ตอนที่ 308 เผชิญอสูรขั้นห้าอีกครั้ง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ผู้ที่ออกเสียง คือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าตาหมดจดสะสวยหาคนเทียบยากผู้นั้น

 

 

ว่าไปก็แปลก บวกกับสี่คนนี้ บัดนี้มีรวมยี่สิบคน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในนี้มีเพียงสามคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์สองคน ดันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งคู่

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวผู้นี้ก็คือหนึ่งในนั้น เพียงแต่นางน่าจะเย็นชาทะนงเป็นนิสัย แทบจะไม่ออกเสียงเลย

 

 

“สหายเต๋าหลัวมีอะไรชี้แนะ?” มั่วชิงเฉินอมยิ้มถามว่า สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรหญิง มักมีความรู้สึกใกล้ชิดสองสามส่วน

 

 

“ไม่มีอะไรชี้แนะ กระพรวนคู่นี้ ให้ข้าได้หรือไม่?” ต่อให้ถือว่าเป็นการขอร้องผู้อื่น เสียงของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวยังคงเย็นชา คนอื่นได้ยินเข้า ก็เหมือนแฝงความหมายของการดูถูกสองสามส่วนแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนที่เป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อน ชื่อว่าซุนอาหนิว ก่อนหน้านี้เคยพูดถึงว่า คนผู้นี้เซ่อซ่าเล็กน้อย ในตาของเขาไม่มีสวยหรือขี้เหร่อะไรหรอกนะ อย่างมากก็มีเพียงความแตกต่างระหว่างชายหญิง

 

 

เขาเห็นมั่วชิงเฉินจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ด้วยความเร็วที่น่าตกใจกับตา อีกทั้งยังสู้รบที่หุบเขาลั่วเยี่ยนภายใต้การนำของนางนานถึงเพียงนี้ ในใจยอมศิโรราบต่อนางมานานแล้ว

 

 

คนประเภทนี้เมื่อใดที่ยอมศิโรราบต่อใครสักคน ก็ยอมให้คนอื่นไม่เคารพไม่ได้ ทันใดนั้นจึงโวยวายเสียงดังว่า “เรื่องอะไรต้องให้เจ้าล่ะ?”

 

 

เมื่อคำพูดหลุดออกไป ในถ้ำก็เงียบลงอย่างไม่ค่อยปรากฏ ไม่ว่าศิษย์พรรคเหยากวงหรือว่าอีกสามคนที่เหลือ แทบจะไม่คิดว่าต่อหน้าสาวสวยเช่นนี้ ยังมีผู้ชายที่พูดจาไม่เกรงใจเช่นนี้ได้อีก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เอ่ยเสียงเย็นว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ต่อจากนั้นสายตามองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว หินวิญญาณหนึ่งพันห้าร้อยก้อน กระพรวนคู่นี่เจ้าขายหรือไม่?”

 

 

“ซื๊ด…” เสียงสูดลมของทุกคนดังขึ้นในถ้ำทันที

 

 

ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่รอดชีวิตจากการผ่านศึกเต๋ามารล้วนร่ำรวย ทว่าหินวิญญาณที่ได้มาส่วนใหญ่ล้วนแลกเป็นโอสถต่างๆ ยันต์และอาวุธเวทหมดแล้ว หากบอกว่าเอาหินวิญญาณหนึ่งพันห้าร้อยก้อนออกมาทันทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

 

สายตาของผู้คนที่ตกลงบนหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวจึงน่าครุ่นคิดขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะแผ่วเบา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวผู้นี้จะมั่นใจตนเองสูงเกินไปหน่อยแล้ว แม้นางมีตบะระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ ฝ่ายตนกลับมีสิบหกคน เปิดเผยสมบัติ นางไม่กลัวคนฆ่าคนชิงทรัพย์หรือ หรือว่า มีดีอะไร?

