ตอนที่ 262 ปฏิกิริยาตอบสนองของฝ่ายต่างๆ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ทว่าความเป็นจริงกลับทำลายความหวังของผู้นำกลุ่มอำนาจเหล่านี้ทันที นี่บ่งบอกว่าพวกเขาช้อนปลาตัวใหญ่อย่างกลุ่มนักเรียนใหม่มาไม่ได้แม้กระทั่งเกล็ดปลาสักชิ้น ในใจก็อดลอบนึกเสียใจไม่ได้ ถ้าหากรู้ว่านักเรียนใหม่ปีนี้จะโดดเด่นแบบนี้ละก็ พวกเขาควรลงมือแต่แรกแล้ว ไม่ใช่คอยมองดู ทำให้เวลานี้เหลยถิงครอบครองโอกาสสำคัญไปแล้ว

ผู้นำกลุ่มใหญ่ต่างๆ แทบมองเห็นล่วงหน้าได้แล้วว่า หลังจากที่เหลยถิงกลืนกินกลุ่มนักเรียนใหม่ไปทั้งกลุ่มแล้ว กลุ่มอำนาจจะต้องแผ่ขยายอีกครั้งแน่นอน กลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหารตกเป็นของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงเรียบร้อยโดยที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอีกหลายปี

อย่าเพิ่งพูดถึงความเสียใจและความเจ็บปวดรวดร้าวในใจกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ เลย บรรดานักเรียนเก่าของโรงเรียนทหารที่ชมการประลองต่างคิดว่ากลุ่มหุ่นรบเหลยถิงจะต้องคว้าชัยชนะในการประลองรอบสุดท้ายมาได้โดยไม่ต้องพะว้าพะวงเลยแม้แต่น้อย ในตอนที่ทุกคนต่างตกตะลึงตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของฮั่วเจิ้นอวี่ การแสดงออกของสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่กลับทำให้คนรอบข้างชำเลืองมอง ถึงขนาดที่ทำให้พวกนักเรียนเก่าคิดว่าพวกเขาเป็นกบในกะลา ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

ที่แท้เมื่อพวกเขาเห็นลูกพี่หลิงหลานผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในใจพวกเขาขึ้นไปบนเวทีประลองจริงๆ ก็สะกดกลั้นอารมณ์ตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ทยอยกันลุกขึ้นมาชูมือตะโกนเสียงดังว่า “ลูกพี่หลานย่อมชนะ!”

ใช่แล้ว ในสายตาสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะนักเรียนจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ลูกพี่หลานที่นำพาพวกเขาเอาชนะการต่อสู้ประจัญบาน ยึดอำนาจควบคุมยานบินคนนั้นไม่มีทางถูกใครล้มได้อยู่แล้ว

การแสดงออกเช่นนี้ของกลุ่มนักเรียนใหม่ก็ทำให้คนอื่นๆ ลอบตกใจกับสถานะของลูกพี่หลานคนนี้ในใจกลุ่มนักเรียนใหม่เช่นกัน หลินจื้อตงที่เดิมทีคิดว่าคว้ากลุ่มนักเรียนใหม่มาได้ง่ายๆ แล้วเห็นฉากนี้เข้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขานึกถึงคำเตือนของลูกพี่ฮั่ว ในใจพลันหวั่นเกรงหลิงหลานขึ้นมา ครุ่นคิดว่าหลังจากที่กลืนกินกลุ่มนักเรียนใหม่แล้วจะทำลายบารมีของหลิงหลานในใจนักเรียนใหม่ทีละเล็กทีละน้อยยังไงดี

เวลานี้เอง ต่อให้ผู้นำกลุ่มอำนาจเหล่านั้นอืดอาดยืดยาดอีกสักแค่ไหน ก็รู้ว่าแล้วว่าปีศาจอัจฉริยะที่ทำให้จางจิงอันหวั่นเกรงคนนั้นคือใครกันแน่

หานอวี้ที่อยู่ในบ็อกซ์อู๋จี๋ได้ยินเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของกลุ่มนักเรียนใหม่ก็เอ่ยด้วยสีหน้าหนักอึ้งทันใดว่า “ดูท่า ปีศาจอัจฉริยะที่จางจิงอันพูดมาน่าจะเป็นหมอนี่แหละ” นอกจากหมอนี่แล้วก็ไม่น่ามีคนที่ทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว

