เล่ม 1 ตอนที่ 196 เจ้าคือลูกสาวบุญธรรมของตระกูลลู่

ราชินีพลิกสวรรค์

เปลวไฟแห่งการปฏิวัติเริ่มลุกไหม้จากเป่ยฝาง ลุกลามไปถึงเขตการป้องกันทั้งสี่ทิศของโฮ่วจิ้น 

 

 

จนมาถึงตอนนี้ มู่เจิ้งเฟิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งพิเศษเพิ่งจะมีท่าทีโต้ตอบ เดิมเขาคิดว่านายทหารชั้นสูงที่ป้องกันพรมแดนจะจงรักภักดีต่อเขา ตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ข้างตระกูลลู่อย่างไม่รู้สึกรู้สา 

 

 

“ตระกูลลู่! เจ้ามีความทะเยอทะยานสูงมากจริงๆ เสียด้วย!” ในพระราชวัง มู่เจิ้งเฟิงที่ได้ข่าวการก่อกบฏจากทั้งสี่ทิศ โกรธมากจนเป็นลมไป 

 

 

เป็นอย่างที่หรงจิ่งพูดไว้ เมื่อลมมา ท้องฟ้าของราชวงศ์โฮ่วจิ้นเปลี่ยนไป  

 

 

เป็นเพราะการกระทำของมู่เจิ้งเฟิง อะไรที่ต้องเกิดขึ้นในราชวงศ์โฮ่วจิ้นก็ต้องเกิด หลีกหนีไม่พ้นแล้ว 

 

 

จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าศัตรูจริงๆ ของเขาคือใคร! เขาคิดว่าฆ่าลู่ซิ่งเฉาแล้ว ก็เท่ากับกำจัดตระกูลลู่ได้แล้ว แต่กลับไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนที่ล้อมหมากของเขาไว้ ไม่ใช่ลู่ซิ่งเฉามาตั้งแต่ไหนแต่ไร! 

 

 

มู่เจิ้งเฟิงไม่รู้ คนในใต้หล้าก็ไม่รู้เหมือนกัน 

 

 

มีเพียงองค์ชายจิ่งผู้ไม่เป็นสองรองใครเท่านั้น ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง 

 

 

“นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนุก หรงจิ่งเตรียมเหล้าอย่างดีเพื่อรอชม อาเฉวียน ไปบอกนายท่าน ตระกูลหรงก็เอาด้วย แต่ไปยึดหน้าที่หลักไม่ได้” หรงจิ่งนั่งอยู่ในจวนที่โดดเดี่ยวของตัวเองอย่างอารมณ์ดีสุดๆ ดื่มเหล้าชมวิว ท่าทีที่สง่าผ่าเผยและสบายอกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“ขอรับ คุณชาย” อาเฉวียนรับคำสั่งแล้วจากไป ในใจนับถือองค์ชายของตัวเองเป็นอย่างมาก ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถทำได้เหมือนองค์ชายของเขา ตัวอยู่ที่โลกมนุษย์ แต่ใจอยู่ข้างนอก 

 

 

…… 

 

 

เขตซูหนาน เมืองซูหนาน 

 

 

“กษัตริย์ที่ไม่มีความเมตตา คนทั้งใต้หล้าต้องประณาม!” 

 

 

“กษัตริย์ที่ไม่มีความเมตตา คนทั้งใต้หล้าต้องประณาม!” 

 

 

เสียงคำขวัญดังเข้าไปในจวนท่านเจ้าเมือง เฮ่อเหลียนเฟิงสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทำได้เพียงเผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดกว่าร้องไห้ให้กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ 

 

 

“ท่านเจ้าเมืองเฮ่อเหลียน การถูกใส่ร้ายของตระกูลลู่ต้องใช้เลือดล้างความผิด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอยากจะใช้เลือดของตนเองและครอบครัว หรือว่าเลือดของราชนิกุลมาชำระล้าง” ลู่เจี้ยบรรจงนั่งลงบนที่นั่งของท่านเจ้าเมือง ราวกับฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เขายังคงสวมชุดขาวทั้งตัว และยังผูกหม่อนและป่านไว้ที่เอว มันสวยที่สุดในใต้หล้า แต่เฮ่อเหลียนเฟิงกลับเห็นวิญญาณอาฆาตของตระกูลลู่ที่ลอยอยู่ด้านหลังเขา 

 

 

มองซ้ายมองขวา 

 

 

นายพลที่จวนท่านผู้ว่าราชการส่งมา ล้วนแต่ถูกมือดีของตระกูลลู่เอาชนะในกระบวนท่าเดียว ถ้าหากว่าเขาไม่ยอม เขาน่าจะรู้ดีว่าจุดจบของเขาจะเป็นอย่างไร 

 

 

เขาไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองไปเซ่นไหว้วิญญาณวีรบุษของตระกูลลู่ 

 

 

เฮ่อเหลียนเฟิงกัดฟัน ก้มหน้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น พูดกับลู่เจี้ยว่า “กษัตริย์ไม่มีเมตตา คนทั้งใต้หล้าต้องประณาม เฮ่อเหลียนเฟิงยอมออกจากโลกมืดเข้าสู่โลกสว่าง ติดตามตระกูลลู่ เชื่อฟังคำสั่งของนายน้อย โค่นล้มโฮ่วจิ้นที่โหดเหี้ยมอำมหิต!” 

