เล่ม 1 ตอนที่ 212 เป็นประชากรชั้นต่ำกันทั้งสิ้น

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ตอนที่จักรพรรดิจันทร์ประจิมพาคนเข้าไปนั้นก็เห็นเหยากวงกำลังยืนอยู่ที่ลานด้านนอก มิได้เข้าไป เพียงแค่ยืนนิ่งดูการต่อสู้กลางเวหาเฉยๆ เท่านั้น

“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่” จักรพรรดิจันทร์ประจิมก้าวเข้าไปถาม

เหยากวงจึงค่อยตระหนักถึงการมาเยือนของจักรพรรดิจันทร์ประจิม นางรีบถวายบังคมแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าลานบ้านจะถูกข่ายมนตร์ล้อมเอาไว้ พวกเราเข้าไปมิได้เพคะ!”

จักรพรรดิจันทร์ประจิมให้คนทดสอบดูคราหนึ่งจึงพบว่ามิอาจเปิดออกได้ จึงได้แต่ยืนดูอยู่ข้างนอกเท่านั้น

ภายในลานบ้าน พวกซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าจักรพรรดิจันทร์ประจิมมาแล้ว ทว่ามิได้ถอนข่ายมนตร์ แล้วปล่อยให้พวกเชียนอินต่อสู้กับจ้าววิญญาณต่อไป แต่ให้พวกเขาเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น ผู้มีอำนาจตัดสินใจมาถึงแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาอีกต่อไป

เพียงไม่นานบรรดาจ้าววิญญาณก็พากันบาดเจ็บล้มตายไป ส่วนพวกที่ไม่ตายก็เหลือเพียงลมหายใจรวยรินเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าไก่ฟ้าปราดหนึ่ง เขาจึงโบกมือเพื่อถอนข่ายมนตร์ที่เขาวางเอาไว้

จักรพรรดิจันทร์ประจิมสัมผัสได้ว่าสิ่งกีดขวางสลายไปแล้วจึงรีบพาคนเข้าไป เมื่อมาถึงลานบ้าน ทุกคนก็ได้เห็นจ้าววิญญาณที่นอนแผ่อยู่บนพื้น

จักรพรรดิจันทร์ประจิมแววตาทอประกาย เขาลอบยินดีอยู่ในใจที่ตนมิได้เลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามพวกเขาเพื่อรักษาหน้าราชวงศ์ คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ด้วยเท่านั้น แม้กระทั่งสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของแต่ละคนก็ยังเป็นสัตว์อสูรเทพทั้งหมด

สัตว์อสูรเหนือเทพยังไม่ทันลงมือ จ้าววิญญาณเหล่านี้ก็ล้มระเนระนาดกันหมดแล้ว หากตนส่งคนมาเกรงว่าคงได้แต่พบจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน

“ทุกท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่” จักรพรรดิจันทร์ประจิมแสดงความเป็นห่วงตามมารยาท

นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ สายตาที่ทุกคนมองไปทางจักรพรรดิจันทร์ประจิมเจืออารมณ์เล็กน้อย

“แค่กๆ พวกเจ้าไปตรวจสอบมาทีซิว่าใครเป็นผู้ส่งคนเหล่านี้มา!” จักรพรรดิจันทร์ประจิมสั่งการกับคนที่อยู่ด้านหลัง

“ไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด “พวกเราทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะว่าใครเป็นผู้ส่งคนเหล่านี้มา”

“ใครกัน” ถึงแม้ว่าจักรพรรดิจันทร์ประจิมจะเดาได้ แต่ก็ยังคงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง

“เรื่องนี้คงต้องถามพระชายาที่วังหลังของพระองค์แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“หมายถึงพระชายาโม่อย่างนั้นหรือ” จักรพรรดิจันทร์ประจิมมองเหยากวงปราดหนึ่ง นางจึงถอยหลังออกไปยังตำหนักหวาซาเพื่อไปหาพระชายาโม่ในทันที

“รบกวนฝ่าบาทดึกดื่นเช่นนี้ ขอพระองค์ทรงอภัยให้พวกเราด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจือฉีพูดอย่างเรียบเรื่อย ทว่าในน้ำเสียงไม่มีแววขอโทษเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย

จักรพรรดิจันทร์ประจิมรู้ว่าพวกเขากำลังโกรธอยู่ ถึงอย่างไรพวกเขาเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ก็ต้องมาพบกับเรื่องเช่นนี้เสียแล้ว เป็นใครก็คงอารมร์ดีไม่ออก

เขาเหลือบมองเจ้าไก่ฟ้าอย่างไม่ทิ้งร่องรอย เจ้าไก่ฟ้าวางท่าทีเย็นชา ทำให้เขามองไม่ออกว่าสัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้โกรธอยู่หรือไม่ ถ้าหากเขาโกรธ นี่ก็มิใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลยจริงๆ!

