ตอนที่ 309 ทางเหนือมีหญิงงาม

พันธกานต์ปราณอัคคี

กี่หยกกลางหาว หมุนจนกลายเป็นกลุ่มแสงเจ็ดสีที่มองไม่ชัดอย่างรวดเร็ว สะบัดปลายแสงที่อ่อนช้อยงดงาม เป็นละอองกระจายหายไปในอากาศ ส่วนกี่หยกกลับบินไปที่หมีสีน้ำตาลด้วยความเร็วอันน่าตกใจ

 

 

หมีสีน้ำตาลยื่นอุ้งเท้าหมีออกมา ตะปบผลัวะๆ ขึ้นมา

 

 

รอบตัวมัน เพราะการตะปบอันรุนแรงเริ่มปรากฏกระแสอากาศวน ซี๊ดๆๆ วังวนพวกนั้นเหมือนหลุมดำที่ลึกไม่เห็นก้น ซ่อนอสูรร้ายไว้ข้างใน ส่งเสียงคำรามโฮกๆ และกี่หยกก็พุ่งเข้าไปในวังวนนี้

 

 

ในชั่วพริบตา มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ทันทีว่ากี่หยกหลุดจากการควบคุมของนาง สายใยที่ไร้เงื่อนไขระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและอาวุธเวทราวกับขาดสะบั้นลง

 

 

นางเข้าใจ วันเวลาที่ได้กี่หยกมาสั้นเกินไป ใช้ขึ้นมาย่อมไม่ได้ดั่งใจสักเท่าไร กลับไม่มีเวลาสนใจพวกนี้ นิ้วชี้และนิ้วกลางขวาชิดเข้าหากัน แสงวิญญาณที่ปลายนิ้วฉวัดเฉวียน เลื้อยขึ้นกลางอากาศเหมือนงูวิญญาณร่ายรำ จากนั้นยิงแสงวิญญาณตรงออกมาสายหนึ่ง หายเข้าไปในวังวน

 

 

แล้วก็เห็นกระแสอากาศวนที่กลืนกี่หยกเข้าไประเบิดออกโดยไร้เสียง กวนอากาศรอบๆ จนเหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อมออกเป็นระลอกๆ

 

 

กี่หยกดิ้นหลุดออกไป กะพริบแสงวิญญาณพุ่งตรงไปยังตัวหมีสีน้ำตาล

 

 

หมีสีน้ำตาลหนังหยาบเนื้อหนา อาวุธเวททั่วไปทำอะไรมันไม่ได้ กี่หยกไปถึงตรงหน้า ปลายด้านหนึ่งแหลมขึ้นโดยพลัน พาแสงวิญญาณควงสว่านมุดเข้าข้างใน

 

 

หมีสีน้ำตาลเจ็บขึ้นมาทันที ตะปบกี่หยกไปถึงกลางหาวโดยพลัน จากนั้นกระทืบเท้าสองข้างอย่างดุดัน

 

 

ครืนๆๆ เสียงแผ่นดินสะเทือนภูผาเลื่อนลั่นดังขึ้น

 

 

ลงไปตามเท้าหมีสีน้ำตาล พื้นดินเริ่มแยกออก รอยปรินับไม่ถ้วนลามไปตามตำแหน่งที่มั่วชิงเฉินอยู่ดุจมังกรดิน

 

 

ในยามนี้เอง เสียง ‘เต๊งๆๆ’ ลอยมา ในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวที่นั่งอยู่บนพื้นไม่รู้มีพิณสามสายเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร และเริ่มดีดขึ้นมา

 

 

ตามที่เสียงเพลงพลิกผัน พิณสามสายกะพริบแสงวิญญาณหลากสี ทอเป็นเมฆวิญญาณบนฟ้า ตามติดด้วยเสียงพิณดังทะลุชั้นเมฆขึ้นเสียงหนึ่ง เมฆวิญญาณบนฟ้าราวกับทานน้ำหนักไม่ไหว กลายเป็นฝนตกลงมา

 

 

ฝนวิญญาณงดงามพรายแพรวสาดลงมา กดมังกรดินที่คำรามอยู่ลงไปทันที แผ่นดินภูผาที่สะเทือนเลื่อนลั่นอยู่สงบลงในชั่วขณะนั้น

