EP.224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง
เมื่อเปรียบเทียบกับสายฟ้ามรณะของฉินเหลย รัศมีพลังของหลินมู่อวี่อ่อนโยนกว่ามาก น้ำเต้าสีทองเป็นตัวแทนพลังแห่งชีวิตซึ่งให้ความรู้สึกสบายใจ ทว่าพลังปีศาจรอบใบดาบก็ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้น ทั้งสองกำลังออกไปเผชิญหน้ากัน เป็นเหตุให้เหล่าผู้ชมคาดหวังกับผลการประลองมาก
…
เหล่าหญิงสาวชนชั้นสูงนั่งดื่มชาหอมขณะสนทนากันอยู่บนอัฒจันทร์
“โอ้ สมแล้วที่ท่านฉินเหลยเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลิน รัศมีพลังของเขาช่างน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้ ท่านหลินมู่อวี่คงจะพ่ายแพ้เป็นแน่…”
“เป็นไปไม่ได้ ท่านหลินมู่อวี่จะต้องไม่แพ้!”
“เหตุใดหรือ?”
“เพราะท่านหลินมู่อวี่ดูดีกว่าท่านฉินเหลยมากอย่างไรล่ะ!”
“เหอะ ช่างไม่มียางอาย!”
“หน็อย! จะเป็นไปได้หรือที่คนอย่างเจ้าจะไม่ได้มองท่านหลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และเฟิงจี้สิงอยู่ตลอดเวลา?”
“ฮึ่ม! แน่นอน ข้ามิได้เป็นหญิงสาวเช่นนั้น!”
“แล้วเหตุใดจึงหายใจเร็วขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ อีกทั้งยังขยับเสื้อชั้นในที่หน้าอกเมื่อเห็นท่านหลินมู่อวี่ด้วย?”
“กรี๊ด! ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อปิดปากซะ!”
…
หินแข็งบนลานประลองหลุดลอยขึ้นบนอากาศท้าทายกฎแรงโน้มถ่วง เศษหินและก้อนกรวดลอยขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการปะทะพลังของหลินมู่อวี่และฉินเหลยก่อเกิดเป็นพายุหมุนพัดกระโชก
สายฟ้ายังคงส่องแสงแปลบปลาบขณะที่ดาบอัสนีทลายเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้าสู่รูปแบบการต่อสู้ขั้นสูงสุด ดวงตาฉินเหลยลุกโชนพร้อมหัวเราะ “อาอวี่ ลองลิ้มรสการโจมตีดาบอัสนีทลายกระบวนท่าที่หกของพี่ใหญ่หน่อยไหม!”
พูดจบฉินเหลยก็คำรามก้อง “อสนีทลายนภา!”
‘วิ้ง!’
ลมกระโชกอย่างรุนแรงพร้อมดาบอัสนีทลายกลายเป็นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นดาบอสนีทลายนับพัน!
ดวงตาหลินมู่อวี่กลายเป็นเย็นชาพร้อมยกฝ่ามือรวบรวมปราณยุทธ์ล้อมรอบตัว จิตวิญญาณงูมังกรที่สถิตอยู่ในกระบี่วิญญาณมังกรคำรามก้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่เกลียวเพลิงมังกรจะพุ่งจู่โจมดาบอสนีทลายทันที!
‘ตูม!’
อาวุธทั้งสองปะทะกันเกิดการระเบิดของพลังดังกึกก้อง กระบี่วิญญาณมังกรพุ่งปะทะดาบอสนีทลายเล่มแรกทันที จากนั้นก็เล่มสอง เล่มสาม และพุ่งไปอย่างต่อเนื่อง หลินมู่อวี่ผายฝ่ามือที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขณะที่ควบคุมกระบี่วิญญาณมังกร ลมพัดกระโชกรุนแรงจนต้องหรี่ตาลง หลินมู่อวี่ไม่เปิดโอกาสให้ฉินเหลยได้โจมตี!
“น่าสนุกนี่!”
ฉินเหลยคำรามก้องขณะที่รวบรวมปราณเพิ่มเพื่อโจมตีด้วยอสนีทลายนภาอย่างดุเดือด!