 

 

ใครจะรู้ว่าที่มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะแผ่วเบา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวเห็นแล้วกลับเข้าใจผิด จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “สองพันก้อน”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหน้าว่า “ตกลง”

 

 

แม้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำใช้หินวิญญาณทุ่มใส่คนเช่นนี้ ทว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องเป็นปฏิปักษ์กับเงิน

 

 

กระพรวนคู่นั้นเป็นอาวุธเวทชั้นเลิศ หินวิญญาณสองพันก้อน ราคาสูงไปแล้วจริงๆ

 

 

จัดการเขาพิชิตเซียนและกระพรวนคู่เสร็จ กี่หยกชิ้นสุดท้ายก็ถูกมั่วชิงเฉินเก็บขึ้น ยังดีครั้งนี้ไม่มีใครพูดอะไร มิเช่นนั้นก็เป็นได้แค่หาเรื่องใส่ตัวแล้ว

 

 

“พวกเจ้าเข้ามาให้หมด” มั่วชิงเฉินกวักมือเรียกทุกคนของเหยากวง

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม” ทุกคนเฮโลล้อมขึ้นไปทันที

 

 

คนที่อยู่จนถึงตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่โง่ มั่วชิงเฉินเรียกพวกเขา เห็นชัดว่าจะแบ่งเงินกันแล้ว

 

 

มองดูท่าทางตาเป็นประกายแวววับของทุกคน มั่วชิงเฉินแอบตลก จากนั้นวางวัตถุดิบจากตัวเสือดำเพลิงม่วงและของที่ได้จากมิติเก็บวัตถุของมันบวกกับหินวิญญาณที่แลกมาใหม่ไว้ด้วยกันทั้งหมด

 

 

“หินวิญญาณพวกนี้ แบ่งเป็นสิบหกส่วน พวกเราคนละส่วน ของที่เหลือ ใครต้องการละก็สามารถใช้หินวิญญาณแลกได้ เหอโส่วอูวิญญาณดินพันปีที่แลกมาด้วยเขาพิชิตเซียนข้าเอาแล้ว ชดเชยหินวิญญาณให้ทุกคนหนึ่งพันห้าร้อยก้อน คงไม่มีความเห็นกระมัง” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

“ไม่มีความเห็น ไม่มีความเห็น” ทุกคนเก็บหินวิญญาณขึ้นอย่างเร็ว เริ่มเลือกของที่ตนเองต้องการ

 

 

อย่างรวดเร็ว ของพวกนั้นก็ถูกแบ่งเกลี้ยง เหลือเพียงหนังเสือ ตาเสือ และแส้เสือของเสือดำเพลิงม่วง สามสิ่งนี้เป็นของที่มีค่าที่สุดในตัวเสือดำเพลิงม่วงนอกจากมุกปีศาจ ผู้บำเพ็ญเพียรพวกนี้แม้สามารถเอาหินวิญญาณออกมาแลกได้ กลับรู้สึกว่าในเวลาเช่นนี้ให้หินวิญญาณแลกพวกนี้ไม่ค่อยคุ้ม

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “สามอย่างนี้หากทุกคนไม่ต้องการ ข้าก็เก็บไว้ก่อนแล้วกัน ก็ใช้หินวิญญาณหรือโอสถชดเชยให้พวกเจ้า”

 

 

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างดีใจ บัดนี้ศิษย์เหยากวงใครไม่รู้บ้างว่ามั่วชิงเฉินได้รับการถ่ายทอดวิชาจากนักพรตเหอกวง เป็นยอดฝีมือในการหลอมโอสถ โอสถที่นางหลอมคุณภาพดีมาก เป็นสินค้าที่ต้องแย่งกันเชียวล่ะ

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม ข้าจะแลกโอสถ”

 

 

“ข้าก็เช่นกัน ข้าก็แลกโอสถ”

 

 

