ตอนที่ 310 ถูกกักในที่แคบ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ทุกคนจึงมองไป

 

 

คนที่พูด คือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางแห่งนิกายเจิ้นโซ่ว

 

 

“ศิษย์น้องหยาง” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเรียกเสียงเบา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางไม่ค่อยเข้าใจว่า “เป็นอันใด มีอะไรไม่ถูกหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มขึ้นเบาๆ ว่า “สหายเต๋าหยาง คำสั่งที่เหยากวงเราได้รับ คือปกป้องเทือกเขาหลางหยา ดังนั้นที่เจ้าพูดไม่มีอะไรผิด พวกเราไม่ไป ทว่าทั้งสี่ท่านเชิญตามสบายได้”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางจ้องมั่วชิงเฉิน สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด สุดท้ายท่ามกลางสายตาที่สงบของนาง หันไปหาผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวว่า “ศิษย์พี่โจว เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวชะงัก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางน้ำเสียงร้อนรนขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่โจว เจ้าลืมแล้วหรือว่าเราหนีมาถึงเขาหลางหยาได้อย่างไร ศิษย์ร่วมสำนักพวกนั้นตายอย่างไรอีก? เขาหลางหยาเป็นทางผ่านที่จำเป็นไปสู่เมืองหลางหยา คนธรรมดานับหมื่นที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็เหมือนเหยื่อล่อรสโอชา จะเกี่ยวเอาอสูรปีศาจรุดมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงยามนั้น ต่อให้เราคิดจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว!”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวขมวดคิ้วขึ้น นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะอย่างช้าๆ

 

 

“ศิษย์พี่โจว!”

 

 

“ศิษย์น้องหยาง เจ้าก็พูดแล้ว เมืองหลางหยามีคนธรรมดานับหมื่นอาศัยอยู่ หากเราไปแล้ว คนธรรมดาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเนื้อบนเขียง ถึงเวลาเลือดจะไหลเป็นแม่น้ำ คนตายเป็นเบือนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

 

 

“ศิษย์พี่โจว เจ้าคุณธรรมสูงส่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร คนธรรมดาพวกนั้น เกี่ยวอะไรกับเราด้วย?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางหลุดปากออกมา

 

 

แล้วก็มีศิษย์เหยากวงหัวเราะเย้ยออกมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางดูเหมือนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจากไป เกลี้ยกล่อมอย่างไม่ตายใจว่า “ศิษย์พี่โจว เจ้ายังต้องส่งเขาพิชิตเซียนกลับสำนักมิใช่หรือ หากอยู่ที่นี่ จะทำความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์หลานเฉิงให้ลุล่วงได้อย่างไร?”

 

 

หมัดผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวคลายแล้วก็กำ กำแล้วก็คลายอีก เมื่อสะบัดมือเขาพิชิตเซียนก็ปรากฏขึ้นในมือ แล้วพูดกัดฟันว่า “ศิษย์น้องหยาง หากเจ้าตัดสินใจแน่วแน่จะจากไป ก็นำเขาพิชิตเซียนนี้กลับสำนักเถอะ”

 

 

พูดพลางยัดเขาพิชิตเซียนเข้ามือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยาง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางมองเขาพิชิตเซียนในมือ แสยะปากว่า “ในเมื่อศิษย์พี่โจวยอมพลีชีพเพื่อคุณธรรม เช่นนั้นศิษย์น้องก็ไม่รั้งไว้แล้ว ลาก่อน”

 

 

พูดพลางกอบหมัดใส่ทุกคน แล้วหันหลังออกจากถ้ำ

 

 

“ไม่ทราบทั้งสองท่านคิดไว้ว่าจะทำเช่นไร?” มั่วชิงเฉินมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัว

 

 

“อยู่ต่อ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวตอบอย่างเรียบง่ายสั้นๆ และรวดเร็ว

 

 

“ในเมื่ออยู่ที่นี่มีอสูรปีศาจให้ฆ่าไม่ขาดสาย ข้าอยู่ต่อ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยเอ่ยอย่างสงบ

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นวันนี้ทุกคนก็พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้ดำเนินการตามแผน” มั่วชิงเฉินเพิ่งพูดจบ ทันใดนั้นเสียงอูๆ ของแตรเขาสัตว์ก็ดังขึ้น ดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีลอยเข้าถ้ำมา

 

 

“ศิษย์น้องหยาง!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวหน้าถอดสี แวบตัวบุกออกไป

 

 

ในบรรดาคนเหล่านี้มั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวตบะสูงที่สุด เห็นเหตุการณ์ดังนั้นมั่วชิงเฉินมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวปราดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยกับทุกคนของเหยากวงอย่างรีบร้อนว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าไปดูหน่อย” พูดจบก็ไล่ตามออกไป