หลินมู่อวี่ไม่สามารถถอยหนีได้ มิเช่นนั้นร่างกายคงฉีกออกจากกันเป็นแน่! เขาไม่คิดเลยว่าฉินเหลยจะสามารถหยุดการโจมตีอย่างดุเดือดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น หลินมู่อวี่คงต้องเอาชนะในศึกครานี้ให้ได้
พลังเจ็ดประทีปไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเมื่อกระบี่วิญญาณมังกรทะลวงอัสนีทลายกว่าร้อยเล่ม มันก็เริ่มอ่อนแรง เมื่อเทียบกันแล้ว อัสนีทลายนภาของฉินเหลยยังทรงพลังไม่น้อยลงเลย!
ลองอีกครั้ง!
หลินมู่อวี่เปิดฝ่ามือพร้อมพลังสามประทีปพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง แสงดาวปรากฏขึ้นบนลานประลองก่อนจะล้อมรอบกระบี่วิญญาณมังกร ‘ตูม!’ แสงสีทองระเบิดขึ้น ราวกับกระบี่วิญญาณมังกรได้รับการฟื้นพลัง มันพุ่งตรงไปที่ฉินเหลยพร้อมทะลวงดาบอสนีทลายไปอีกหลายสิบเล่มทันที!
หลินมู่อวี่ใช้พละกำลังทั้งหมดในการควบคุมกระบี่วิญญาณมังกร ใบหน้าเขาซีดเซียวเล็กน้อยขณะที่แอบอธิษฐานในใจ ‘พี่ใหญ่รีบแพ้เถิด อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้สี่ประทีปเลย…มันทรงพลังเกินไป แม้แต่ข้าก็ยังเกรงกลัวที่จะใช้มัน…’
ท้ายที่สุดฉินเหลยก็ถูกกระแทกจนตกลานประลองพร้อมกระอักเลือดออกมา เขาไม่สามารถฝืนทนได้อีก ขณะที่โซ่เทวะเริ่มกระจัดกระจาย และดาบอสนีทลายก็เริ่มจางหายไป
‘วิ้ง วิ้ง…’
กระบี่วิญญาณมังกรยังคงพุ่งตรงไปที่ฉินเหลย ทว่าหลินมู่อวี่รีบดึงกลับก่อนที่จะแทงเขา จากนั้นมันก็ตกลงตรงหน้าหลินมู่อวี่ราวกับมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
ฉินเหลยหอบหายใจขณะที่เช็ดเลือดออกจากมุมปาก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินมู่อวี่ “ยอดเยี่ยม…น่าพอใจมาก…อาอวี่ เจ้าได้พลังแปลกประหลาดนี้มาจากที่แห่งใด? การโจมตีดาบอสนีทลายกระบวนท่าที่หกของข้าทรงพลังมาก แม้แต่เฟิงจี้สิงก็สกัดกั้นไม่ได้ ทว่าเจ้าเด็กนี่…ไม่เปิดโอกาสให้ข้าโจมตีได้เลย ไม่ธรรมดาจริงๆ…
ใบหน้าหลินมู่อวี่ซีดเซียวก่อนจะค่อยๆ หยิบด้ามกระบี่ขึ้นมา ร่างกายของเขาโงนเงนเล็กน้อย “ข้าใช้พลังทั้งหมดไปแล้ว หากโจมตีพลาด คงถูกพี่ฉินเหลยเฉือนเป็นชิ้นๆ แน่”
ฉินเหลยหัวเราะ “ข้าแพ้แล้ว อาอวี่ไปแข่งกับเฟิงจี้สิงชิงอันดับหนึ่งซะ!”
“ขอบคุณพี่ฉินเหลยที่ออมมือให้ข้า”
“เหอะ ข้าไม่ได้ออมมือเลย คิดว่าข้าไม่ต้องการเหรียญตรามังกรทองหรืออย่างไร!”
ฉินเหลยเช็ดมุมอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮึ่ม ทหารของข้ามีเพียงเจ็ดพันนาย หากได้เหรียญตรามังกรทองมา ข้าคงจะรวบรวมกองทัพทหารจากมณฑลชางหนานและขยายกองกำลังให้ถึงหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย!”
