลู่ล่ะ? พวกเธอมีสิทธิ์อะไรที่จะมีความสุขครั้งใหม่? 

 

 

พวกเธอควรลงนรกทั้งหมด พวกเธอควรไปอยู่เป็นเพื่อนจื่อหมิง ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องเหงามากแน่ ๆ … 

 

 

ใช่แล้ว คนที่วางแผนฆ่าสวีจื่อหมิงคือซย่าอวี่ซาน แต่คำสารภาพของสวีจื่อหมิงก่อนตายได้กระตุ้นบุคลิกหลักของซย่าเทียน และเมื่อซย่าเทียนตื่นขึ้นมา ซย่าอวี่ซานที่เป็นบุคลิกรองก็หลับใหลลง  

 

 

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ซย่าเทียนต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน จนถึงขั้นตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพื่อตามไปอยู่กับสวีจื่อหมิง ก่อนเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเคยกรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ก็ถูกพี่เฉิงพบเข้าและช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทัน 

 

 

และเพราะการกระทำที่ค่อนข้างรุนแรงในครั้งนี้ของเธอ ได้ปลุกให้บุคลิกซย่าอวี่ซานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้ฆาตรกรลงมือก่อเหตุอีกครั้งหลังจากผ่านไปครึ่งปี 

 

 

หลินลู่ลู่และถงซินเหยาถูกซย่าอวี่ซานฆ่าตาย สองคนนั้นไม่เคยเคลือบแคลงสงสัยเธอเลย ซย่าอวี่ซานคิดว่าการกระทำของเธอนั้นแยบยลมาก ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เธอก่อไว้นั้นได้อยู่ในสายตาของแฟนคลับที่คลั่งไคล้เธอมาก 

 

 

ในวันนั้น เธอรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังตามเธออยู่ เธอจึงรีบถ่ายรูปไว้ทันที แต่ก็ถ่ายไว้ได้เพียงแค่แผ่นหลังเท่านั้น หลังจากนั้น คนคนนั้นก็เริ่มโทรมาก่อกวนเธออย่างไม่หยุดหย่อน 

 

 

ในตอนนี้เอง ซย่าอวี่ซานที่กำลังว้าวุ่นใจเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเซี่ยวจินก็ปรากฏตัวขึ้น… 

 

 

ดั่งบทละครฉากที่พระเอกและนางเอกได้พบกัน 

 

 

อุบัติเหตุครั้งหนึ่ง ชีวิตสองชีวิต และความเกี่ยวโยงกับคดีเก่า ๆ  

 

 

สวรรค์มีตา ใครกันจะหนีพ้นบทลงโทษไปได้? ใครกันล่ะจะสามารถลอยนวลได้? 

 

 

ซย่าอวี่ซานหายไปแล้ว หายสาบสูญไปจากโลกของเซี่ยวจิน ภายหลังเซียวจินได้ทุ่มงบหนักเพื่อซื้อคอนโดของซย่าอวี่ซานกลับคืนมา ในคอนโดนั้น เขาเจอบันทึกประจำวันของซย่าอวี่ซาน เจออัลบั้มรูปที่เธอเก็บไว้ เจอกระทั่งที่ที่เธอซ่อนยาพิษและอาวุธที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมดเอาไว้ 

 

 

ที่แท้ เธอได้ทิ้งความจริงและคำตอบทุกอย่างเอาไว้ในที่แห่งนี้ เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยก็เท่านั้น 

 

 

ผู้หญิงบ้าคลั่งได้เพราะความอิจฉาริษยา 

 

 

แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวตนอีกคนของตัวเอง เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ้าคลั่งเพราะความอิจฉาริษยานี้ 

 

 

“อวี่ซาน แต่งงานกับผมนะ คุณจะเป็นฤดูร้อน(ซย่าเทียน)ของผม” 

 

 

คำขอแต่งงานประโยคนั้นของสวีจื่อหมิงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ซย่าอวี่ซานอิจฉาริษยาซย่าเทียน ในเวลานั้นเธอเข้าใจแล้วว่า คนที่สวีจื่อหมิงรักคือซย่าเทียน 

 

 

ความผิดบาปทั้งหมด เริ่มต้นที่ประโยคนั้น… 

 

 

…… 

 

 

ณ ช่องว่างแห่งกาลเวลา 

 

 

“ภารกิจไถ่บาปสำเร็จ!” 