หานอวี้มองไปยังเด็กหนุ่มที่ผอมแห้งเคร่งขรึมเย็นชาบนเวทีด้วยสายตาคลุมเครือ เกิดความรู้สึกซับซ้อนยากจะอธิบายขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ลองนึกถึงปีที่พวกเขาเพิ่งเข้าโรงเรียนทหาร ต่อให้หยิ่งทระนงอีกสักแค่ไหน ก็จำต้องเข้าร่วมกลุ่มอู๋จี๋ของกาแล็กซีพวกเขาภายใต้แรงกดดันจากหลายฝั่ง

ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็โดนสมาชิกเก่าที่อาวุโสกว่าอบรมสั่งสอนและกดขี่เยี่ยงทาสในฐานะที่เป็นสมาชิกใหม่ปีหนึ่ง ไม่มีคนช่วยเหลือพวกเขาเลย ได้แต่เก็บหางอดทนให้ช่วงเวลาปีหนึ่งที่ลำบากยากเข็ญที่สุดผ่านพ้นไป หลังจากนั้นก็พยายามเพิ่มความสามารถอย่างสุดชีวิต พยายามปีนขึ้นไปด้านบน ต่อสู้วางแผนถึงค่อยกลายเป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋

หานอวี้ไม่อยากหวนนึกเลยว่าระหว่างนั้นเขาต้องทนความยากลำบากไปมากเท่าไหร่กันแน่ เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็นเส้นทางที่นักเรียนทหารทุกคนต้องเดินไป ไม่มีใครออกนอกลู่นอกทางได้ ต่อให้เป็นคนที่เก่งกาจอย่างราชันสายฟ้าเฉียวถิงก็ถูกกดให้เดินบนเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน

แต่นักเรียนใหม่รุ่นนี้ดันเดินไปบนเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน เพิ่งจะเข้าโรงเรียนทหารก็ก่อตั้งกลุ่มนักเรียนใหม่ขึ้นมาโดยที่ชื่อเสียงบารมีไม่ด้อยไปกว่ากลุ่มอำนาจทั่วไปเพื่อที่จะไม่ถูกข่มเหงและโดนกดขี่เยี่ยงทาส จากนั้นก็ทำตัวโดดเด่นรับการเดิมพันของเหลยถิงที่เป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่ง ทำให้กลุ่มนักเรียนใหม่เดินเข้าไปสู่ท่ามกลางสายตาของนักเรียนทหารทุกคนโดยสิ้นเชิง และตอนนี้พวกเขาก็ทำคะแนนเสมอสองต่อสองกับเหลยถิง พิสูจน์ความสามารถของพวกเขาแล้ว

ถึงแม้หานอวี้ไม่คิดว่ากลุ่มนักเรียนใหม่จะได้รับชัยชนะในตอนสุดท้าย แต่อาศัยแค่ผลงานบนเวทีประลองของพวกเขา ต่อให้เข้าร่วมกลุ่มหุ่นรบเหลยถิง บรรดาสมาชิกเก่าของเหลยถิงก็ไม่กล้ายั่วโมโหพวกเขาแน่นอน…คำกล่าวที่ว่าผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพสอดคล้องกับสภาพในโรงเรียนทหารเช่นเดียวกัน ฐานะอันสูงส่งคือสิ่งที่ต้องอาศัยความสามารถช่วงชิงกลับมา

เว่ยจี้ได้ยินคำพูดของหานอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งและกล่าวว่า “ดูท่าพวกเรายังดูถูกปีศาจอัจฉริยะคนนี้อยู่ มิน่าล่ะจางจิงอันถึงได้ให้ความสำคัญกับหมอนี่ขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงหมอนี่ด้วย”

ตัวแทนคนที่สามที่ออกไปประลองของกลุ่มนักเรียนใหม่อยู่ช่วงกลางของระดับพลังปราณขั้นกลาง คาดว่าต่อให้หมอนี่อ่อนแออีกสักแค่ไหนก็ต้องอยู่ในระดับช่วงปลายของพลังปราณขั้นกลาง กระทั่งเขาก็แหงนหน้ามองระดับขอบเขตนี้ ควรรู้เอาไว้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาตั้งมั่นใจจดใจจ่ออยู่กับการควบคุมหุ่นรบ ขอบเขตระดับทักษะการต่อสู้ถึงได้เข้าสู่ระดับพลังปราณช่วงต้น…เว่ยจี้นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ความแข็งแกร่งของนักเรียนใหม่รุ่นนี้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ โชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่ได้บุ่มบ่ามไปยั่วโมโหพวกเขา ควรรู้เอาไว้ว่าอู๋จี๋ไม่มีเบื้องลึกขนาดเหลยถิง หากเดิมพันต่อสู้บนเวทีประลองขึ้นมาจริงๆ ละก็ ผลแพ้ชนะในตอนสุดท้ายยังตัดสินได้ยากมากจริงๆ