หลินมู่อวี่เดินเข้ามาประคองฉินเหลย “เจ็ดพันนายก็เพียงพอแล้ว มากกว่านี้คงเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ”
“นั่นก็ใช่…”
…
ขณะเดียวกันก็มีผู้ดูแลขึ้นมาที่ลานประลองพร้อมตะโกนเสียงดัง “หลินมู่อวี่ชนะแล้ว! ท่านฉินเหลยและท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะประลองเพื่อชิงอันดับสามและอันดับสี่! ต่อจากนั้นท่านเฟิงจี้สิงและท่านหลินมู่อวี่จะต่อสู้เพื่อชิงอันดับหนึ่ง!”
ฝูงชนต่างปรบมืออย่างกึกก้อง ในที่สุดก็มาถึงโค้งสุดท้ายของการประลอง
เฟิงจี้สิงเป็นที่รู้จักกันในฉายา ‘พยัคฆ์แห่งถนนทงเทียน’ ส่วนหลินมู่อวี่คือผู้มีพรสวรรค์ในรอบร้อยปีแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ คนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์รักษาพระองค์พิทักษ์เมืองหลวงเป็นเวลาเกือบเจ็ดปี ขณะที่อีกคนเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตองค์หญิงอินได้ถึงสองครา และสามารถเพิ่มระดับวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับสิบ อีกทั้งยังสามารถทะลวงวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งอย่างโซ่เทวะได้ แล้วการต่อสู้นี้จะลงเอยเช่นไร?
ทุกคนตั้งตารอการประลองของทั้งคู่
ขณะเดียวกันฉินอินก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างเคารพ “เสด็จพ่อ พี่ใหญ่อาอวี่ต่อสู้อย่างหนักและใช้ปราณยุทธ์ไปพอสมควร ขณะที่ผู้บัญชาการเฟิงได้พักฟื้นเป็นเวลานาน หากต่อสู้กันตอนนี้คงไม่ยุติธรรมสำหรับพี่อาอวี่ ลูกมีความประสงค์ให้เวลาพี่อาอวี่ได้พักฟื้นเสียก่อน แล้วค่อยให้ทั้งสองต่อสู้กันหลังจากหยุดพักสองชั่วโมง”
ฉินจิ้นพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “ที่เสี่ยวอินว่ามานั้นพ่อเห็นด้วย ให้ทั้งสองต่อสู้หลังพักสองชั่วโมงเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ!”
ไกลออกไป หลินมู่อวี่แสดงท่าทางขอบคุณฉินอิน
ฉินจิ้นหันมองเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหลย ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าใครได้เหรียญตรามังกรทองไป ทั้งสี่ก็จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา สำหรับหลินฉางชิงและมู่หรงโจว ทั้งสองมิได้มีความภักดีอย่างแท้จริง
…
หลินมู่อวี่นั่งลงบนลานหินอย่างสงบและใช้หลอมกระดูกมังกรฟื้นฟูปราณ การต่อสู้กับฉินเหลยต้องใช้พลังไปมากสมควร หากประลองตอนนี้ คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเฟิงจี้สิงที่สภาพสมบูรณ์ได้ อีกทั้งเพลงดาบเฟิงสิงที่เขาสร้างขึ้นมาเองนั้นแข็งแกร่งมาก หลินมู่อวี่คงไม่สามารถต่อกรได้แม้จะใช้พลังทั้งหมด แทบไม่ต้องพูดถึงการจะเอาชนะด้วยร่างกายที่อ่อนแอขณะนี้เลย…
เฟิงจี้สิงถือดาบสะบั้นวาโยมานั่งข้างหลินมู่อวี่ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ หากเจ้ายอมแพ้ พี่เฟิงจะเลี้ยงซาลาเปาไส้เนื้อและไส้จื่อยินตลอดทั้งเดือนเลย เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม?”
หลินมู่อวี่หรี่ตาลง “หยุดเลย ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก”
เฟิงจี้สิงพูดต่อทั้งรอยยิ้ม “อาอวี่ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับองค์หญิงอินหรือ? คิดว่านางงดงามที่สุดในปฐพีใช่หรือไม่?”
