บทที่ 241

ซงหยวนพูดอธิบายอย่างช้า ๆ “ในการสู้รบระหว่างสองกองทัพ การฆ่าศัตรูเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะศัตรู ! และเพื่อที่จะกวาดล้างทหารทั้ง 4 แสนนายของกองทัพหนิงให้ฝั่งเราเสียน้อยที่สุด งั้นแล้วเราก็ต้องเน้นไปที่การปลุกขวัญกำลังใจของกองทัพขึ้นมา”

มูฉิงโบกมืออย่างรำคาญใจ ใครก็ตามที่เคยอ่านตำราพิชัยสงครามย่อมจะรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี ซึ่งคำพูดพวกนี้มันก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ซงหยวนก็ได้กล่าวต่อว่า “มันง่ายมากที่จะทำให้หัวใจของกองทัพหนิงไม่มั่นคง ก็แค่ทำการตัดเส้นทางการล่าถอยของพวกเขาก็เท่านั้น”

เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปมูฉิงแล้วสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถ้ากองทัพเทียนหยวนคิดอยากส่งยุทธภัณฑ์ชั้นยอดอีกชุดหนึ่งออกไปในขณะที่ต่อสู้กับกองทัพหนิงโดยไม่ต้องใช้ถนนเส้นหลัก พวกเขาต้องเดินบนเส้นทางผ่านภูเขาเท่านั้น และเมื่อพวกเขาลอบผ่านเมืองหยานแล้วเข้าโจมตีประตูตงได้สำเร็จ มันก็จะทำให้ทหารทั้ง 4 แสนนายของพวกหนิงถูกทิ้งไว้ในแคว้นเฟิง ไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว”

“หื๊ม ?” หลังจากได้ยินสิ่งที่ซงหยวนพูด มูฉิงก็สูดลมหายใจเย็น ๆ ด้วยการเข้าโจมตีประตูตงนั้นเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจยิ่ง ทำให้ในเวลานี้เขามองซงหยวนดีขึ้นมาระดับหนึ่ง

มูฉิงชื่นชมแผนการที่ซงหยวนอธิบาย ดังนั้นเมื่อออกจากฮวยหยาง พวกเขาก็ถือโอกาสพาซงหยวนไปด้วย เพราะถ้าคนคนนี้มีพรสวรรค์จริง ๆ งั้นแล้วอีกฝ่ายก็ควรที่จะได้รับความสนใจมากกว่านี้

หลังจากยึดฮวยหยางสำเร็จ พวกเขาก็กลับไปตามทางที่มา เพื่อเข้ารวมตัวกับกองกำลังหลักของเทียนหยวน ซึ่งนำโดยถังหยิน

ในเวลานี้กองทัพหนิงได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนของเมืองจินฮั๋วแล้ว และกำลังจะเกิดการเผชิญหน้ากับกองทัพเทียนหยวนที่มีกำลังกว่า 3 แสนนาย

ในแง่ของความแข็งแกร่งทางทหารโดยรวมแล้ว กองกำลังของทั้งสองฝ่ายมีความเท่าเทียมกันและกำลังรบก็ใกล้เคียงกัน ไม่มีช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองฝ่ายมากนัก ดังนั้นการต่อสู้แบบนี้จึงเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ตอนนี้พวกเขากำลังจะเข้ารบกับพวกหนิง เลยทำให้บรรยากาศในกองพันกองทัพเทียนหยวนตึงเครียดอย่างมาก พวกทหารพากันเดินเข้าออกไปมาเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ขณะที่เนตรนภาและเครือข่ายใยพิภพผลัดกันเข้ามารายงานสถานการณ์ของกองทัพหนิงกลับมายังค่ายหลักของตนเองอย่างต่อเนื่อง

ถังหยินเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เช่นกัน เขาหันไปพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับวิธีจัดการและรับมือกับศัตรูในแต่ละวันไม่เคยว่างเว้น

ชิวเจิ้น จางจี้ และที่ปรึกษาคนอื่น ๆ คิดว่าสงครามไม่ควรเริ่มในตอนนี้ เนื่องจากกองทัพปิงหยวนที่แข็งแกร่งที่สุดในฝั่งของพวกเขากำลังจะกลับมา และควรจะต่อสู้กับกองทัพหนิงหลังจากที่กองทัพปิงหยวนกลับมาแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถึงพวกเขาอยากจะรอมากแค่ไหน หากแต่กองทัพหนิงก็ไม่คิดรอพวกเขาอีกต่อไป ด้วยนับตั้งแต่พวกเขาเข้าสู่เขตแดนของเมืองจินฮั๋ว กองทัพหนิงก็เอาแต่ยั่วยุให้พวกเขาออกมาต่อสู้อยู่ตลอดเวลา