 

 

นางเพียงแค่กำชับประโยคเดียวเช่นนี้ ข้างนอกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินขึ้นแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวกำลังแบกคนผู้หนึ่งโจนทะยานมาทางนี้ ด้านหลังเขามีอสูรปีศาจตามมานับไม่ถ้วน ที่นำหน้า ไม่คิดว่าจะเป็นอสูรปีศาจขั้นหกที่ท่าทางเหมือนแมงมุมตัวหนึ่ง

 

 

เห็นแมงมุมยักษ์ตัวนั้นกำลังจะไล่ตามมาทันแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเอาเขาพิชิตเซียนมาใกล้ปาก เป่าดังอูๆ ขึ้นมา

 

 

แมงมุมยักษ์ข้างหลังในตาฉายแววงงงันขึ้นชั่วครู่

 

 

“สหายเต๋าโจว จับไว้!” เถาวัลย์เส้นหนึ่งพุ่งออกจากฝ่ามือมั่วชิงเฉินบินไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจว ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้น โยนระเบิดสะท้านฟ้าสิบกว่าลูกออกไป ระเบิดออกเหนือหัวอสูรปีศาจขั้นหก ชั่วขณะหนึ่งเสียงดั่งสนั่นหวั่นไหว สะเทือนจนหูแทบหนวก

 

 

เส้นยาแดงผ่าแปด ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวจับเถาวัลย์ไว้ได้ มั่วชิงเฉินออกแรงลากเขาเข้ามาใกล้ แวบเข้าถ้ำอย่างรวดเร็ว

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนตกตะลึง

 

 

“รีบเตรียมตัวสู้ศึก อสูรปีศาจมาแล้ว จำนวนยากกะด้วยตาได้!” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างรีบร้อน

 

 

ฝุ่นควันหายไปจนสิ้น อสูรปีศาจแมงมุมพาทัพใหญ่อสูรปีศาจพุ่งมาถึงข้างถ้ำ

 

 

ทุกคนหน้าถอดสี “อสูรปีศาจขั้นหก!”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเสียงสั่นเล็กน้อยว่า “นี่คือแมงมุมไฟพิษ พ่นไฟพิษได้”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง แทบจะเหมือนพิสูจน์คำพูดของเขาก็ไม่ปาน แมงมุมไฟพิษนั่นอ้าปากพ่นเปลวไฟออกมาติดกันเป็นพรวน ที่ยิ่งประหลาดคือ เปลวไฟพวกนี้ไม่ใช่สีเหลือง หากแต่เป็นสีเขียวมรกต

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ลังเล อัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา นิ้วมือขยับอย่างเร็ว เร็วจนเห็นเพียงเงารางๆ ปล่อยแสงวิญญาณออกในทันใดซัดไปที่ไหมเกล็ดน้ำแข็ง

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งหมุนอย่างรีบด่วน ขยายขึ้นโดยพลันกลางอากาศ จากนั้นกลายเป็นหมอกเบาดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีห่อไฟพิษที่โจมตีมาไว้ข้างใน

 

 

“ทุกคนรีบโจมตี ข้าประคองได้ไม่นาน” มั่วชิงเฉินตะโกนขึ้น

 

 

ทุกคนต่างรู้ว่ามาถึงเวลาแห่งความเป็นความตายแล้ว เมื่อใดที่ให้อสูรปีศาจขั้นหกเข้าถ้ำได้ เช่นนั้นพวกเขาต้องไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน จึงต่างหยิบไม้ตายออกมาซัดใส่อสูรปีศาจขั้นหก

 

 

“เต๊งๆๆ” เสียงพิณดังขึ้น

 

 

อสูรปีศาจที่ระดับขั้นค่อนข้างต่ำคำรามออกมาด้วยความทรมาน

 

 

“สวบๆ” ไม่กี่เสียง ระเบิดสะท้านฟ้าหลายสิบลูกบินออกไปอีก ฝูงอสูรปีศาจเลือดเนื้อกระจัดกระจายทันที

 

 

ในยามนี้เอง ในมือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยที่นิ่งเงียบพูดน้อยมาตลอดปรากฏธงสีเหลืองดินขึ้นผืนหนึ่ง ปากบ่นพึมพำ นิ้วมือจีบเคล็ดคาถาไม่หยุด ธงสีเหลืองดินบินออกไปปักลงข้างปากถ้ำ

 

 

ธงอีกผืนหนึ่งปรากฏขึ้นตามมาติดๆ อีก เคลื่อนเคล็ดคาถาโยนออกไปเช่นกัน

 

 

หนึ่งผืน สองผืน สามผืน สี่ผืน ถึงยามท้าย เวลายิ่งผ่านไปธงในมือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยยิ่งมากขึ้น เรียงกันเป็นวงกลมหัวหางเชื่อมต่อกันหมุนอยู่ตรงหน้าเขา