“นั่น…”
หัวใจหลินมู่อวี่เต้นเร็วเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าเฟิงจี้สิงกำลังวางแผนจะทำอะไรอยู่ จึงสงบใจก่อนพูดว่า “ฮืม…องค์หญิงอินก็ถือว่างดงามใช้ได้…”
“ฮึ่ม เจ้ายังไม่หลงกลอีกรึ…”
เฟิงจี้สิงยังคงพยายามต่อ “อาอวี่ หากให้เลือกเจ้าจะแต่งงานกับคนไหน? นอกเหนือจากองค์หญิงอิน ก็มีองค์หญิงซี และสาวงามฉู่เหยา เจ้าจะเลือกใคร?”
หลินมู่อวี่จ้องกลับ “หยุดได้แล้ว ข้าไม่เลือกใครทั้งนั้น!”
“อย่างนั้นเหรอ? ช่างน่าเสียดาย…”
เฟิงจี้สิงผิวปากขณะที่นั่งลงบนลานหินข้างหลินมู่อวี่ ท่าทางเขาไม่สมกับเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลินแม้แต่น้อย เหมือนโจรป่ามากกว่า…จากนั้นเฟิงจี้สิงก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรแต่งงานกับองค์หญิงอินและองค์หญิงซีในคราเดียว คนหนึ่งเป็นเมียหลวง ส่วนอีกคนเป็นนางบำเรอ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ฮะ…ฮ่าๆๆ”
ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ “พี่เฟิงใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดหลอกล่อข้า…ฮ่าๆ อันดับหนึ่งในการประลองยุทธ์สำคัญกับพี่เฟิงถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอนว่าสำคัญมาก!” เฟิงจี้สิงเผยธาตุแท้ออกมา “อันดับหนึ่งได้หนึ่งแสนเหรียญทอง อันดับสองได้เพียงสามหมื่นเหรียญทอง นั่นไม่พอจะซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงด้วยซ้ำ…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่กำลังพักฟื้นก็ลืมตาขึ้นมาถาม “จะต้องการบ้านหลังใหญ่ไปเพื่ออะไร?”
“ข้าจะแต่งงานโดยไม่มีบ้านหลังใหญ่ได้อย่างไร?” เฟิงจี้สิงเบิกตากว้าง
“เจ้าไม่มีเมียด้วยซ้ำ…” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตอกกลับ
เฟิงจี้สิงพลันชักดาบสะบั้นวาโยพร้อมเลิกคิ้ว “หุบปากไปเลยฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน! หากเป็นชายชาตรีก็ลุกมาสู้กับข้าเดี๋ยวนี้!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง ก่อนจะหลับตาพักฟื้นต่อ “อาอวี่ อย่าหลงกลล่ะ เมื่อสามปีก่อนเพื่อให้ได้อันดับหนึ่ง สหายคนนี้พาข้าไปดื่มคืนก่อนการประลองโดยบอกว่าเป็นสุราข้าว ทว่าความจริงเป็นสุราที่แรงมาก อีกทั้งยังพาหญิงสาวมากมายจากหอชุนฮวามาดื่มด้วย จนทำให้ข้าเมาค้างแล้วเอาชนะไป ฮึ่ม! เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก…”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงแพ้พี่เฟิงไม่ได้แล้ว ข้าก็ต้องการบ้านหลังใหญ่และแต่งงานเหมือนกัน…”
เฟิงจี้สิงเอามือกุมหน้าผากและหัวเราะลั่น “โชคร้ายที่มารู้จักพวกเจ้าจริงๆ”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง “หากเหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์รู้ว่าเฟิงจี้สิงเป็นคนเช่นนี้ ข้าสงสัยเสียจริงว่าจะยังชื่นชมเจ้าอยู่หรือไม่ ฮ่าๆๆ”
หลินมู่อวี่เพียงยิ้มและมิได้พูดสิ่งใด
…
สองชั่วโมงผ่านไปเร็วมากจนถึงเวลาที่ต้องต่อสู้
หลินมู่อวี่โคจรปราณอย่างเงียบเชียบและพบว่าฟื้นฟูปราณไปได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขาสามารถต่อสู้กับเฟิงจี้สิงได้จนจบ!
………………………………….