และยิ่งหยวนยู่ต้องทนเห็นการยั่วยุนี่มากเท่าไหร่ ความอดทนของเขาก็ใกล้จะหมดลงมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่ชายเลือดร้อนไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขารีบเข้าไปขอร้องให้ถังหยินส่งกองทหารออกไปต่อสู้กับกองทัพหนิงในทันที

เมื่อได้ฟังคำขอ ถังหยินก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย ด้วยฝ่ายของตนนั้นไม่ควรรีบร้อน และควรใช้กำแพงเมืองให้เป็นประโยชน์เพื่อลดการสูญเสีย ซึ่งมันก็ย่อมดีกว่าการออกไปต่อสู้ด้านนอกโดยไม่มีอะไรที่ใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงได้เลย

ท้ายที่สุดถังหยินก็ไม่เห็นด้วยกับคำขอของหยวนยู่ อีกทั้งเขายังสั่งให้ทหารทั้งกองทัพเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดขึ้นอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง มันก็ทำให้พวกหนิงคิดว่ากองทัพเทียนหยวนกลัวพวกตนจนหัวหด จนพาลให้พวกเขากล้าที่จะร้องตะโกน ด่าทอ และกล่าวสาปแช่งหนักข้อขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม ถังหยินก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะรอกองทัพปิงหยวนของเขากลับมาก่อนที่จะต่อสู้ ทำให้ในที่สุดกองทัพหนิงก็ไม่สามารถอดทนไว้ได้อีกต่อไป เริ่มการโจมตีแบบกองโจรในทันที โดยมีเป้าหมายเป็นค่ายหลักของกองทัพเทียนหยวน !

หากแต่ค่ายของกองทัพเทียนหยวนนั้นแข็งแกร่งมาก ด้วยมีทหารกว่า 3 แสนนายที่คุ้มกัน ! และเพราะเหตุนี้เอง จ้านอู่ฉวนจึงได้แต่ส่งคนไปหยั่งเชิง ก่อนจะถอนตัวกลับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าการตอบโต้ของกองทัพเทียนหยวนนั้นแข็งแกร่งยิ่ง !

แต่ถึงจะไม่สำเร็จ ทว่าพวกหนิงก็ไม่คิดยอมแพ้ พวกเขาพากันเข้าโจมตี และล่าถอยเช่นนั้นทุกวัน ด้วยหลังล่อให้กองทัพเทียนหยวนออกจากค่ายและต่อสู้กันด้านนอก

3 วันต่อมา ภายใต้การนำทัพของมูฉิง พวกเขาก็ได้กลับมาถึงค่ายกองทัพเทียนหยวนแล้ว และหลังจากการกลับมาของกองทัพปิงหยวน กองทัพเทียนหยวนก็เริ่มร่างกลยุทธ์โดยละเอียดสำหรับการต่อสู้กับศัตรูของพวกเขาในทันที !

ภายในเต็นท์หลังใหญ่

แม่ทัพของกองทัพเทียนหยวนและแม่ทัพของเบสซ่าถูกรวบรวมเข้าด้วยกัน ดังนั้นเต็นท์กองทัพกลางขนาดใหญ่จึงดูเหมือนจะค่อนข้างเล็กไปถนัดตาในขณะนี้ ซึ่งภายในนั้น มันก็มีถังหยินที่กำลังสั่งให้ผู้คนวางโต๊ะทรายไว้ตรงกลางเต็นท์ พร้อมกับเตรียมธงขาวดำวางบนโต๊ะทรายเพื่อจำลองการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย

ถังหยินมองไปรอบ ๆ และถามว่า “ใครมีกลยุทธ์ที่ดีในการต่อสู้กับกองทัพหนิงจะเสนอข้าหรือไม่ !”

เมื่อมองไปที่ผู้คนทางซ้ายและขวา ชิวเจิ้นก็ก้าวไปข้างหน้าโต๊ะทรายพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่ากองทัพปิงหยวนเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดและควรใช้เป็นกำลังหลักในครานี้ จากนั้นก็ให้จัดทัพรุกเข้าใจกลางของพวกมันโดยมีกองทัพชานชุยที่แบ่งเป็น 2 ฝั่งประกบข้างเอาไว้ และหากมีปัญหาใด ๆ นายท่านก็สามารถสั่งกองทัพผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อสนับสนุนได้อย่างทันท่วงที”