จ้าวจวิ้นฟังแล้วกลับไม่ยอมรับ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “ต่อให้ทักษะต่อสู้ดีอีกสักแค่ไหน ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเขาเก่งในด้านหุ่นรบเหมือนกันนี่…” ท่าทีไม่เห็นด้วยนั้นทำให้หานอวี้กับเว่ยจี้อดลอบเบ้ปากไม่ได้ แต่พวกเขารู้ว่าจ้าวจวิ้นเป็นพูดจาโผงผางก็เลยไม่ได้เอ่ยปากค้านอะไร

หลี่หลานเฟิงได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จ้าวจวิ้น พูดแบบนี้ไม่ได้นะ ปกติแล้วคนที่ต่อสู้เก่งกาจไม่มีทางอ่อนด้อยในด้านหุ่นรบตรงไหนเลย” คนที่มีร่างกายแข็งแรงมักจะได้เปรียบในด้านควบคุมหุ่นรบนิดหน่อย นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไม โรงเรียนทหารถึงเน้นการฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายมาตั้งแต่แรก มียอดฝีมือด้านหุ่นรบมากมายที่มีระดับขอบเขตทักษะการต่อสู้ไม่แย่มากนัก

“เหอะ นั่นมันไม่เหมือนกัน จางจิงอันก็เป็นผู้พิการด้านหุ่นรบไม่ใช่หรือไง?” ตอนที่จางจิงอันเข้าสู่โรงเรียนทหาร เขาเป็นนักเรียนใหม่เพียงคนเดียวที่เข้าสู่ระดับพลังปราณ กลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักเรียนใหม่ปีนั้น แต่น่าเสียดายที่พอเริ่มต้นเรียนรู้การควบคุมหุ่นรบตอนปีสอง เขากลับถูกคนอื่นไล่ตามทัน จนกระทั่งปีนี้จางจิงอันก็จมหายไปท่ามกลางฝูงชน หาร่างของเขาในหมู่รายชื่อผู้แข็งแกร่งห้าสิบคนแรกไม่เจอ กลายเป็นหนึ่งในเรื่องขบขันของพวกระดับสูงในกลุ่มอำนาจใหญ่หลายแห่ง..

ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลุ่มสถาบันศูนย์กลางโดฮาที่จางจิงอันอยู่มีเบื้องลึกอย่างเต็มเปี่ยมละก็ อาศัยแค่ความสามารถของหมอนั่นเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะรักษาตำแหน่งกลุ่มอำนาจอันดับสี่ของโรงเรียนทหารไม่ได้ด้วยซ้ำไป…

พอได้ยินจ้าวจวิ้นเอ่ยถึงจางจิงอัน ทุกคนก็เงียบไปเพราะว่านี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ความจริงแล้วคนที่คล้ายจางจิงอันมีอยู่เยอะมาก ทักษะการต่อสู้ล้ำเลิศแต่ว่าไม่เก่งกาจในด้านควบคุมหุ่นรบอย่างยิ่งยวด

……

เวลานี้เอง ในพื้นที่สักแห่งของกลุ่มนักเรียนใหม่ เกาจิ้นอวิ๋นเอ่ยกับหลายคนที่อยู่ข้างกายเขาว่า “ลูกพี่หลานออกไปประลองแล้ว พวกนายต้องจับตาดูให้ดีนะ”

หนึ่งในนั้นถามด้วยความกังวลว่า “ได้ยินคนพวกนั้นพูดว่า อีกฝ่ายเป็นอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ของโรงเรียนทหารเลยนะ ต่อให้ลูกพี่หลานแข็งแกร่งอีกแค่ไหนก็เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้หรอกถูกไหม?”