 

 

เสียงแจ้งภารกิจสำเร็จดังก้องอยู่ในหูของซูหว่าน เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น 

 

 

เรื่องราวในโลกภารกิจทั้งหมดเหมือนฝันไป 

 

 

ที่จริงแล้วตอนที่ซูหว่านกลับเข้าไปยังคอนโดของซย่าอวี่ซานในวันนั้น เธอได้ตรวจสอบบ้านทั้งหลังอย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว เธอจึงได้พบอาวุธก่อเหตุและเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด 

 

 

ในตอนนั้นเอง ซูหว่านจึงได้เข้าใจว่า ซย่าอวี่ซานเป็นนางเอกของโลกภารกิจนี้ และภารกิจของเธอนั้นไม่ใช่การหนีให้พ้นจากการไล่ล่าของคนร้าย แต่กลับเป็นการทำอย่างไรให้สามารถหลอกตาพระเอกและตำรวจไปได้ 

 

 

ลอยนวล เป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของซย่าอวี่ซาน 

 

 

ความหมายของคำว่า “มีชีวิตอยู่” คือสิ่งนี้ 

 

 

เมื่อออกจากห้องปฏิบัติภารกิจ ซูหว่านมองรอยสักสีทองหม่นบนข้อมือตัวเองครู่หนึ่ง ในวันนั้นตอนที่เธอกำลังอาบน้ำที่บ้านของซย่าอวี่ซาน ซูหว่านสังเกตเห็นรอยแผลเป็นลักษณะเป็นเส้น ๆ ซ่อนอยู่ใต้รอยสักสีทองหม่น นั่นน่าจะเป็นรอยที่เกิดจากการกรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย  

 

 

หลังจากนั้นซูหว่านได้ติดต่อพี่เฉิงในกลางคืน เธอได้ข้อมูลจากพี่เฉิงพอสมควรจากการเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม เธอจึงตั้งสมมติฐานว่าซย่าอวี่ซานน่าจะเป็นคนสองบุคลิก 

 

 

ในสถานการณ์ที่ไม่มีบทให้อ่าน ซูหว่านตัดสินใจเสี่ยงอันตราย เล่นละครฆ่า “ตัวเอง” ตาย เพื่อตบตาพระเอกอย่างเซี่ยวจิน  

 

 

จากประสบการณ์ปฏิบัติภารกิจที่ผ่านมาของซูหว่าน การที่พระเอกอย่างเซี่ยวจินปรากฏตัวอยู่รอบ ๆ ซย่าอวี่ซาน ย่อมแสดงว่าเขาจะต้องกุมหลักฐานบางอย่างไว้ในมือเป็นแน่ หรือไม่ก็เพราะสงสัยในตัวของซย่าอวี่ซานตั้งแต่แรก และเพราะการแสดงละครฉากนี้จึงทำให้ซูหว่านได้รู้ความจริงของเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อนจากปากของเซี่ยวจิน… 

 

 

ในฐานะพระเอกของโลกใบหนึ่ง ความฉลาดไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เซี่ยวจินนั้นฉลาดมากเกินไป อย่างว่าคนฉลาดมักตกหลุมพรางความฉลาด เมื่อเขาเห็นซย่าอวี่ซานพยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นจึงทำให้เขามั่นใจว่าซย่าอวี่ซานไม่ใช่ฆาตกร… 

 

 

ทั้งหมดผ่านไปแล้ว 

 

 

ซูหว่านบอกกับตัวเองในใจ  

 

 

เธอไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับภารกิจนั้น เธอแค่กำลังนึกถึงความลำบากที่ซูรุ่ยได้รับเท่านั้น 

 

 

ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ที่รัก 

 

 

ณ ช่องว่างแห่งกาลเวลา ดินแดนนักโทษ 

 

 

ดินแดนนักโทษอันแสนอลหม่าน เสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณดังไปทั่วทุกสารทิศ 

 

 

“ซูรุ่ย ครบกำหนดพ้นโทษ” 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องจักรดังขึ้น 

 

 