“ทุกท่าน การพาตัวพระชายาโม่มานั้นยังต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง พวกเราเข้าไปรอนางข้างในกันมิดีกว่าหรือ” จักรพรรดิจันทร์ประจิมพูด

พวกซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ถึงแม้ว่าการมีเจ้าไก่ฟ้าอยู่จะทำให้พวกเขาเป็นต่ออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงฝ่าบาทแห่งอาณาจักรจันทร์ประจิม การฉีกหน้าเขาต่อหน้าทหารรับใช้มากมายเช่นนี้คงมิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด

จากนั้นพวกเขาจึงไปรอที่โถงรับแขก ส่วนทหารรับใช้เหล่านั้นก็เฝ้าอารักขาอยู่ด้านนอก

“คาดว่าฝ่าบาทน่าจะทรงตรวจสอบตัวตนของพวกเราเรียบร้อยแล้ว พวกเรามิใช่คนของอาณาจักรจันทร์ประจิม แต่อยากขอใช้เส้นทางผ่านไปยังอาณาจักรอื่น คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะพบเจอเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้” เว่ยจือฉีพูด

“ใช่ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่ากลุ่มโอหังจะก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ถูกคนล้างบางทั้งกลุ่มก็เป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวเองนั่นแหละ” ฝ่าบาทพูดเจือเสียงหัวเราะ

“เช่นนั้นช่วยกลุ่มนกนางนวลของพวกเรา…”

“กลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลขจัดความชั่วร้าย ผดุงคุณธรรม ย่อมไม่มีใครตำหนิพวกเขาอยู่แล้วล่ะ” ฝ่าบาทเอ่ยตอบ

มีคำพูดของเขาทั้งที ก็นับได้ว่ากลุ่มนกนางนวลปลอดภัยแล้ว

“ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากจะไปที่อาณาจักรใดกันหรือ” ฝ่าบาทถาม

“อาณาจักรอู๋กลางพ่ะย่ะค่ะ”

“อาณาจักรอู๋กลางหรือ นั่นเป็นอาณาจักรที่พลานุภาพแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่อาณาจักรใหญ่เลยนะ!” ฝ่าบาทเอ่ยชมแล้วถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปกันด้วยเรื่องอันใดหรือ”

“ช่วยคนน่ะพ่ะย่ะค่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เมื่อเห็นเธอไม่อยากพูดมาก จักรพรรดิจันทร์ประจิมจึงไม่ได้ถามต่อไปอีก หากแต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นแทน

ส่วนใหญ่เป็นเว่ยจือฉีที่สนทนากับเขา ถึงแม้ว่าจะมิได้กระตือรือร้นมากนัก แต่ก็ทำให้จักรพรรดิจันทร์ประจิมไม่เสียหน้า

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินโม่ก็ถูกพาตัวมา ยามที่นางมาถึงแล้วเห็นทหารรักษาพระองค์ของจักรพรรดิจันทร์ประจิมก็ตกใจจนสะดุ้งตัวลอย จากนั้นก็เห็นจ้าววิญญาณที่ตนเชิญมานอนแผ่อยู่ในลานบ้าน ตายไปสี่คน เหลือเพียงสองคน ความสิ้นหวังก็แผ่ซ่านเต็มหัวใจ

“พระชายาโม่ เชิญเพคะ ฝ่าบาททรงรอพระองค์อยู่ข้างในนะเพคะ” เหยากวงพูด

ฉินโม่รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างหนักราวกับตะกั่ว มิอาจขยับได้เลย เหยากวงปรายตาทีหนึ่ง ทหารรับใช้สองนายก็ก้าวเข้ามาจับแขนนางคนละข้าง แล้วพาตัวนางเข้าไปยังโถงรับแขก

เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของจักรพรรดิจันทร์ประจิม หลังจากทหารรับใช้ปล่อยนางแล้ว นางจึงทรุดนั่งลงบนพื้นในทันที

“ฝ่าบาท นำตัวพระชายาโม่มาแล้วเพคะ!” เหยากวงยืนข้างกายฉินโม่พลางเอ่ยรายงาน

“พระชายาโม่ เจ้าช่างบังอาจดีนัก!” ไอพลังบนร่างจักรพรรดิจันทร์ประจิมแผ่ออกมา ปรากฏว่าเป็นยอดฝีมือระดับจ้าววิญญาณเช่นเดียวกัน