“ใช่แล้ว ถึงแม้ลูกพี่หลานมีความสามารถ องอาจกล้าหาญ แต่ถึงยังไงเหลยถิงก็เป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งนะ ต่อกรกับพวกเขาเร็วขนาดนี้จะเหมาะสมแล้วจริงๆ เหรอ?” ชายอีกคนก็ร้องถามออกมาเช่นกัน อันที่จริงเขาไม่เห็นผลการประลองที่ดีของกลุ่มนักเรียนใหม่ในครั้งนี้เลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเกาจิ้นอวิ๋นเตือนเขาว่าอย่าทำอะไรลับหลังก่อนละก็ เกรงว่าเขาคงพิจารณาทางหนีทีไล่ของตัวเองเหมือนกับหัวหน้าทีมอีกหลายคนไปแล้ว

เกาจิ้นอวิ๋นได้ยินคำพูดก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “เพราะว่าฉันกับพวกนายมีความสัมพันธ์ดีต่อกัน ฉันถึงได้เตือนพวกนายเป็นพิเศษนะ อย่าเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่สายตาตื้นเขิน เรื่องราวยังไม่มีบทสรุปก็ไปสมคบกับคนภายนอกแล้ว นอกจากนี้ต่อให้ลูกพี่หลานแพ้ ฉันก็ยังแนะนำให้พวกนายติดตามลูกพี่หลานไปอยู่ดี…อย่าคิดว่าเข้าร่วมเหลยถิงแล้วก็เป็นคนของเหลยถิงจริงๆ”

คำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นทำให้คนอื่นๆ เงียบกริบไม่พูดไม่จา ถ้าหากเข้าร่วมเหลยถิงแล้วจริงๆ ลูกพี่หลานยังคุ้มครองกลุ่มนักเรียนใหม่ได้หมดหรือเปล่า? คิดๆ ดูแล้วเหลยถิงไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าคนแรกที่จะถูกปราบปรามก็คือลูกพี่หลาน

“พวกนายคิดว่าคนอย่างลูกพี่หลานจะมีคนสยบเขาได้เหรอ?” คำถามประโยคนี้ของเกาจิ้นอวิ๋นทำให้คนอื่นๆ อดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ ลูกพี่หลานที่เคร่งขรึมเย็นชามีกลิ่นอายทรงอำนาจคนนั้นจะยอมอยู่ใต้อำนาจอีกคนเหรอ? โอ้มายก็อด ได้โปรดให้อภัยที่พวกเขาไร้ความสามารถในการจินตนาการด้วย

เกาจิ้นอวิ๋นยิ้มเยาะกล่าวว่า “เหลยถิงอยากกลืนกินกลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเราก็ต้องดูว่าพวกเขามีความอยากอาหารนี้ไหม”

เกาจิ้นอวิ้นมีความเชื่อมั่นต่อหลิงหลานอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้นับตั้งแต่เหตุการณ์ยานบิน ตอนที่คนจำนวนไม่น้อยกำลังหวั่นไหว เกาจิ้นอวิ๋นก็คิดอย่างแน่วแน่ว่าหลิงหลานไม่มีทางอยู่ในสังกัดของกลุ่มอำนาจสักแห่งแน่นอน ในใจเขาไม่มีใครสามารถเป็นลูกพี่ของลูกพี่หลานได้

‘ยิ่งไปกว่านั้น ลูกพี่หลานจะแพ้จริงๆ เหรอ?’ คำกล่าวประโยคนี้ของเกาจิ้นอวิ๋นเก็บงำอยู่ในใจลึกๆ มาตลอด ไม่ได้เอ่ยออกมา

เขาไม่เชื่อว่าลูกพี่หลานที่ประจันหน้าอย่างเยือกเย็นกับกัปตันบนยานบินที่น่ากลัวคนนั้นโดยไม่เสียเปรียบจะพ่ายแพ้ให้กับนักเรียนทหารคนหนึ่งได้ ต่อให้นักเรียนคนนั้นเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่อยู่ปีห้าแล้วและกำลังจะเข้าสู่กองทัพ แต่เมื่อเทียบกับกัปตันที่คลานออกมาจากทะเลเลือดคนนั้น ไอพลังที่ติดตัวนักเรียนทหารดูอ่อนแอกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ไม่อาจเทียบได้เลย

หัวหน้าทีมเหล่านี้ต่างถูกลากเข้ามาร่วมกลุ่มนักเรียนใหม่ผ่านการตีสนิทของเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อลูกพี่หลาน ไม่อาจให้พวกเขาทรยศลูกพี่หลานได้

