บทที่ 240

พวกแม่ทัพหนิง เข้าใจว่ายั่วหลิงต้องการจะระบายความโกรธของนางกับคนขับรถม้านั่น และไม่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายตายไปจะเกิดอะไรขึ้นมากมาย จึงได้มีแม่ทัพคนหนึ่งยื่นดาบให้แก่นาง

ทว่ายั่วหลิงที่รับดาบมากลับกำมันไว้แน่น ก่อนจะแทงไปยังหน้าอกของชุยหลิงแทนเสียอย่างงั้น !

ร่างของเพื่อนสาวสั่นเทา ก้มมองดาบที่หน้าอกตนเองแล้วมองไปยังเพื่อนของนางอีกที “เจ้าทำบ้าอะไร…”

การกระทำของยั่วหลิงทำให้พวกแม่ทัพตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มอบดาบให้กับนาง “ท่านหลิง… ท่านทำอะไรน่ะ !”

ร่างของชุยหลิงลงไปนอนบนพื้น ชักกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะตายไป และเมื่อเห็นเช่นนั้น ยั่วหลิงก็พลันหันไปบอกกับทุกคน “ตอนที่พวกเราถูกจับ นังนี่มันเสนอตัวให้กับแม่ทัพเฟิงเพื่อเอาตัวเองให้รอด ข้าทำแบบนี้ก็สมกับนางแล้ว !”

ไม่ว่าความจริงจะเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่มีใครรับรู้ได้อีกแล้ว เพราะมาตอนนี้ชุยหลิงก็ได้นอนสิ้นใจอยู่บนพื้น ไม่มีโอกาสพูดจาได้อีกต่อไป

ยั่วหลิงเชือว่าถ้ามีคนล่วงรู้ ถึงเรื่องที่นางถูกข่มขืนโดยถังหยินล่ะก็ มันจะต้องส่งผลกระทบต่อชีวิตของนางในอนาคตเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องจัดการปิดปากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด

ซึ่งการกระทำในครั้งนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ยั่วหลิงนั้นเป็นคนที่โหดร้ายและสามารถฆ่าเพื่อนตัวเองได้อย่างไม่ลังเลเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน

เมื่อได้ยินแบบนั้น พวกแม่ทัพต่างก็พากันหันมองไปทางชุยหลิงด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจก่อนจะกล่าว “ถ้าเป็นเช่นนั้นนางก็สมควรตายแล้ว !”

“ช่างมันเถอะ !” ยั่วหลิงยื่นดาบคืนไปแล้วแกล้งทำเป็นเศร้าสร้อย “แต่พวกเจ้าจะว่านางไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าไม่ได้นางล่ะก็ พวกข้าก็คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้หรอก”

“ท่านหลิงช่างใจบุญยิ่งนัก ! ข้าว่าท่านคงจะหวาดกลัวมาก รีบกลับไปที่ค่ายของพวกเรากันเถอะ”

ยั่วหลิงถูกพาตัวกลับมาที่ค่ายหนิง ในขณะที่ร่างของชุยหลิงถูกพากลับไปยังค่ายด้วยทหารบางกลุ่ม

เมื่อกลับมาเจอพี่น้องจ้าน ยั่วหลิงก็สะบัดตัวเองให้หลุดจากคราบของหญิงสาวน่าสงสาร กลายมาเป็นหญิงแกร่งที่ไม่กลัวอะไรเหมือนเดิม ก่อนจะบอกกล่าวเรื่องราวความห้าวหาญที่ทำให้นางกลับออกมาได้

ถ้าฟังจากมุมมองของนางแล้ว ใคร ๆ ก็คงคิดว่าหญิงสาวนั้นแข็งแกร่ง ชาญฉลาด และอดทนมามากทีเดียว กว่าจะรอดออกมาได้

แต่นางหารู้ไม่ ว่าจ้านอู่ฉางนั้นรู้ความจริงอยู่แล้ว ! ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย นอกเสียจากเอ่ยถามออกมาว่า “ถ้างั้นแล้วท่านหลิงจะอยู่ที่นี่ก่อนหรือว่าจะกลับแคว้นเลย ?”

ให้นางอยู่ที่ค่ายต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แถมยังเป็นภาระอีก

ดังนั้นยั่วหลิงจึงตอบไปแบบไม่คิด “ข้าว่าจะกลับบ้าน”

คำตอบของหญิงสาวตรงกับความต้องการของอู่ฉางอยู่แล้ว เขาจึงไม่รอช้า รีบเตรียมการให้ทันที

ในความคิดของยั่วหลิง ถังหยินไม่ใช่คนที่จะล้มได้ง่าย ๆ แม้กองทัพของหนิงจะมีคนมากมายขนาดไหนก็ตาม หากแต่ถึงจะคิดเช่นนั้น ทว่านางก็ไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้ออกไป ด้วยกลัวว่ามันจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจ และการเดินทางกลับแคว้นหนิง มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

เมื่ออยู่ในกองทัพ นางย่อมไม่กล้าบอกว่าพวกหนิงไม่อาจสู้กองทัพเฟิงได้ แต่หลังจากกลับไปแล้ว ทุกสิ่งที่นางกังวลก็จะไม่ใช่เรื่องของนางอีกต่อไป

เมื่อเสร็จไปเรื่องหนึ่งแล้ว จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ก็รีบจัดทัพให้ทหารจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองจินฮั๋วในทันที

ศึกระหว่างทัพเทียนหยวนและทัพหนิงกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง

ซึ่งในระหว่างที่พวกหนิงกำลังเคลื่อนทัพนั่นเอง ทางด้านของมูฉิงเอง เขาก็ได้ส่งทหารเข้าโจมตีเมืองฮวยหยางอย่างรวดเร็ว

การเดินทางครานี้ควรจะกินเวลาทั้งหมด 5 วัน แต่มันก็ใช้เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ก่อนที่พวกทหารยามเมืองฮวยหยางจะได้เห็นเข้ากับกองทัพปิงหยวนปรากฏที่เมือง พร้อมกับจำนวนกำลังทหารที่เยอะจนสุดลูกหูลูกตา

เมื่อพวกเขาเห็นแบบนั้น ต่างก็พากันตะลึงแล้วรีบลงมารายงานให้เจ้าเมืองฟังในทันที แล้วก็เป็นยู่เต๋าที่อยู่ด้วยที่ได้ถามขึ้น “พวกมันมากันเท่าไหร่ ?”