ซูรุ่ยลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดที่วุ่นวาย ภายในวิญญาณของเขายังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการถูกบีบคั้นและทุบตีอย่างต่อเนื่อง 

 

 

“ซูรุ่ย ยินดีต้อนรับกลับมา” 

 

 

เสียงของสวีเช่อยังคงนิ่งเรียบราวสายน้ำ 

 

 

“คุณควรจะพูดว่า ยินดีต้อนรับกลับสู่โลกมนุษย์” 

 

 

เกิดแสงสีแดงแวบหนึ่งในดวงตาของซูรุ่ย ร่างกายยังคงส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ 

 

 

เมื่อเห็นแสงแวบหนึ่งภายในตาของซูรุ่ย แววตาของสวีเช่อก็เปล่งประกาย “คุณช่างน่าทึ่งเสียจริง ไม่เคยมีใครที่กลับมาจากดินแดนนักโทษและยังมีชีวิตชีวาขนาดนี้” 

 

 

“จริงหรือ?” 

 

 

ซูรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “นั่นเป็นเพราะว่าผมมีภรรยาที่มากความสามารถ คุณรู้ใช่ไหม?” 

 

 

“อืม” 

 

 

สวีเช่อพยักหน้า “ผมได้อ่านบทภารกิจไถ่บาปของเธอแล้ว เธอทำได้ดีมากจริง ๆ” 

 

 

มีตกใจบ้างแต่ก็ไม่ได้รับอันตราย นับว่าโชคดีไม่น้อย 

 

 

“ไม่คิดว่าคุณจะเป็นห่วงเธอขนาดนี้?” 

 

 

ซูรุ่ยก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและมองสวีเช่อที่อยู่ตรงหน้าของตนอย่างแน่วแน่ “ผมไม่สนว่าคุณกับเธอเคยมีเรื่องอะไรกัน ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงของผม ผู้หญิงของผม และไม่ต้องการให้ผู้ชายคนอื่นมาคอยเป็นห่วงอีก”  

 

 

“โอ้?” 

 

 

สวีเช่อกลับรู้สึกสนุก เขามองซูรุ่ยด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน “ซูรุ่ย คุณรู้ไหม? ช่วงนี้อันดับของคุณร่วงลงมาอีกแล้วนะ” 

 

 

“แล้วยังไง? ผมมีความสุขดี” 

 

 

แม่ทัพซูแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ และเขาก็เต็มใจที่จะโดนหักคะแนนเพื่อจะได้ตามภรรยาของเขาไปทุกที่ 

 

 

“ที่จริงผมแค่อยากบอกคุณ…” 

 

 

สวีเช่อหยุดครู่หนึ่ง และมองซูรุ่ยด้วยแววตาแหลมคม “ที่ผมเป็นหมายเลขหนึ่งของฝ่ายนี้ เป็นเพราะว่า บนโลกใบนี้ไม่มีภารกิจไหนที่ผมทำไม่สำเร็จ” 

 

 

“นี่ท่านหัวหน้าฝ่ายกำลังท้ารบผมอยู่หรือเปล่า?”  

 

 

ซูรุ่ยเริ่มมีท่าทีที่จริงจังขึ้น เขามองสวีเช่อที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา 

 

 

“เปล่า ไม่ใช่การท้ารบ ผม…แค่อยากรู้ว่า…”  

 

 

อะไร คือความรัก 

 

 

สวีเช่อไม่ทันได้พูดคำที่เหลือออกมา เพราะในตอนนี้เสียงเครื่องรับส่งสัญญาณของซูรุ่ยดังขึ้น อันที่จริงแล้วเป็นเสียงของเครื่องแสดงพิกัดของเขาที่ดังขึ้น 

 

 

ซูหว่านกำลังเข้าสู่ภารกิจอย่างร้อนอกร้อนใจ 

 

 

“ผมต้องทำภารกิจแล้ว” 

 

 

ซูรุ่ยโบกมือและเดินผ่านตัวสวีเช่อไป ในขณะที่เดินกระทบไหล่นั้น แววตาของเขาหม่นลง ก่อนพูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ 

 

 

สวีเช่อ คุณเป็นได้เพียงอดีตของซูหว่านตลอดกาล ส่วนผม เป็นปัจจุบันและอนาคตของเธอ