“อืม..!” ถังหยินฟังและพยักหน้ารับด้วยคิดว่าแผนของชิวเจิ้นนั้นเป็นไปได้

จังหวะนั้นเอง มันก็เป็นมูฉิงที่กล่าวเสริมว่า “กองทัพปิงหยวนไม่มีปัญหาในฐานะกำลังหลัก แต่จะดีที่สุดถ้ากองทหารม้าเบสซ่าสามารถวางกองกำลังแบบจัตุรัสเข้าเสริมได้ ด้วยถ้าใช้พวกเขาเป็นกองหน้าเพื่อขัดขวางกระบวนทัพของศัตรู งั้นแล้วการรบในครั้งนี้มันก็จะง่ายขึ้นมากนัก”

“ฟังดูมีเหตุผลดี !” ถังหยินมองไปที่ชัวน่าและบรันก้าที่กำลังถามล่ามที่พามาว่าคนอื่น ๆ กำลังพูดเรื่องอะไรกัน และหลังจากได้ยินทั้งหมดแล้ว บรันก้าก็พลันพยักหน้ารับ ดูไม่ขัดข้องแต่อย่างใด “ไม่มีปัญหา”

อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของพวกหนิงคือพลธนู และอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของทหารม้าเกราะหนักคือการป้องกัน ดังนั้นการใช้ทหารม้าของเบสซ่าเป็นตัวนำ มันก็ย่อมทำให้พวกเขาได้เปรียบกว่า !

เมื่ออีกฝ่ายรับปากเช่นนั้น ถังหยินก็ฉีกยิ้มออกมาทันที เพราะจากมุมมองของเขาแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี งั้นแล้วโอกาสที่ชนะมันก็มีมากถึง 7 ใน 10 ส่วนเลยทีเดียว

ในเวลานี้เอง ก็ได้มีใครอีกคนยืนอยู่ข้างโต๊ะทรายและวางธงสีดำไว้ที่กลางธงสีขาวก่อนกล่าวว่า “หากกองทัพของเรา สามารถใช้ทหารม้าเกราะเบา เพื่อโจมตีกองทัพหลวงของกองทัพหนิงได้อย่างรวดเร็วในระหว่างการสู้รบ และแทรกเข้าไปในจุดสำคัญของกองทัพหนิง งั้นแล้วสิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดความโกลาหลจากภายในของศัตรูในทันที ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาสั่งการ และเพิ่มโอกาสในการได้รับชัยชนะของพวกเราในครั้งนี้ให้มากขึ้นไปอีก”

“ โอ้ ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความสนใจของทุกคนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและพากันหันไปมองคนที่พูด

ชายคนนี้อายุน้อยกว่า 30 ปี รูปร่างเตี้ย ไม่ได้มีหน้าตาดีเป็นพิเศษ ออกจะอ้วนนิดหน่อยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ดวงตาเล็ก ๆ ทั้งสองของเขามันก็ฉายชัดถึงความฉลาดหลักแหลมที่มี ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง ด้วยพวกเขาไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร และไม่รู้ว่าเขาแอบเข้ามาในค่ายบัญชาการนี้ได้อย่างไร ซึ่งแม้แต่ถังหยินเอง ชายหนุ่มก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน

มูฉิงตอบทันที “นายท่าน นี่คือท่านซง เหตุผลที่กองทัพของเราสามารถรับฮวยหยางได้โดยไม่ต้องนองเลือดใด ๆ เป็นเพราะการตัดสินใจของท่านซงผู้นี้ ซึ่งเขาก็มีความตั้งใจยิ่งที่จะรับใช้นายท่าน ดังนั้นข้าจึงพาเขามาที่นี่ด้วย ทว่าข้าก็ลืมที่จะแนะนำเขาให้รู้จักก่อนหน้านี้ โปรดอภัยให้ข้าด้วย !”

ถังหยินพยักหน้ารับ เป็นสัญญาณบ่งบอกชัดเจนว่าตัวเขานั้นก็สนใจที่จะรับซงหยวนเป็นที่ปรึกษาเช่นกัน ด้วยแม้ว่าเขาจะมีที่ปรึกษามากมายภายใต้การบัญชา หากแต่ของแบบนี้ยิ่งเยอะยิ่งดีไม่ใช่หรือไรกัน ? ว่าแล้วชายหนุ่มยิ้มและพยักหน้าให้ซงหยวน “ท่านซง ข้าขออภัย !”

“นายท่านสุภาพเกินไปแล้ว !” เมื่อเห็นว่าถังหยินปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ ซงหยวนก็รีบยกมือขึ้นประกบพร้อมกับโค้งทักทาย

“เมื่อกี้ท่านซงบอกว่าควรใช้หน่วยทหารม้าเกราะเบา เข้าโจมตีใจกลางกองทัพหนิงงั้นหรือ ?”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ เพราะแค่ทหารม้าเกราะเบาที่นำโดยท่านหยวนยู่ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความวุ่นวายในกองทัพหนิง และหากสามารถเข้าถึงส่วนกลางของพวกมันได้จริง งั้นแล้วทั้งกองทัพหนิงก็จะอยู่ในความโกลาหล ! ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น พวกเราก็จะสามารถบดขยี้พวกหนิงได้อย่างง่ายดาย !”