บางทีอาจะเป็นเพราะคำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นมีประสิทธิภาพ เวลานี้หัวใจของหัวหน้าทีมหลายคนที่เดิมทีลังเลอยู่บ้างก็ได้มั่นคงแน่วแน่ขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร พวกเขาตัดสินใจแล้วว่ายังคงเดินตามลูกพี่หลาน ไม่ว่าจะพูดยังไง ลูกพี่หลานก็เหมือนกับพวกเขา เป็นนักเรียนใหม่รุ่นเดียวกัน คำนึงถึงพวกเขาได้ง่ายมากกว่า เห็นได้ชัดว่าดีกว่ากลุ่มอำนาจอื่นอีก

เกาจิ้นอวิ๋นเห็นคนพวกนั้นแสดงตนแล้วว่าจะไม่ทรยศก็โล่งใจทันใด จากนั้นก็มองการประลองของลูกพี่หลานเงียบๆ เวลานี้เขาไม่รู้เลยว่า เดิมทีหลิงหลานก็อยากฉวยโอกาสเก็บกวาดพวกสมาชิกที่เห็นได้ชัดว่าหันหางเสือตามลมอยากเอารัดเอาเปรียบ

แน่นอนว่าการกระทำของเขาไม่ใช่ว่าไม่มีความหมายเลย เนื่องจากเขาทำให้สมาชิกทีมเหล่านี้มั่นคง ไม่ทรยศกลุ่มนักเรียนใหม่ ทำให้บรรดาสมาชิกจากสถาบันศูนย์กลางยอมรับพวกคนของสถาบันอื่นที่มาจากโดฮาเหล่านี้อย่างแท้จริง นี่ทำให้หลิงหลานกลายเป็นราชาของนักเรียนใหม่ มีรากฐานที่ดีอย่างยิ่งยวดโดยแท้จริงแล้ว เรียกได้ว่า ได้รับผลประโยชน์มาโดยไม่ได้คาดคิด…

ตอนนี้เอง หลังจากที่หลิงหลานกับฮั่วเจิ้นอวี่ขึ้นไปบนเวทีประลองแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำการเตรียมตัวอะไร หากแต่ยืนอยู่ตรงด้านหนึ่งตามใจชอบเท่านั้น ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มาเข้าร่วมการประลองที่ตัดสินแพ้ชนะสุดท้าย หากแต่เข้ามาเดินเล่นสักรอบ

อย่างไรก็ตาม ถังอวี้ที่เป็นกรรมการเห็นแบบนี้ก็ลอบพยักหน้า ถึงแม้ทั้งคู่ดูเหมือนผ่อนคลาย ท่ายืนคล้ายกับเรื่อยๆ เอื่อยๆ แต่ความจริงแล้วกลับไม่มีช่องโหว่เลยสักนิดเดียว ถังอวี้เชื่อว่า ขอเพียงมีลมเป่าหญ้าพลิ้วไหวสักเล็กน้อยละก็ ทั้งสองคนย่อมเข้าต่อสู้ได้ในชั่วพริบตาแน่นอน ทั้งหมดนี้คือผลจากการที่นำการต่อสู้มาหลอมรวมเข้าไปในสัญชาตญาณโดยตรง เห็นได้ว่าระดับของเขตการต่อสู้ของทั้งสองคนเหนือกว่านักเรียนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่

เวลานี้เอง ต่อให้ถังอวี้ใจเย็นอีกแค่ไหนก็อดเหลือบมองหลิงหลานแวบหนึ่งไม่ได้ เอ่ยพึมพำในใจว่า ปีศาจอัจฉริยะคนนี้มาจากไหนกันแน่นะ…

พันเอกถังอวี้เก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว ไม่ได้สอบถามทั้งสองคนว่าเตรียมพร้อมดีแล้วหรือยัง เขาโบกมือใหญ่ๆ ทีหนึ่งทันที ประกาศเสียงสูงว่า “เริ่มการประลองได้!” จากความสามารถของทั้งสองคน พวกเขาไม่สนใจว่าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง ถังวี้เองก็ไม่คิดทำเรื่องเกินความจำเป็นเช่นกัน

หลังจากเสียงของถังอวี้ดังลงมา หอต่อสู้พลันเงียบกริบ ความสนใจของทุกคนต่างเพ่งไปที่ร่างของคนทั้งสอง