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ เป็นเพราะพวกเขาสังหารน้องชายหม่อมฉันก่อน แล้วยังสังหารบุตรสาวกับพี่ชายของหม่อมฉันด้วยนะเพคะ แล้วหม่อมฉันจะไม่ชำระแค้นนี้ได้อย่างไรเล่าเพคะ!” พอฉินโม่ได้เห็นจ้าววิญญาณที่นอนอยู่ในลานบ้าน ก็รู้ว่าแผนการล้มเหลวแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ที่สมบูรณ์แข็งแรงไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ นางจึงมิได้ตกใจแต่อย่างใด มีเพียงความเคียดแค้นเท่านั้น

“นี่คือพระชายาโม่สินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้มตัวลงตรงหน้านางแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงทรงทำอะไรกลับหัวกลับหางตลอดเลยเล่า”

“กลับหัวกลับหางอันใดกัน” ฉินโม่เงยหน้าขึ้นแล้วถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

“พวกเราสังหารน้องชายท่านก็เพราะน้องชายท่านต้องการจะสังหารพวกเรา ที่ฆ่าล้างบางกลุ่มโอหังก็เพราะบุตรสาวและน้องชายท่านพาคนมากวาดล้างพวกเราก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “หากพวกเราไม่ต่อต้าน แล้วจะรอให้พวกเขามาฆ่าพวกเราหรือพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโม่ ท่านคิดว่ามีคนโง่เง่าถึงเพียงนั้นอยู่ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“หึ พวกเจ้าก็แค่ประชากรชั้นต่ำไม่กี่คนเท่านั้น หากจะฆ่าก็ฆ่าไปเถิด!” จนถึงตอนนี้ฉินโม่ก็ยังคงมีความคิดเช่นนี้อยู่

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางตนเองแล้วเอ่ยว่า “พวกเราคือประชากรชั้นต่ำไม่กี่คน ดังนั้นชีวิตของพวกเราย่อมไร้ค่า แต่อย่างเจ้าไก่ฟ้านี่… ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เขาก็เป็นประชากรชั้นต่ำด้วยหรือไม่”

“เจ้าไก่ฟ้าคือใคร อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้า หากมิใช่ประชากรชั้นต่ำแล้วจะเป็นอะไรได้เล่า!” ฉินโม่พูดโดยไม่คิดเลยสักนิด

“ปึง…”

แรงกดดันของจักรพรรดิจันทร์ประจิมกดดันจนฉินโม่หมอบลงบนพื้น มิอาจขยับเขยื้อนได้

ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นมองดูเจ้าไก่ฟ้าพลางเอ่ยว่า “เจ้าไก่ฟ้า เจ้าก็เป็นประชากรชั้นต่ำเหมือนพวกเราด้วยนะ!”

“ข้ามิใช่มนุษย์เสียหน่อย!” เจ้าไก่ฟ้าพูด

“คนสารเลว!” จักรพรรดิจันทร์ประจิมเดือดดาลกับวาจานี้ของฉินโม่แทบตาย เขาอดโมโหมิได้ จึงผุดลุกขึ้นยืนในทันใดแล้วเตะนางทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงยิ้มให้เจ้าไก่ฟ้ากับซือหม่าโยวเย่ว์อย่างขอโทษขอโพย “นางพูดจาเหลวไหล พวกท่านจะเป็นประชากรชั้นต่ำไปได้อย่างไรกันเล่า! พวกท่านเป็นแขกพิเศษของราชสำนักเราเชียวนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย เธอหัวเราะเสียงเย็นแล้วเอ่ยว่า “บอกว่าพวกเราเป็นประชากรชั้นต่ำก็แล้วไปเถิด ทว่าเจ้าไก่ฟ้าเป็นถึงสัตว์อสูรเหนือเทพ แต่กลับถูกเรียกว่าเป็นประชากรชั้นต่ำเช่นเดียวกัน ถ้าหากผู้อื่นรู้เข้า เจ้าไก่ฟ้าของพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า!”

เจ้าไก่ฟ้าได้ยินที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูดว่า เจ้าไก่ฟ้าของพวกเรา คำนั้นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น เจ้าเด็กนี่ช่างกล้านัก ถึงกับพูดเช่นนี้ออกมาได้ ช่างไม่กลัวตนโมโหเอาเสียเลย

แต่เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกต่อต้านสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

………………………………………