 

 

ฉวยโอกาสนี้ มั่วชิงเฉินตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง ปลายนิ้วชิดเข้าหากันแล้วแตะ แสงวิญญาณสายหนึ่งก็หายเข้าไปในกี่หยก

 

 

กี่หยกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือในตอนแรกใหญ่ขึ้นโดยพลัน บินถึงกลางหาวเริ่มหมุนวน สีเหลือเก่าโปร่งใสขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งเกือบว่างเปล่า ผสานเข้าเป็นสีเดียวกับฟ้าคราม ทันใดนั้นเส้นไหมนับไม่ถ้วนก็บินออกมาจากข้างใน

 

 

เส้นไหมพวกนั้นร่ายรำตามลม อีกทั้งรำอย่างฉวัดเฉวียน เหมือนม่านหยกที่พลิ้วไหวท่ามกลางเสียงดนตรี ‘เต๊งๆ’ บินครอบไปที่หมีสีน้ำตาล

 

 

หมีสีน้ำตาลตกตะลึงกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้นกะทันหัน เสียงที่ดังขึ้นแต่ละเสียง ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู กลับเหมือนเสียงฟ้าร้องลูกแล้วลูกเล่าดังขึ้นในสมองมัน ระเบิดจนมันมึนงง

 

 

และก็ในช่วงสั้นๆ ที่ตะลึงนี่เอง ม่านหยกก็ครอบลงมาจากฟ้าแล้ว ครอบหมีสีน้ำตาลไว้ในนั้นพอดี

 

 

ม่านหยกกลายเป็นเส้นไหมนับหมื่นใหม่ พันหมีสีน้ำตาลขึ้นราวกับดักแด้

 

 

หมีสีน้ำตาลสัมผัสได้ถึงวิกฤตที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คำรามออกมาอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ดึงทึ้งเส้นไหมบนตัวที่ยิ่งพันยิ่งมาก ราวกับไม่มีวันสิ้นสุดอย่างไม่คิดชีวิต

 

 

หมีสีน้ำตาลเช่นนี้มีพลังมหาศาลแต่กำเนิด มันดึงทึ้งอย่างไม่คิดชีวิต คิดไม่ถึงว่าเส้นไหมที่เหนียวยิ่งพวกนั้นก็มีร่องรอยของการปริขาดแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินจะปล่อยให้มันดิ้นหลุดได้อย่างไรกัน โคจรพลังวิญญาณนิ้วมือราวกับร่ายรำตีเคล็ดวิญญาณที่ซับซ้อนเหลือจะกล่าวออก รูตรงกลางของกี่หยกมีเส้นไหมมากขึ้นเหนียวขึ้นพุ่งออกมา ทอเป็นผ้าไหมสีเงินเป็นเงามันยิบยับในชั่วอึดใจ ด้านบนนั้น ยังปักผีเสื้อสีฟ้าไว้นับไม่ถ้วนด้วย

 

 

กระตุกผ้าไหมเบาๆ ผีเสื้อสีฟ้าพร้อมด้วยลำแสงบินขึ้นอย่างฉวัดเฉวียน ร่อนลงบนเส้นไหมที่พันหมีสีน้ำตาลไว้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

 

 

เสียงพรึบดังขึ้น เส้นไหมพวกนั้นถูกแสงสีฟ้าจุดติด กลายเป็นสะเก็ดไฟลามทุ่งในพริบตา

 

 

ไฟลุกท่วมหมีสีน้ำตาลทันที ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ผสานปนเปด้วยกลิ่นไหม้ของขนจางๆ

 

 

มันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนและเจ็บปวด ร่างกายมหึมาล้มลงพื้นเริ่มกลิ้งขึ้นมา พื้นดินเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

 

 

แย่แล้ว!

 

 

เห็นหมีสีน้ำตาลกลิ้งชนไปทางกำแพงภูผา มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หากให้มันชนถูกกำแพงภูผา ดีไม่ดีจะทำให้เกิดภูเขาถล่ม!