ทุกคนเอะอะเอ็ดตะโร กลัวแสดงตัวช้าเกินไป โอสถของมั่วชิงเฉินก็แลกหมดแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ที่จริงที่มั่วชิงเฉินเสนอเช่นนี้ ก็มีใจแบ่งโอสถให้ผู้บำเพ็ญเพียรพวกนี้สักหน่อยอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียพวกเขาเพิ่งมาแม้ไม่ขาดโอสถ ทว่าอยู่ที่นี่นานวันเข้า การขาดแคลนโอสถ ยันต์ก็เป็นเรื่องแน่นอน

 

 

รอทุกคนแลกโอสถเสร็จ มั่วชิงเฉินโบกมือเก็บหนังเสือ ตาเสือและแส้เสือขึ้นมา

 

 

การแบ่งของรางวัลแห่งชัยชนะครั้งแรก ในที่สุดก็ปิดฉากลงอย่างมีความสุข

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางแห่งนิกายเจิ้นโซ่วอดกลืนน้ำลายไม่ได้ แอบส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่โจว คนพวกนี้ร่ำรวยจริงๆ…”

 

 

“ศิษย์น้องหยาง บัดนี้ไม่เหมือนยามอยู่ในสำนัก ศิษย์พี่ขอเตือนเจ้าคิดนอกลู่นอกทางให้น้อยหน่อย” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเอ่ยเสียงเย็น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางไม่ค่อยพอใจว่า “ศิษย์พี่โจว แม้พวกเขาคนมากเราไม่ก้มศีรษะให้ไม่ได้ ทว่าพูดเป็นการส่วนตัวสักสองสามประโยคก็ไม่ได้หรือ?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวแอบส่ายศีรษะ ศิษย์น้องคนนี้ยามอยู่ในสำนักชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว นานๆ ทีก็จะหาเงินจากทางที่ไม่ถูกไม่ควรบ้าง หากเป็นปกติก็ไม่เสียหายใหญ่โตอะไรหรอกนะ ทว่าบัดนี้หากเกิดความคิดที่ไม่ควรมี กลับเป็นการรนหาที่ตายแล้ว

 

 

“ศิษย์น้องหยาง บัดนี้วิกฤตอสูรอยู่ตรงหน้า ศัตรูของพวกเราก็คืออสูรปีศาจ นอกเหนือจากนี้ไม่ควรคิด เจ้าอย่าลืมนะ พวกเขาเป็นคนที่กลับมาจากสนามรบศึกเต๋ามารนะ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักลอยไปลอยมาพวกนั้น” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเตือนว่า

 

 

“รู้แล้ว ศิษย์พี่โจว” ผู้บำเพ็ญเพียรหยางตอบอย่างหมดอาลัยเล็กน้อย

 

 

ไม่รู้เพราะตั้งใจหรือว่าบังเอิญ สายตาของมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็กวาดมองมาทางนี้แล้วเก็บกลับไปอีก สองคนรู้สึกตกใจ สบตากันปราดหนึ่ง ไม่กล้าคุยกันลับๆ อีก

 

 

มั่วชิงเฉินกลับหัวเราะขึ้นมาว่า “สหายเต๋าโจว ไม่รู้ว่าเขาหลางหยานี้ บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร? ถิ่นของพรรคเจ้า ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอะไรต้านทานอยู่อีก ค่ายตั้งอยู่ที่ไหนอีก?”

 

 

พวกเขาออกศึกไม่ราบรื่น เพิ่งมาถึงที่นี่นักพรตซานอินก็ได้รับบาดเจ็บถูกพาตัวไป ตอนนี้งงไปหมด ไม่รู้ข้อมูลอะไรทั้งนั้น

 

 

“ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเทือกเขาหลางหยามีเมืองผู้บำเพ็ญเพียรเล็กๆ เมืองหนึ่ง ทัพอสูรปีศาจบุกมา เมืองเล็กถูกตีแตก ผู้คนหนีกันอลหม่าน อาจารย์อาหลานเฉิงจึงพาขบวนของเราหลบมาถึงเทือกเขาหลางหยานี้ ไม่คิดว่าอสูรปีศาจกลุ่มหนึ่งตามร่องรอยมาถึงนี่ ผู้นำก็คือเสือดำเพลิงม่วงขั้นหกตัวนั้น นอกจากนี้ยังมีอสูรปีศาจขั้นห้าสองตัว งูหลามใบไผ่ในนั้นถูกอาจารย์อาหลานเฉิงฆ่า อีกตัวหนึ่งก็คือหมีสีน้ำตาลที่หนีไปวันนี้” ผู้บำเพ็ญเพียรโจวในตาฉายแววสลด