แม้ว่าซงหยวนจะเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของยู่เต๋า แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ของกองทัพเทียนหยวนเป็นอย่างดี …อย่างน้อยก็รู้ว่าหยวนยู่เป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหน

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด หยวนยู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะยื่นมือไปทางถังหยินและกล่าวว่า “นายท่าน ให้ข้าจัดการเอง ! รับรองว่าได้หัวของจ้านอู่ฉานติดมือกลับมาแน่ !”

ม้าทั้งหมดเป็นม้าศึกที่ดีของแคว้นโม ที่ในอดีตพวกเขามักจะใช้ทหารม้านี้ลอบโจมตีเมืองต่าง ๆ ของเบสซ่า ทำให้ฝ่ายหลังต้องปวดหัว ทว่าเมื่อเบซ่ากลายเป็นพันธมิตรแล้ว หน่วยทหารม้าเกราะเบาพวกนี้ก็ไม่เคยถูกใช้อีกเลย

เขาก้มศีรษะลงและพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปถามชิวเจิน “เราเหลือม้ากี่ตัว ?”

ชิวเจิ้นตอบอย่างจริงจัง “มีมากกว่าหมื่นขอรับ !”

สายตาของถังหยินหันกลับไป จากนั้นเขาก็มองไปที่โต๊ะทรายและพูดว่า “หยวนยู่ เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เจ้าจงนำทหารม้าเกราะเบาจำนวน 5 พันนายขึ้นไปทางเหนือและบุกโจมตีส่วนกลางของกองทัพหนิง ส่วนข้าก็จะนำทหารม้าเบา 5 พันนายไปทางใต้ และเปิดการโจมตีที่ไม่มีใครคาดคิด ณ ส่วนกลางของกองทัพหนิง”

ตราบใดที่ยังมีการต่อสู้ มันก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใส่ใจรายละเอียด ซึ่งตัวของหยวนยู่ก็ไม่คิดคัดค้านใด ๆ หลังจากฟังจบเขาก็ยกมือขึ้นและพูดยอมรับในทันที “ตามบัญชาขอรับ !”

เขาไม่ได้รังเกียจ แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดแบบเขา

ชิวเจิ้นยิ้มและกล่าวว่า “นายท่านต้องการจะออกรบด้วยตัวเองอีกรอบงั้นหรือ ?”

ถังหยินโบกมือและหัวเราะ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นห่วง ดังนั้นคราวนี้ข้าจะใช้ร่างเงาไปสู้แทน”

หลังจากได้ยินคำพูดของเขา แม่ทัพรอบ ๆ ตัวชายหนุ่มก็สงบลง ก่อนจะเป็นเฉิงจินที่เดินเข้ามาหา “ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นพวกเราก็จะใช้ร่างเงาของพวกเราเพื่อติดตามนายท่านไปด้วย !”

ถังหยินไม่ได้คัดค้านอะไร เขาเพียงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ ! แม่ทัพเฉิง จัดเตรียมทหารของเจ้าให้เรียบร้อย เพื่อติดตามข้าออกไปรบ !”

“รับทราบขอรับ นายท่าน !”

หลังจากตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการรบเสร็จแล้ว ถังหยินและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด้วยพวกเขาทั้งกังวลและตื่นเต้นกับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้

หลังการประชุม พวกแม่ทัพก็พากันกลับไปยังที่พักของตัวเองเพื่อพักผ่อนสำหรับสงครามในวันพรุ่งนี้ เช่นเดียวกับถังหยินที่เดินออกจากเต็นท์ พร้อมกับมีทหารยามสองสามคนติดตามไป

เขาครุ่นคิดในขณะที่เดินไปเรื่อย ๆ ก่อนจะรู้ตัวอีกทีเมื่อพบว่าข้างหน้าของตนนั้น เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนเนินเขา ผิดกับเต็นท์อื่น ๆ จนทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปถามทหารยามข้าง ๆ ว่า “นี่ที่พักของใครกัน ?”

ทหารยามคนหนึ่งรีบตอบ “นี่น่าจะเป็นของเจ้าหญิงจากเบสซ่าขอรับ”

ถังหยินพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับคิดไปด้วยว่า ตัวเองนั้นควรจะไปเยี่ยมชัวน่าดีหรือไม่ ?