 

 

ทุกครั้งที่ตีเคล็ดคาถาออกไปสายหนึ่ง ก็จะมีธงเปล่งแสงวิญญาณสายหนึ่งบินออกจากวงกลมปักลงบนพื้นทันที

 

 

หากมีคนใส่ใจก็จะเห็นว่า ธงที่ปักอยู่บนพื้นพวกนั้น ตำแหน่งที่เรียงดูเหมือนยุ่งเหยิงไร้ระเบียบแต่กลับมีความรู้สึกประสานกันอย่างประหลาด อัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก

 

 

จนถึงธงผืนสุดท้ายปักลงบนพื้น ในมือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยปรากฏจานค่ายกลสีเหลืองดินขึ้นอันหนึ่ง

 

 

เขาจีบเคล็ดวิญญาณแตะปลายนิ้ว จานค่ายกลก็หลุดออกจากมือบินไปเหนือธงพวกนั้น

 

 

จานค่ายกลเริ่มหมุน จากนั้นยิ่งหมุนยิ่งเร็วแสงยิ่งหมุนยิ่งสว่าง ถึงสุดท้ายมองหน้าตาของจานค่ายกลไม่ออกแล้ว ราวกับจู่ๆ มีพระอาทิตย์ดวงเล็กๆ ลอยขึ้นในถ้ำ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยตาไม่ว่อกแว่ก โคจรพลังวิญญาณบีบโลหิตออกจากปลายนิ้วหยดหนึ่ง ปากตะโกนว่า “ไป”

 

 

โลหิตหยดนั้นดีดออก หายเข้าไปในพระอาทิตย์ที่แขวนอยู่กลางอากาศ

 

 

แล้วก็เห็นพระอาทิตย์ดวงนั้นเปล่งแสงเจิดจ้าออกโดยพลัน ครอบธงที่อยู่ด้านล่างไว้ข้างใน

 

 

ธงพวกนั้นอาบแสงเติบใหญ่ กลายเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กเป็นบานๆ ผนึกปากถ้ำไว้อย่างแน่นหนา ส่วนธงผืนนอกสุดผืนหนึ่ง กลายเป็นหินสีเขียว ผสานเข้ากับกำแพงภูเขารอบๆ เป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่คาดคิด

 

 

ถ้ำในตอนแรกอยู่ดีๆ ก็หายไป! อสูรปีศาจที่อยู่ด้านนอกเผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึงและสับสนทันที

 

 

เสียงครางเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยอ่อนยวบล้มลงไป

 

 

ผู้คนที่ตกตะลึงเพราะปรากฏการณ์ประหลาดนี้ถึงได้สติกลับมา ซุนอาหนิวที่อยู่ใกล้ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยที่สุดรีบพยุงเขาไว้ว่า “หัวหน้ากลุ่ม เขาหมดสติแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินแวบตัวมาถึงตรงหน้า แตะข้อมือไว้บนข้อมือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ย ถอนใจแผ่วเบาอย่างโล่งอกว่า “ไม่เป็นไร เขาใช้กำลังเกินขนาด หมดแรงแล้ว” พูดพลางยัดโอสถเติมวิญญาณเม็ดหนึ่งเข้าปากผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ย

 

 

เสียงคำรามจากสรรพสัตว์ข้างนอกดังเข้ามา พวกมันพุ่งชนกำแพงภูเขาไปทั่ว คิดจะหาถ้ำถ้ำนั้นให้เจอ

 

 

คนในถ้ำ รู้สึกได้ว่าภูเขาสั่นสะเทือนอยู่ สีหน้าต่างซีดจนน่ากลัว

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม นี่คือค่ายกลป้องกันอะไร ไม่รู้ประคองได้นานแค่ไหน?” หลิวต้าฝานเอ่ยด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “นี่เกรงว่าต้องรอสหายเต๋าเนี่ยฟื้นก่อนถึงรู้ได้”

 

 

นางรู้เรื่องค่ายกลไม่มาก เสียดายเพียงมั่วหลีลั่วไม่ได้อยู่ที่นี้ หากนางอยู่ ต้องพอรู้อะไรบ้างเป็นแน่

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยเพียงแต่หมดแรง มีโอสถคอยเสริม ไม่นานก็ฟื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ ทุกคนล้อมพรวดเข้ามา

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกว่า “ถอยออกไปให้หมด”

 

 

ทุกคนตระหนักว่าใจร้อนเกินไปแล้ว จึงถอยไปอยู่ข้างๆ อย่างเจี๋ยมเจี้ยม

 

 

“สหายเต๋าเนี่ย ค่ายกลนี้ของเจ้าสามารถประคองได้นานแค่ไหน?” มั่วชิงเฉินถาม โดยไม่ได้ถามว่านี่คือค่ายกลอะไร