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มเล็กน้อย “ผู้รู้สถานการณ์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ ท่านเจ้าเมืองเฮ่อเหลียน อีกไม่นาน ท่านก็จะภูมิใจกับการเลือกของท่านในวันนี้” 

 

 

เฮ่อเหลียนเฟิงกล้ำกลืนความขมขื่นในใจ ไม่รู้ว่าจะพูดตอบอย่างไร  

 

 

ตระกูลลู่สามารถล้มเจ้าเมืองซูหนานได้อย่างง่ายดายโดยไม่สูญเสียพลทหารหรือม้ารบใดๆ และทำให้คนรู้ว่าการยึดอำนาจหลายปีมานี้ของตระกูลลู่ ไม่ใช่ว่าราชสำนักบอกให้จัดการก็จะสามารถจัดการได้ 

 

 

เมื่อได้ยินว่าข่าวคราว เฮ่อเหลียนเฟิงเป็นคนส่งสาส์นกราบทูลกลับไปที่ซั่งตู 

 

 

สาส์นกราบทูลนั้น เหมือนกับเขียนใบรับรองให้ตระกูลลู่อย่างไรอย่างนั้น ทำให้มู่เจิ้งเฟิงโกรธจนกระอักเลือด 

 

 

กระทั่งไม่สนการก่อกบฏจากทั้งสี่ทิศ จะรวมกำลังทหารเพื่อต่อต้านกบฏ เคลื่อนทัพตรงไปยังเขตซูหนานเพื่อเปิดศึกประจันหน้ากับตระกูลลู่เลย 

 

 

…… 

 

 

ณ ราชสำนักซั่งตู บรรยากาศอึมครึมโกลาหลไปหมด 

 

 

เมื่อมีคนนำ เสียงของการต่อต้านจากทุกที่ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น แล้วก็คหบดี ต่างค่อยๆ โผล่ออกมาทีละคน 

 

 

แต่ว่า ตระกูลลู่ที่สั่งทหารด้วยเหตุด้วยผลที่สุด หลังจากควบคุมเขตซูหนานได้ ทันใดนั้นก็เงียบไป 

 

 

…… 

 

 

คำสั่งของลู่เจี้ย เจียงหลีไม่มีส่วนร่วม 

 

 

สำหรับนางแล้ว ราชวงศ์โฮ่วจิ้นจะล่มสลาย แต่นางสนใจเพียงแค่การฆ่าคน ความเป็นอยู่ของลู่เจี้ย ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด 

 

 

แต่ว่าวันนี้ ทันใดนั้นลู่เจี้ยกลับเรียกนางมา บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา 

 

 

เจียงหลีมาถึงตรงหน้าลู่เจี้ยด้วยสีหน้างงงวย เจียงเฮ่าก็มาด้วย นี่ก็เป็นความต้องการของลู่เจี้ย 

 

 

เพียงแต่ว่าเมื่อนางเห็นลู่เจี้ย กลับค้นพบว่าในห้องไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว 

 

 

ข้างๆ เขายังมีผู้อาวุโสผมขาวนั่งอยู่สองสามคน หนึ่งในนั้นมีคนที่ดูมีชีวิตชีวา เก็บพลังลมปราณไว้ภายใน แต่กลับยังคงทำให้คนรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งมาก 

 

 

เขานั่งตัวตรง ดูท่าแล้วตำแหน่งไม่ธรรมดา! 

 

 

เจียงหลีมองใบหน้าที่สงบนิ่งด้วยความสงสัย คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลู่เจี้ย อยู่ต่อหน้าของผู้อาวุโสเหล่านี้ นายน้อยตระกูลอย่างเขานึกไม่ถึงว่าจะได้นั่งอยู่เพียงแค่อันดับแรกของแถวที่สอง 

 

 

และด้านข้างเขา มีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเตรียมไว้ให้ผู้ใด 

 

 

เจียงเฮ่าเฝ้าอยู่ข้างๆ เจียงหลี เห็นลู่เจี้ยจัดพิธีแบบนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ในแววตาเต็มไปด้วยความระแวง 

 

 

“หลีเอ๋อร์ ท่านนี้คือท่านปู่ของข้า แล้วก็เป็นนายท่านของตระกูลลู่” ลู่เจี้ยยกมือขึ้น ชี้ไปทางลู่วั่งชวน แล้วแนะนำให้เจียงหลี 

 

 

“ส่วนคนที่เหลือ ล้วนเป็นผู้อาวุโสของวงศ์ตระกูล ตำแหน่งสูงส่ง” 

 

 

นี่คือจังหวะในการเจอผู้ใหญ่รึ 

 

 

เจียงหลีตกใจ นางอายและกระวนกระวายขึ้นมา ข้าเพิ่งจะสารภาพรักไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้ชายคนนี้ก็รู้ว่าต้องระบุสถานะก่อน ฉลาดจริงๆ ถูกใจราชินีคนนี้จริงๆ! 