 

 

“เช่นนี้แล้ว บัดนี้อสูรปีศาจของเทือกเขาหลางหยา ก็มีหมีสีน้ำตาลตัวนั้นเป็นผู้นำ?” มั่วชิงเฉินสบายใจเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายเท่าไร

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวพยักหน้าว่า “น่าจะใช่ อาจารย์อาหลานเฉิงเคยว่าไว้ ทัพใหญ่อสูรปีศาจล้วนไปโจมตีค่ายที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตั้งไว้ชั่วคราวที่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ที่กระจายมาทางนี้นับว่าไม่มาก

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” มั่วชิงเฉินรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย ยกตากวาดมองทุกคนรอบหนึ่งว่า “ทุกท่าน หมีสีน้ำตาลตัวนั้นเป็นอสูรปีศาจขั้นห้า ทว่าพวกเรามียี่สิบคน อีกทั้งข้าและสหายเต๋าหลัวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์อีก หากร่วมมือร่วมใจกันละก็ ต้องฆ่ามันได้แน่ วันนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ก็กวาดล้างอสูรปีศาจกลุ่มนั้นเสีย”

 

 

“ขอรับ!” ทุกคนของเหยากวงตอบรับพร้อมเพรียงกัน

 

 

สี่คนนั้นกลับมองหน้ากันปราดหนึ่ง ไม่ออกเสียง

 

 

“ใช่แล้ว สหายเต๋าหลัวและสหายเต๋าเนี่ย ก็เป็นคนของนิกายเจิ้นโซ่วหรือ?” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ถามขึ้น

 

 

สหายเต๋าแซ่เนี่ยเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าน้อยมาจากตระกูลบำเพ็ญเพียร บัดนี้นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก” พูดถึงตรงนี้ ในตาฉายแสงเย็นขึ้นแวบหนึ่ง

 

 

“สหายเต๋ามั่ว ตระกูลของสหายเต๋าเนี่ยอยู่ในเมืองเล็กนั่น ถูกอสูรปีศาจทำลายแล้ว” จู่ๆ เสียงทางจิตของสหายเต๋าแซ่โจวก็ดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินใบหน้าไม่แสดงความรู้สึก มองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัว

 

 

“ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวหลุดคำพูดออกมา สายตากลับไม่ห่างจากกระพรวนคู่ในมือ เห็นชัดว่าอยากเรียนรู้วิธีใช้แทบทนไม่ไหว

 

 

มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เดิมทีนางนึกว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวผู้นี้มาจากสำนักอะไรสักอย่าง ใครจะคิดว่ากลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ทว่าก็คิดเพียงเท่านี้ นางไม่มีเจตนาถามเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น

 

 

เมื่อตกลงได้แล้ว ทุกคนต่างคนต่างพักผ่อน

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบกี่หยกอันนั้นออกมา ทำความคุ้นเคยกับวิธีใช้ของมัน เวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ทุกคนเตรียมตัวเสร็จ เหลือคนเฝ้าถ้ำไว้สองคน คนที่เหลือเดินออกไปพร้อมกัน

 

 

จมูกของอสูรปีศาจไวยิ่งนัก พวกเขาไม่ปิดบังเบาะแสแม้แต่น้อย อย่างรวดเร็ว อสูรปีศาจฝูงนั้นก็ตามมาถึง

 

 

“มาแล้ว” หลิวต้าฝานเอ่ยเสียงเบา

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าเบาๆ กำชับว่า “ยังคงทำเหมือนยามอยู่หุบเขาลั่วเยี่ยน ใช้ค่ายกลกันศัตรู เจ้าบัญชาจากตรงกลางของสองฝ่าย ห้ามลนลาน”