 

 

อย่างไม่ลังเล เส้นผมเป็นสาย ง้างธนูกลางอากาศ สิ่งที่ยิงออกไปครั้งนี้คือกระบี่บินโลหะเล่มหนึ่ง

 

 

กระบี่บินเล่มน้ำบินไปถึงหน้าหมีสีน้ำตาลด้วยความเร็วที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ เสียบเข้าหัวมันอย่างแม่นยำ

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นโล่งอกเล็กน้อย ที่นางใช้เส้นผมเป็นสาย ก็เพราะฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาถึงระดับหนึ่งแล้ว จิตตระหนักของนางสามารถแนบไว้บนสิ่งของทำการโจมตีได้แล้ว

 

 

และสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับนาง เหมาะให้จิตตระหนักแนบไว้ นอกจากเส้นผมเต็มศีรษะก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว

 

 

การป้องกันของหมียักษ์สีน้ำตาลแข็งแกร่งเหลือคณา ส่วนหัวแม้อ่อนบางสักหน่อย ทว่าก็ไม่ใช่ว่าสามารถยิงเข้าได้โดยอาศัยกระบี่บินเพียงเล่มเดียว หากแต่เพราะบนกระบี่บินมีจิตตระหนักโจมตีของนาง ถึงได้ผลอัศจรรย์เช่นนี้

 

 

ตามด้วยเสียงพิณสูงขึ้นเสียงหนึ่ง หมียักษ์สีน้ำตาลพ่นลมหายใจเฮือกสุดท้ายออก แล้วล้มลงพื้นไม่ขยับเขยื้อน

 

 

มั่วชิงเฉินโบกมือ กี่หยกบินกลับมือนาง ส่วนเส้นไหมนับหมื่นที่พันร่างกายหมียักษ์ไว้ก็ถอยไปเหมือนกระแสน้ำลง

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับไป พอดีเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวเก็บพิณสามสายแล้วยืนขึ้น และยิ้มหันไปตามทิศทางที่หมียักษ์สีน้ำตาลอยู่อย่างไม่รู้ตัว

 

 

กระโปรงสีเทาควันพลิ้วไหวตามลม ผีเสื้อสีรุ้งฉลุลายหลายตัวที่ปักอยู่ที่ชายกระโปรงเหมือนมีชีวิต

 

 

ทางเหนือมีหญิงงาม ทั่วหล้ามีเพียงหนึ่งเดียวและอยู่อย่างอิสระ

 

 

ท่วงท่าสง่างามในชั่วขณะนั้นของนาง ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉินก็แอบศิโรราบให้

 

 

สตรีเช่นนี้ น่าจะมั่นใจในตนเองและอิสระสินะ

 

 

“อย่าให้พวกมันหนีได้!” เห็นหมีสีน้ำตาลตายแล้ว อสูรปีศาจหันหลังหนี หลิวต้าฝานตะโกนเสียงดังว่า

 

 

จัดการอสูรปีศาจขั้นห้าแล้ว ไม่ต่างกับการย้ายก้อนหินใหญ่ที่ทับอยู่บนอกทุกคนทิ้งไป ชั่วขณะหนึ่งขวัญกำลังใจฮึกเหิม ค่ายกลสี่ลักษณะที่ได้ทั้งโจมตีและป้องกันคล่องแคล่วราบรื่น ร่วมมือกันอย่างรู้ใจยิ่งขึ้น

 

 

คาถา อาวุธเวทที่งดงามเจิดจ้านับไม่ถ้วนตีไปที่อสูรปีศาจ ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนระงมไปทั่ว

 

 

นี่ไม่ใช่การสู้กันอย่างไม่เจ้าตายก็ข้าม้วยอีกแล้ว หากแต่เป็นการเข่นฆ่าฝ่ายเดียว

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บกี่หยกกลับมา จัดการอสูรปีศาจตัวสุดท้ายลง

 

 

ผู้คนนิ่งเงียบลงชั่วครู่ และจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงโห่ร้องขึ้น ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าศึกมนุษย์ปีศาจยกนี้ ดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่คนบาดเจ็บล้มตายสักคน

 

 

ชนะขาดลอย!