 

 

เจียงหลียิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลังจากที่ลู่เจี้ยแนะนำเสร็จ นางก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ขานเรียกตามลู่เจี้ยทุกคำ 

 

 

ในตอนที่เรียกลู่วั่งชวน นางอยากจะเรียกว่าท่านปู่ตามลู่เจี้ย แต่รู้สึกว่ามันจะดูไม่งาม ดังนั้นก็เรียกนายท่านแล้วกัน 

 

 

“หลีเอ๋อร์ ที่นี่ไม่มีคนนอก ปลดปล่อยเนตรญาณของเจ้าออกมาเถอะ” ทันใดนั้นลู่เจี้ยก็พูดขึ้นมา 

 

 

ฮะ? 

 

 

เจียงหลีกะพริบตา มองลู่เจี้ยอย่างไม่เข้าใจ แต่เห็นรอยยิ้มของเขาไม่เปลี่ยนและสงบมาก 

 

 

หรือว่าจะดูพรสวรรค์ของข้าว่าคู่ควรกับนายน้อยของตระกูลลู่คนนี้หรือไม่ เจียงหลีคาดเดาในใจ ทันทีหลังจากนั้นก็ปลอบใจตัวเองด้วย อืม นี่มันก็สมเหตุสมผลดี ลู่เจี้ยสง่างามขนาดนี้ แล้วยังเก่งกาจขนาดนี้ จะให้ผู้หญิงที่ไหนมาอยู่เคียงข้างมั่วๆ ได้อย่างไร 

 

 

หลังจากครุ่นคิดแล้ว เจียงหลีพยักหน้า ไม่ได้ต่อต้านคำพูดของลู่เจี้ย 

 

 

ถึงแม้ว่าเจียงเฮ่าจะไม่เข้าใจว่าเกิดะไรขึ้น แม้เขาได้เจอกับน้องสาวอีกครั้งมานานแล้ว ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าพรสวรรค์ของน้องสาวเป็นอย่างไร ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอยหลังเล็กน้อยไปสองก้าว ให้พื้นที่ในการแสดงพลังออกมา 

 

 

ไม่รู้ว่าเนตรญาณที่สิบของข้าจะถูกมองออกไหม เพียงแต่ว่าลู่เจี้ยมองไม่ออก พวกเขาก็น่าจะมองไม่ออกเหมือนกัน เจียงหลีระแวงในใจ 

 

 

ทันทีหลังจากนั้น เจียงหลีปลดปล่อยเนตรญาณออกมา 

 

 

แสงสีทองปกคลุมร่างกายนาง ส่องสว่างไปทั้งจวน 

 

 

รวดเร็วมาก! 

 

 

หนึ่งดวง สองดวง สามดวง…… 

 

 

ในตอนที่เนตรญาณเก้าดวงปรากฏอยู่ด้านหลังเจียงหลี ทุกคนในจวนนอกจากลู่เจี้ย ล้วนแต่ตกตะลึงจนลุกยืนขึ้นมา 

 

 

“คือเนตรญาณเก้าดวงจริงๆ ด้วย!” 

 

 

“คนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้ เข้ามาสู่ตระกูลลู่ของข้า วันที่รุ่งโรจน์ของตระกูลลู่ของข้าใกล้มาถึงแล้ว!” 

 

 

“เนตรญาณเก้าดวง! นึกไม่ถึงว่าอาหลีคือผู้ที่มีเนตรญาณเก้าดวงในตำนาน!” เจียงเฮ่าทั้งตะลึง เงยหน้ามองด้วยความตื่นเต้น 

 

 

เจียงหลีไม่สนความตะลึงของพวกเขา เพียงแค่แอบๆ มองไปที่เนตรญาณดวงที่สิบ เนตรญาณนั้นที่คนไม่รู้ ตอนนี้มืดมัวจนเกือบจะโปร่งแสง 

 

 

“นายท่าน เรื่องนี้ข้าไม่ขัดข้องอะไร” 

 

 

ผู้อาวุโสสองสามคนของตระกูลลู่ ต่างพากันประสานมือคารวะแล้วก้มหัวให้กับลู่วั่งชวน 

 

 

“ดี! ” ลู่วั่งชวนมองเจียงหลีด้วยแววตาเป็นประกาย “ในเมื่อผู้อาวุโสทุกท่านไม่ขัดข้อง ข้าขอประกาศตรงนี้ว่าตั้งแต่วันนี้ไป เจียงหลีคือลูกสาวบุญธรรมของข้า!” 

 

 

“ท่านพูดอะไรนะ!” เจียงหลีสีหน้าตกใจ แม้แต่เนตรญาณก็ยังไม่ได้เก็บเข้าไป เลี่ยเทียนซื่อและเสวียนกังกุยต่างพากันคำรามด้วยความโกรธ