 

 

ไม่มีใครยินดีให้คนอื่นสืบถามท่าไม้ตายของตนเอง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยมองปากถ้ำพลางเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ขอเพียงมีหินวิญญาณ ก็สามารถประคองได้ อสูรปีศาจพวกนั้นมองถ้ำไม่เห็นจากกำแพงภูเขาด้านนอก การปะทะของพวกมันไม่มีผลกระทบต่อค่ายกลนี้ ทว่าหากบังเอิญชนถูกค่ายกล พลังป้องกันของค่ายกลก็จะเสื่อมลงส่วนหนึ่ง หากแรงปะทะมหาศาลสะเทือนจนจานค่ายกลแตก เช่นนั้นค่ายกลนี้ก็พินาศแล้ว”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ล้วนเป็นคนสภาพจิตใจเข้มแข็ง รู้แต่แรกแล้วว่าขอเพียงเป็นการศึกที่ไหนบ้างจะไม่มีอันตรายเลย ต่อหน้าอสูรปีศาจฝูงใหญ่นำทัพโดยอสูรปีศาจขั้นหก สามารถทำได้เช่นนี้ก็โชคดีมากแล้ว

 

 

“สหายเต๋าเนี่ย ขอบคุณเจ้ามาก” มั่วชิงเฉินคารวะครึ่งจังหวะ

 

 

“เพียงแค่ช่วยตนเองเท่านั้น” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่พูดมาก ในเวลาเช่นนี้ เดิมทีทุกคนก็ยืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ช่วยคนอื่นหรือช่วยตนเอง แยกไม่ชัดเจนถึงเพียงนั้นแล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องแยกด้วย

 

 

จนถึงยามนี้ นางถึงมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวว่า “สหายเต๋าโจว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

 

สายตาผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวตกลงบนร่างผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางบนพื้น ทุกคนถึงพบว่า ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางสิ้นใจตายนานแล้ว

 

 

“ข้าได้ยินเสียงของเขาพิชิตเซียน ก็รู้ว่าศิษย์น้องหยางต้องเจออสูรปีศาจเข้าแน่แล้ว เมื่อบุกออกไปดู ก็เห็นด้านหลังเขามีอสูรปีศาจฝูงหนึ่งไล่ตามมาดังคาด เขาเป่าเขาพิชิตเซียนพลางวิ่งมาหาข้าอย่างสุดชีวิต กลับถูกไฟพิษที่แมงมุมไฟพิษพ่นออกมาซัดถูก ข้าแบกเขาวิ่งกลับมา หากไม่เพราะมีเขาพิชิตเซียนต้านอสูรปีศาจได้ครู่สั้นๆ อีกทั้งได้สหายเต๋ามั่วช่วยเหลือ เกรงว่าก็ต้องก้าวตามรอยเท้าศิษย์น้องหยางไปแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเอ่ยเนิบๆ

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้น สายตามองไปที่สามคนนี้ว่า “เหตุใดที่นี่ถึงมีอสูรปีศาจขั้นสูงปรากฏขึ้นอีกเร็วถึงปานนี้นะ หรือว่าหลบซ่อนอยู่ในเทือกเขาหลางหยามานานแล้ว?”

 

 

“เป็นไปไม่ได้ พวกเราอยู่เทือกเขาหลางหยามานานถึงเพียงนี้ มีเพียงอสูรปีศาจระลอกนั้นดักฆ่าพวกเรา หากอสูรปีศาจพวกนี้อยู่นี่มานาน พวกมันก็บุกเข้ามาพร้อมกันนานแล้ว พวกเราก็ประคองไม่ถึงยามที่พวกเจ้ามาถึง” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเอ่ยอย่างเด็ดขาด จากนั้นเสริมประโยคหนึ่งว่า “ยิ่งกว่านั้นเขาพิชิตเซียนนี่รับรู้ถึงอสูรปีศาจได้ เมื่อวานยามที่ข้าเก็บเขาพิชิตเซียนกลับมาก็ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากว่า “นี่หมายความว่า…”

 

 

“หมายความว่าอสูรปีศาจพวกนี้เพิ่งมาถึงเขาหลางหยา!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวรับคำ

 

 

ทุกคนนิ่งเงียบเสียแล้ว ยามนี้พวกเขาก็เหมือนสัตว์ที่ถูกกักไว้ ถูกปิดอยู่ในพื้นที่คับแคบนี้ เช่นนี้แล้ว สถานที่คับแคบนี้ยังสามารถถล่มได้ตลอดเวลาอีก

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม ทำเช่นไรดี?” หลิวต้าฝานถามขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ตอบ หากแต่เดินไปถึงปากถ้ำ แล้วมองออกไปข้างนอก