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนิ่งเงียบ อธิบายรสชาติในใจไม่ถูก อดนึกถึงศิษย์ร่วมสำนักเหล่านั้นที่ดับสูญไปนานแล้วไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออก ทุกคนเงียบลงทันที เริ่มเก็บของรางวัลแห่งชัยชนะ ไม่นานนักทุกอย่างก็เก็บกวาดเรียบร้อย ย้อนกลับถ้ำ

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ ไม่เป็นไรนะ?” ในสองคนที่เฝ้าถ้ำ ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จางผู้หนึ่งถามขึ้น

 

 

ไม่รอให้มั่วชิงเฉินพูด ซุนอาหนิวก็แสยะปากยิ้มว่า “ไร้สาระ มีหัวหน้ากลุ่มนำ จะมีเรื่องอะไรได้”

 

 

“เอ๊ะ เจ้าวัวตัวนี้นี่ ไยถึงไม่รู้ดีรู้ชั่วนะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จางพึมพำว่า

 

 

“เอาล่ะ แบ่งของรางวัลกันก่อนเถอะ” มั่วชิงเฉินขัดจังหวะสองคนนี้

 

 

ทุกคนยิ้มระรื่นทันที เริ่มล้วงศพอสูรปีศาจออกมา

 

 

สองคนที่เฝ้าถ้ำตายิ่งลืมยิ่งโต ตามศพอสูรปีศาจถูกโยนออกมาทีละศพๆ

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม มะ…มากเพียงนี้เชียว อสูรปีศาจพวกนั้นมิต้องตายไปครึ่งใหญ่หรือ?” ศิษย์เฝ้าถ้ำอีกคนหนึ่งตกใจจนพูดติดอ่างแล้ว เขาแซ่เฉา

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มหวาน “ตายหมด”

 

 

“ซื๊ด” ทั้งสองคนสูดลมกลับทันที บนใบหน้าฉายแววฝ่ายฝันและเสียดายรางๆ

 

 

แล้วก็ได้ยินหลิวต้าฝานหัวเราะว่า “แหะๆ พวกเจ้าสองคนวันนี้ไม่ได้เข้าร่วมการรบ หัวหน้ากลุ่ม ให้ข้าว่า วัตถุดิบบนตัวอสูรปีศาจนี่…”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉาก็ไม่ติดอ่างแล้ว รีบพูดแทรกว่า “หัวหน้ากลุ่ม เจ้าจะฟังหลิวต้าฝานไม่ได้นะ!”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มระรื่น ไม่พูด แล้วก็ได้ยินหลิวต้าฝานเอ่ยเนิบนาบว่า “ไอยา เดิมทีข้าจะบอกว่าพวกเจ้าก็ไม่มีโอกาสเข้าร่วมการรบ เป็นการชดเชยควรจะแบ่งมากขึ้นสักหน่อย ในเมื่อไม่เต็มใจ เช่นนั้น…”

 

 

“เจ้าบ้านี่!” ทั้งสองคนทุบไหล่เขาทีหนึ่ง

 

 

“เอาล่ะ รีบแบ่งเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” มั่วชิงเฉินถึงเอ่ยปาก หยุดการหยอกล้อเล่นของพวกเขา

 

 

คนเหล่านี้ล้วนเผ่าศึกเต๋ามารมาก่อน แบ่งของรางวัลกันอย่างไรมีธรรมเนียมอยู่ก่อนแล้ว สองคนของนิกายเจิ้นโซ่วและผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยก็ไม่ได้พูดมาก ล้วนแบ่งสันตามส่วน

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บวัตถุดิบที่มีราคาบนตัวหมีสีน้ำตาลออกมา เอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวว่า “สหายเต๋าหลัว หมีสีน้ำตาลขั้นห้าตัวนี้พวกเราร่วมแรงกันฆ่า พวกเราแบ่งเท่ากันดีหรือไม่?”