“มามากเกินจนพวกเรานับไม่ไหวขอรับ !”

ได้ยินแบบนั้นยู่เต๋าก็กลัวจนหัวหด เตรียมเก็บข้าวของหนีไปในทันที แต่ก็ได้แม่ทัพซงหยวนมาห้ามเอาไว้ “นายท่านจะกลัวอะไรกับอีแค่พวกเทียนหยวนกัน ?”

ยู่เต๋าเกือบจะระเบิดความโกรธออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น เขารีบสวนกลับไปในทันทีว่า “ทำเป็นพูดเล่นไป พวกมันมากันนับแสนนาย จะให้พวกเรารออะไรอีกล่ะ ? จะให้มันบุกเข้ามาตัดหัวข้าก่อนหรือไง ?”

ซงหยวนยิ้มให้กับเขาด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะตอบกลับไป “ท่านจะไปคิดอะไรให้มากความเล่า ในเมื่อพวกเทียนหยวนมาล้อมเมืองท่านไว้ งั้นสิ่งที่ท่านควรทำมันก็ง่ายดายยิ่ง ก็แค่เข้าไปสวามิภักดิ์กับพวกเขาเสียสิ แค่นี้พวกถังหยินก็ไม่ทำอะไรท่านแล้ว แถมยังทำให้เขตของเรามั่นคงขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเมืองนี้ก็จะกลายเป็นภาระของพวกเขาไปโดยปริยาย โดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อยที่จะต่อสู้หรือวิ่งหนีแม้แต่น้อย !”

ยู่เต๋าหยุดครุ่นคิดทันทีที่ได้ยินดังนั้น ก่อนจะนึกถึงอนาคตของตัวเองขึ้นมา ด้วยถ้าตนหันไปพึ่งพิงถังหยิน มันก็ดูจะมีหนทางก้าวหน้าที่ดีกว่าเข้าร่วมกับซ่งเทียนมากนัก !

เมื่อคิดแบบนั้น เขาก็รับคำแนะนำของซงหยวนในทันที และไม่รอช้า ที่จะจัดแจงส่งแม่ทัพออกไปหากองทัพเทียนหยวน เพื่อยอมรับความพ่ายแพ้

จริง ๆ แล้วซงหยวนไม่ได้หมายความตามที่พูด เพราะอันที่จริงแล้วตัวเขานั้นไม่ได้สนใจชีวิตของยู่เต๋าแม้แต่น้อย หากแต่มันเป็นการพูดไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อให้ตนได้เข้าร่วมกับทัพของถังหยิน ที่ดูจะมีอนาคตมากกว่าก็เท่านั้น

การที่ยู่เต๋าส่งคนมายอมแพ้แบบนี้ มันก็ทำให้มูฉิงดีใจมากที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อในการยึดเมือง เขารีบกล่าวทันทีว่า “ถ้าเจ้ายอมสนับสนุนเจ้านายของข้าและช่วยปราบซ่งเทียนลง ข้าจะช่วยพูดกับนายท่านเพื่อให้เจ้ายังอยู่ในตำแหน่งเดิมได้”

ยู่เต๋าดีใจมากจนแทบจะสิ้นสติ เขารีบขอบคุณมูฉิงแล้วกลับเข้าไปในเมืองทันที

และเมื่อเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ เขาก็รีบสั่งให้คนเปิดประตูเมืองต้อนรับมูฉิงทันที

ตอนแรก คนในกองทัพปิงหยวนต่างก็เตรียมใจที่จะเข้าทำศึกหนัก หากทว่ามันกลับตรงกันข้าม เมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ เสียอย่างงั้น !

ถึงจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากยู่เต๋า ทว่ามูฉิงก็ยังคงไม่ประมาท เพราะเขารู้ดีว่าเมืองแห่งนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนจะไม่รอช้า ทำการทิ้งทหารไว้จำนวนหนึ่งที่เมืองฮวยหยาง แล้วจึงเดินทางกลับในทันที

แต่ก่อนที่เขาจะกลับไป ก็เป็นซงหยวนที่เข้ามาพูดกับเขาเสียก่อน

ข่าวการปราบกบฏของถังหยินกระจายไปทั่ว จนดึงดูดคนมากมายให้เข้ามาหาเขาเพื่อลี้ภัยและพึ่งใบบุญ ทำให้มูฉิงคุ้นชินกับการจัดการคนพวกนี้ดีทีเดียว

ซงหยวนหัวเราะออกมา “ข้ามีแผนที่จะช่วยพวกท่านอยู่ สนใจจะรับฟังข้าหรือไม่ ?”

มูฉิงเริ่มมองเขาอย่างสนใจ ด้วยถึงจะมีคนมากมายขอเข้าร่วมกองทัพเทียนหยวน แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะเป็นเหมือนซงหยวน “ลองบอกข้ามา !”