 

 

“หัวหน้ากลุ่มวางใจว่า เดรัจฉานพวกนั้น วันนี้อย่าคิดหนีแม้แต่ตัวเดียว!” หลิวต้าฝานพูดจบโบกแขนทีหนึ่ง ทุกคนของเหยากวงก็ยืนประจำตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เดินหน้าเข้าหาอสูรปีศาจทีละนิดๆ ตามรูปขบวนการรบ

 

 

เห็นสี่คนนั้นสีหน้าแตกตื่น มั่วชิงเฉินก็ไม่พูดมาก เพียงแต่พยักหน้าให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวว่า “สหายเต๋าหลัว”

 

 

จากนั้นกระโดดตัวขึ้น ร่อนลงหน้าหมีสีน้ำตาล

 

 

เห็นเป็นหญิงมนุษย์เมื่อวานขวางอยู่หน้าตนเอง หมีสีน้ำตาลพิโรธขึ้นทันใด ไม่พูดแม้สักประโยค ก็ยื่นอุ้มเท้าออกตบมาที่มั่วชิงเฉิน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวไม่พูดอะไรสักคำ ตรงกันข้ามกลับนั่งลงที่เดิม

 

 

ศิษย์สองสามคนของเหยากวงเหลือบเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ในใจร้อนรน กลับติดที่ต้องรักษาค่ายกลต้านทานอสูรปีศาจ แยกตัวมาไม่ได้ จึงตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าจะให้หัวหน้ากลุ่มเรารับมือศัตรูคนเดียวไม่ได้นะ!”

 

 

“หุบปาก ตั้งใจสู้ศัตรู หัวหน้ากลุ่มไม่จำเป็นต้องให้เรากังวล!” หลิวต้าฝานตะคอกเสียงเข้ม ยกกระดานค่ายกลขึ้นสูง กระดาษค่ายกลเปล่งแสงวิญญาณ ธงสี่ลักษณะโดยผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนโบกขึ้นพร้อมเพรียงกัน แดงขาวเขียวดำแสงวิญญาณสี่สีผสมผสานกันเป็นลำแสงสี่สี ฝาครอบป้องกันสีรุ้งอันหนึ่งครอบทุกคนไว้ข้างใน

 

 

คาถาที่ละลานตา แสงวิญญาณสีต่างๆ ที่ปล่อยออกจากอาวุธเวทก็โถมเข้าหาอสูรปีศาจที่โจนทะยานมา ในพริบตาก็เอาชีวิตอสูรปีศาจได้สองตัว

 

 

มั่วชิงเฉินจรดปลายเท้า ร่างกายบินขึ้นมาเบาโหวง แล้วกางมือออก เถาวัลย์สองเส้นบินพุ่งออกมา ว่ายไปถึงหน้าหมียักษ์สีน้ำตาลเหมือนงูวิญญาณ

 

 

หมียักษ์สีน้ำตาลไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย อุ้งเท้าหมีสองข้างจับเถาวัลย์ไว้ข้างล่ะเส้น แล้วออกแรงลากถอยหลัง

 

 

แรงมหาศาลเหมือนจะผลักภูเขาพลิกทะเลได้ส่งผ่านมาตามเถาวัลย์ มั่วชิงเฉินกลับไม่ฝืนต้าน หากแต่บิดตัวตามแรงนี้ แล้วบินสูงขึ้นอีก

 

 

ในยามนี้เอง กี่หยกบินพุ่งออกจากแขนเสื้อเขียวของนาง นางตีเคล็ดวิญญาณออกมาหลายสิบสายอย่างคล่องแคล่ว ตามขึ้นไปติดๆ หายเข้ากี่หยกไป

 

 

กี่หยกเปล่งแสงวิญญาณวิบวับกลางอากาศ เริ่มบินวนอย่างรวดเร็วขึ้นมา