 

 

นิ่งเงียบครู่หนึ่ง เสียงของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวถึงดังขึ้นว่า “ไม่”

 

 

น้ำเสียงเย็นชา หางตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยยากจะปิดบังความทะนงสายนั้น สีหน้าที่มีต่อมั่วชิงเฉินไม่ได้ละมุนลงเพราะการสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเมื่อครู่เลย

 

 

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป ในถ้ำเงียบกริบลงทันที

 

 

“เอ๊ะ นังผู้หญิงนี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่ายังคิดจะอมไว้คนเดียวหรืออย่างไร?” ซุนอาหนิวโกรธขึ้นมาทันที ลืมความแตกต่างของตบะระหว่างทั้งสองคนแล้ว

 

 

ไม่ผิดตามคาด ได้ยิน ‘นังผู้หญิง’ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวสีหน้าเย็นเยียบ ยกมือขึ้นแสงแรงกล้าสายหนึ่งก็ตบไปทางซุนอาหนิว

 

 

มั่วชิงเฉินโบกแขนเสื้อเขียว ขวางแสงแรงไว้ แล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “สหายเต๋าหลัว ศิษย์น้องซุนใจตรงปากไว ขออย่างได้ใส่ใจ ไม่ทราบสหายเต๋าหลัวคิดว่าควรแบ่งเช่นไร?”

 

 

นางมักรู้สึกว่า หญิงสาวที่สามารถบรรเลงเสียงพิณออกมาได้ระทึกสดใสเช่นนั้น ไม่ควรเป็นคนละโมบโลภมาก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวสีหน้ายังคงทะนงเย็นชา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ฆ่าหมีสีน้ำตาล กี่หยกเจ้าโจมตีเป็นหลัก เสียงพิณสามสายข้าโจมตีเสริม เจ้าหกข้าสี่ ถึงสมเหตุผล”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างสดใส เผยให้เห็นลักยิ้มที่น่าหลงใหลคู่หนึ่งว่า “สหายเต๋าหลัวพูดได้ถูกต้อง เช่นนี้สมเหตุผลจริงๆ”

 

 

ไม่บ่ายเบี่ยง ไม่เสแสร้ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหลัวจึงยกตามองนางปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว สิ่งที่เห็นมีเพียงสายตาที่กระจ่างใสที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้และรอยยิ้มนิ่งเรียบบริสุทธิ์

 

 

บรรยากาศที่จู่ๆ ก็แตกต่างออกไปนี้กลับถูกเด็กเลี้ยงวัวซุนอาหนิวขัดจังหวะว่า “สหายเต๋าหลัว ขอโทษด้วยนะ เจ้าในใจมีไผ่[1] จิตใจกว้างขวาง อย่าถือสาข้าเลย…” พลางพูดยังพลางเกาศีรษะอย่างโง่งม

 

 

“ฟู่” มีเสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมา

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้ากระอักกระอ่วน คนอะไรกันนี่ ความรู้มีจำกัดไม่พูดสุภาษิตจะได้หรือไม่ ท่านครูในสำนักเป็นครูภาษาอะไร ถึงปล่อยเจ้าเซ่อนี่ออกมาทำขายหน้า

 

 

เรื่องแทรกเล็กๆ นี้ผ่านไป ทั้งสองคนแบ่งหมีสีน้ำตาลเสร็จ มั่วชิงเฉินกวาดมองทุกคนว่า “วันนี้เราสู้ได้อย่างสวยงาม อสูรปีศาจฝูงนั้นถูกกำจัดอย่างสะอาดหมดจดแล้ว ทว่าเขาหลางหยานี้ทอดยาวหมื่นลี้ ไม่รู้ที่อื่นมีอสูรปีศาจหรือไม่ หรือมีอสูรปีศาจจากที่อื่นรุดมาหรือไม่ ทุกคนว่าเช่นนี้เป็นเช่นไร ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำ อีกกลุ่มหนึ่งออกไปสำรวจสถานการณ์ของอสูรปีศาจ สองกลุ่มสลับกัน ต้องไม่ปล่อยให้อสูรปีศาจข้ามเขาหลางหยานี้ไปได้แม้แต่ตัวเดียว!”

 

 

“ดี” ทุกคนต่างพยักหน้า

 

 

กลับได้ยินเสียงหนึ่งว่า “อสูรปีศาจฝูงนี้ถูกกำจัดแล้ว หรือว่าพวกเราไม่ไปกันหรือ?”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ในใจมีไผ่ ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงการทำกิจการงานใดก็ตาม เมื่อมีการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มทำงาน ย่อมทำให้งานนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี