ตอนที่ 263 การกดดันของพลัง!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ถึงแม้ว่าพันเอกถังอวี้ประกาศว่าการประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทว่าหลิงหลานกับฮั่วเจิ้นอวี่ต่างไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกับไม่ได้ยินเลย

ท่าทีของหลิงหลานดูเคร่งขรึมเย็นชา สองมือไพล่หลังยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของเวทีประลองอย่างเยือกเย็น ส่วนฮั่วเจิ้นอวี่ก็หลุบตาลงต่ำ ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เหมือนกับไม่สนใจว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองเป็นใคร ราวกับว่าเหตุการณ์เผชิญหน้ากันของทั้งสองคนที่เกิดขึ้นตอนการประลองรอบที่สามไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย…

คนหนึ่งขรึมเย็นชา คนหนึ่งก็สงบนิ่งเช่นนี้เอง ทั้งคู่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ให้เวลาไหลไปทีละนิด ผ่านไปหนึ่งนาที ผ่านไปสองนาที และก็ผ่านไปสามนาที…ภายในหอต่อสู้เกิดเสียงเอะอะดังขึ้นบ้างตามเวลาที่ไหลผ่านไป โดยเฉพาะนักเรียนเก่าบางคนที่รู้สึกตื่นตกใจที่ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่เลือกโจมตีหลังจากเวลาผ่านไปนานขนาดนี้

พวกเขาคิดว่า ฮั่วเจิ้นอวี่ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ของโรงเรียนทหารย่อมจัดการคู่ต่อสู้ได้สบายๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เข้าใจอย่างยิ่งยวดที่ฮั่วเจิ้นอวี่รอคอยเป็นเวลานานแบบนี้

พวกเขาไม่รู้เลยว่า ไม่ใช่ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่อยากลงมือ หากแต่ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่มีโอกาสลงมือเลย ฮั่วเจิ้นอวี่หาช่องโหว่ของฝ่ายตรงข้ามมาตลอดในช่วงเวลาสามนาทีนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะหายังไง ก็ไม่เจอโอกาสที่เขาคิดว่าลงมือได้เลย ต่อให้มีโอกาสรางเลือนไม่กี่อันก็ถูกตัวฮั่วเจิ้นอวี่ปฏิเสธเอง เนื่องจากเขารู้สึกว่าตรงนั้นมีวิกฤติอันตรายที่เขาอธิบายไม่ได้

ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ดังนั้นเขาจึงเลือกรอคอยต่อไป และการรอคอยครั้งนี้ก็เลยสามนาทีแล้ว…

“ไม่มีช่องโหว่เลยสักนิด…” ฮั่วเจิ้นอวี่อดยิ้มขื่นในใจไม่ได้ เวลานี้เขาตั้งท่าป้องกันใส่หลิงหลานขึ้นมาอย่างลับๆ เช่นกัน คู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาหาช่องโหว่ไม่เจอได้ ความสามารถของเขาย่อมไม่อ่อนด้อยตรงไหนเลย

แต่ว่าเขาต้องรอต่อไปอีกเหรอ? ฮั่วเจิ้นอวี่ปฏิเสธความเป็นไปได้ข้อนี้ไปทันที จากความสามารถของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้เขารอต่อไปอีก ก็คงไม่มีช่องโหว่ถึงแก่ชีวิตอะไรโผล่ออกมาหรอก เขาผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา ตัดสินใจบีบให้อีกฝ่ายเปิดช่องโหว่ออกมาเอง

ด้วยเหตุนี้ พลังสายหนึ่งของฮั่วเจิ้นอวี่ก็ปะทุขึ้นจากร่างเขาแล้วอัดไปที่หลิงหลานอย่างมืดฟ้ามัวดิน

อันที่จริงนักสู้ไปถึงช่วงปลายของระดับพลังปราณแล้วหรือไม่ ก็ต้องดูว่านักสู้เชี่ยวชาญการควบคุมพลังของตัวเองหรือเปล่า พูดอีกอย่างก็คือ นักสู้ที่อยู่ช่วงปลายของระดับพลังปราณสามารถปล่อยพลังของตัวเองบดขยี้ศัตรู ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถสำแดงพลังรบออกมาได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ภายใต้แรงกดดันของพลังเขา เมื่อมาถึงช่วงปลายของระดับพลังปราณ เขาไม่มีทางพ่ายแพ้เมื่อต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ในระดับขอบเขตที่ต่ำกว่า

แน่นอนว่าการที่ฮั่วเจิ้นอวี่เปิดใช้การกดดันของพลังยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือเขาต้องรู้ความสามารถที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม และการกดดันของพลังก็คือวิธีการหยั่งเชิงที่ดีมากอันหนึ่ง

หลิงหลานกับฮั่วเจิ้นอวี่ชะงักงันมาสามนาทีแล้ว ในระหว่างนั้นก็ออกกระบวนท่าล่อลวงหลายท่า ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบฮั่วเจิ้นอวี่ไม่รับกระบวนท่าเลย นี่ทำให้หลิงหลานอดชื่นชมไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่มีประสบการณ์โชกโชนจริงๆ สามารถมองแผนการของเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ไม่ผิด สาเหตุที่หลิงหลานไม่ได้ลงมือบุกก่อนเป็นเพราะว่าเธอก็หาช่องโหว่การป้องกันของคู่ต่อสู้ไม่เจอเหมือนกัน ต่อให้ออกกระบวนท่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ถูกฝ่ายตรงข้ามหลบได้สบายๆ อย่างไรก็ตาม เธออยากเอาชนะคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียว อยากแสดงบารมีของกลุ่มนักเรียนใหม่ออกมา ให้คนอื่นๆ ไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาง่ายๆ…

จำเป็นต้องพูดว่า ฮั่วเจิ้นอวี่น่าเวทนามาก เขากลายเป็นไก่ที่หลิงหลานอยากเชือดให้ลิงดู ถึงแม้มีความเป็นไปได้สูงว่าไก่ตัวนี้คือไก่ชนที่น่ากลัว แต่มันก็เปลี่ยนแปลงแผนการที่หลิงหลานวางไว้ตั้งแต่แรกที่รับการเดิมพันไม่ได้

แน่นอนว่าจากความสามารถของหลิงหลาน เธอเปิดใช้ความสามารถผนึกแรงเคลื่อนไหวที่สั้นสุดขีดของฝ่ายตรงข้ามได้ชั่วคราว สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว แต่หลิงหลานที่เป็นคนชอบเก็บงำความสามารถกับทุกเรื่องย่อมไม่ยินดีเปิดเผยไพ่ตายของตัวเองออกมาทั้งหมด ดังนั้นหลิงหลานยังคงอยากสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่นี้โดยที่อำพรางความสามารถไว้

ในขณะที่หลิงหลานกำลังคิดอยู่ว่าควรทำยังไงต่อไปดี ทันใดนั้นเองเธอสัมผัสได้ว่าพลังของฝ่ายตรงข้ามระเบิดออกมาฉับพลัน ก่อนจะกดอัดมาที่เธอ หลิงหลานใจสั่นไหว ‘อยู่ขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณช่วงปลายอย่างที่คิดเอาไว้เลย …ถ้าเกิดเป็นฉันเมื่อสามปีก่อนคงจะต่อสู้ลำบากจริงๆ แต่ว่าตอนนี้…’

เนื่องจากอาจารย์หมายเลขห้าเคยยืมร่างกายหลิงหลานมาก่อน ทำให้เธอทะลวงจากขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณช่วงปลายมาเป็นขั้นสมบูรณ์ได้ และเนื่องจากร่างกายมีความทรงจำของระดับเขตแดนทำให้เธอโชคดีคลำเจอความลับของระดับเขตแดน ถึงแม้เธอไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับเขตแดนได้อย่างเป็นทางการเพราะสาเหตุต่างๆ แต่เธอก็เข้าสู่ระดับเขตแดนครึ่งก้าวในตำนานได้จริงๆ! มีความสามารถเปิดใช้เขตแดน ถึงแม้ช่วงเวลาจะสั้นอย่างน่าตกใจ แต่ก็เป็นเพราะความสามารถนี้ที่ทำให้หลิงหลานกลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานต่อคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับเขตแดนอย่างแท้จริง

ทันทีที่พลังของอีกฝ่ายกดดันมา หลิงหลานก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามวางแผนอะไร มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับแสดงความหนักแน่นจริงจังออกมา ท่วงท่าที่เดิมทีไร้ช่องโหว่ค่อยๆ พังลงมา…

“โอกาสมาแล้ว!” แววตาของฮั่วเจิ้นอวี่สว่างไสว ร่างกายพุ่งออกไปพริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าหลิงหลาน ชูหมัดขวาที่เตรียมพร้อมเอาไว้นานแล้วขึ้นมา จากนั้นก็ต่อยหมัดที่แข็งแกร่งทรงพลังเข้าไปทันที

“มาแล้ว ลูกพี่ฮั่วลงมือแล้ว” การเคลื่อนไหวบนเวทีสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมาก ในตอนที่ฮั่วเจิ้นอวี่เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวนั้น ผู้คนด้านล่างที่เฝ้ารอการประมือกันพากันตะโกนขึ้นมา ทว่าตอนที่พวกเขาร้องตะโกนออกมานั้น ทั้งสองคนที่อยู่บนเวทีก็ได้ปะทะกำปั้นใส่กันแล้ว

“มาได้ดี!” หลิงหลานคว้าหมัดที่เข้ามาตรงๆ โดยที่ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิดเดียว เธอรอคอยกระบวนท่านี้มานานแล้ว อาศัยความสามารถของเธอย่อมไม่กลัวกระบวนท่าแบบนี้แน่นอน

ความจริงแล้วเส้นทางที่หลิงหลานเดินไปคือเส้นทางของวิถีครอบงำที่แข็งแกร่งทรงพลังเช่นนี้ ทว่าจากคำพูดของหมายเลขเก้าที่เป็นอาจารย์ในมิติบอกว่า มันไม่ใช่เส้นทางที่ผู้หญิงควรเดินไปเลย แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ที่สั่งสอนเธอดันเป็นผู้ชาย โดยเฉพาะหมายเลขหนึ่งที่แข็งแกร่งทรงอำนาจ ต่อให้หมายเลขเก้าไม่พอใจอีกแค่ไหน ก็ไม่กล้าคัดค้านอย่างโจ่งแจ้ง มีเพียงพยายามสอนยิวยิตสูให้หลิงหลานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าหลิงหลานไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนผู้หญิงที่แมนเกินชายขนาดนั้น

เสียง ‘ปัง’ ดังเบาๆ! หมัดของหลิงหลานปะทะเข้ากับหมัดของฮั่วเจิ้นอวี่อย่างแม่นยำ ฟังเสียงนี้แล้วคล้ายกับพลังของทั้งสองคนไม่ได้มากมายเลย ทว่าบริเวณขอบเวทีประลองกลับส่องแสงพราวพร่าง นี่บ่งบอกว่าเวทีประลองถูกพลังปราณที่คนทั้งสองปล่อยออกมาปกคลุมไปทั่วแล้ว ถึงขนาดที่เกือบจะถึงจุดวิกฤติอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว เลยทำให้เวทีประลองส่องแสงเจิดจ้าแบบนี้ออกมา

อย่างที่คิดไว้จริงๆ พื้นบนเวทีประลองมีรอยแตกนับไม่ถ้วนแผ่จากพื้นที่พวกเขาสองคนยืนอยู่เป็นศูนย์กลางออกไปด้านนอก เห็นได้ถึงพลังมหาศาลที่คนทั้งสองแบกรับไว้

ทั้งสองคนชะงักงันไปหลายวินาทีก่อนจะถูกดีดออกไปฉับพลัน หลิงหลานถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวถึงค่อยยืนนิ่ง ส่วนฮั่วเจิ้นอวี่ก็ถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาสูสีกัน แต่พวกเขาสองคนยังมีบางอย่างที่แตกต่างกัน สีหน้าของหลิงหลานยังคงเย็นชาเหมือนเก่า แต่สีหน้าของฮั่วเจิ้นอวี่กลับขึ้นสีแดงก่อนจะซีดขาว หลังจากนั้นก็เห็นมุมปากของเขามีเลือดไหลซิบๆ

ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างส่งเสียงฮือฮา ผู้คนทั่วทั้งเขตพื้นที่ของเหลยถิงหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ โดยเฉพาะหลินจื้อตง ดวงหน้านั้นดูย่ำแย่ทันที น่าเกลียดจนไม่อาจมองตรงๆ ได้

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง!” ไม่เพียงบรรดานักเรียนเก่าที่ชมการประลองด้านล่างเวทีทำใจเชื่อได้ยากแล้ว กระทั่งผู้นำของกลุ่มอำนาจในบ็อกซ์ใหญ่ต่างๆ ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่กล้าเชื่อฉากที่ตัวเองเห็น

ไม่ว่านักเรียนเก่าเหล่านั้นจะตกตะลึงอย่างไร สมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่เห็นฉากนี้ทยอยกันกระโดดร้องเชียร์ขึ้นมา อย่างที่คิดไว้เลย ลูกพี่หลานคือคนที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้

คนของเหลยถิงเห็นคนของกลุ่มนักเรียนใหม่ปรบมือฉลองอยู่ตรงนั้นก็เงียบลงบ้างอย่างเห็นได้ชัด มีคนของเหลยถิงจำนวนไม่น้อยได้แต่ปลอบใจตัวเองอย่างสุดชีวิต ลูกพี่ฮั่วของพวกเขาอาจจะดูถูกศัตรู กระบวนท่านั้นไม่ได้ใช้พลังหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นถึงถูกฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสไว้ได้…พวกเขาทำได้เพียงให้กำลังใจลูกพี่ฮั่วของตัวเองอย่างลับๆ หวังว่ากระบวนท่าต่อไปจะสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามได้ พิสูจน์ยืนยันความแข็งแกร่งของลูกพี่ฮั่ว และถือโอกาสลดทอนความทระนงตนของนักเรียนใหม่เหล่านี้

ไม่พูดถึงคนด้านล่างเวทีแล้วว่าคิดยังไง เวลานี้ฮั่วเจิ้นอวี่ที่อยู่บนเวทีตกตะลึงไปแล้ว เดิมทีเขามั่นใจในความสามารถของตัวเองอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่คิดว่าต่อให้เป็นอาจารย์ในโรงเรียนทหารก็อาจจะไม่ได้เหนือกว่าเขาในด้านการต่อสู้มือเปล่าเท่าไหร่เลย ทว่าตอนนี้นักเรียนใหม่คนหนึ่งกลับทำให้เข เกิดความรู้สึกว่าเขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้ หมัดที้ใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาถูกฝ่ายตรงข้ามรับไว้ได้อย่างสบายๆ กระทั่งตอนที่ปะทะกำลังภายในต่อจากนั้น เขาก็ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ หรือว่าระดับขอบเขตของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขาจริงๆ?

“เฮ้ ยังสู้อีกไหม?” เสียงเย็นชาของหลิงหลานดังขึ้นข้างหูฮั่วเจิ้นอวี่ ทำให้ฮั่วเจิ้นอวี่หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา เมื่อสักครู่นี้เขาถูกอัดจนลืมไปแล้วว่าเขายังอยู่ในระหว่างการประลอง ถ้าหากไม่ได้คำเตือนของอีกฝ่าย และถูกลอบโจมตีทันทีละก็ เขาอาจจะตกเป็นเหยื่อไปแล้ว ถ้าเกิดได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุนี้ละก็ เช่นนั้นการประลองรอบนี้คงต่อสู้ลำบากแล้วจริงๆ

ถังอวี้มองหลิงหลานด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง ควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อสักครู่นี้คือโอกาสดีในการลอบโจมตี เดิมทีเขาคิดว่าหลิงหลานไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไป ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะส่งเสียงเตือน นี่เป็นการปฏิบัติตามหลักความยุติธรรมของวิถีนักรบเหรอ? ถังอวี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ ความคิดเช่นนี้ไม่เป็นที่ต้องการในสนามรบ

อย่างไรก็ตาม ถังอวี้คลายหัวคิ้วออกอย่างรวดเร็ว เผลอหัวเราะขึ้นมา ถึงยังไงหลิงหลานก็เป็นแค่นักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสู่โรงเรียนทหาร คนที่ไม่เคยผ่านสนามรบย่อมไม่รู้ว่า บนสนามรบไม่มีสิ่งที่เรียกว่าหลักความยุติธรรม มีเพียงคนที่เอาชีวิตรอดมาได้ถึงจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง บางทีรอให้อีกฝ่ายผ่านสนามรบแล้วก็อาจจะเข้าใจได้ว่าวิธีการที่ถูกต้องคืออะไร

ไม่ใช่ว่าหลิงหลานไม่เคยคิดเรื่องลอบโจมตี แต่ถ้าเธอเอาชนะคู่ต่อสู้แบบนี้ละก็ คนของเหลยถิงอาจจะคิดว่าเธอชนะโดยบังเอิญ ไม่ได้อาศัยความสามารถที่แท้จริงเอาชนะคู่ต่อสู้ นี่ไม่ตรงกับผลลัพธ์ที่เธอต้องการ ดังนั้นถึงได้ดูเหมือนเตือนฮั่วเจิ้นอวี่ด้วยความหวังดี

“เตรียมพร้อมเสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นต่อไปฉันจะบุกแล้วนะ” หลิงหลานเอ่ยกับฮั่วเจิ้นอวี่อย่างจริงจัง

ฮั่วเจิ้นอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มขื่น ในเมื่อเขารับคำเตือนปรารถนาดีของอีกฝ่าย เขาจำเป็นต้องรับกระบวนท่านี้ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยินดีปฏิบัติต่อเขาตามหลักความยุติธรรม เขาก็ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายดูถูกเขาได้เหมือนกัน

หลิงหลานเห็นดังนั้นแววตาก็ส่องประกายเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ กระบวนท่านี้คือท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน นายต้องระวังตัวไว้ล่ะ!”

คำพูดนี้ทำให้ถังอวี้กับฮั่วเจิ้นอวี่ที่อยู่บนเวทีประลองไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับยังไงดี ต้องโทษที่อีกฝ่ายพูดจาเปิดเผยมากเกินไป หรือว่าต้องเตือนให้อีกฝ่ายเก็บงำไว้หน่อยดี?

เวลานี้พวกเขาสองคนไม่คาดคิดเลยว่า หลิงหลานกล่าวคำพูดประโยคนี้ก็เพื่อหวังว่าฮั่วเจิ้นอวี่จะไม่หลบ คำพูดสองประโยคที่ดูเปิดเผยตรงไปตรงมานี้ ความจริงแล้วเป็นการพูดดักไว้ทำให้ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่มีช่องทางให้ถอยหนี และยังคิดว่านี่เป็นการเลือกของเขาเองด้วย

ตอนนี้มุมปากของหลิงหลานอดยกขึ้นนิดหน่อยไม่ได้ คำเตือนของเธอได้รับความซาบซึ้งใจจากอีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจำเป็นต้องเลือกฝืนรับกระบวนท่าของเธอ นี่ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ประหยัดเวลาของเธอไปไม่น้อยเลย

หลิงหลานสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าน้อยๆ หนึ่งก้าว มือขวากำหมัดต่อยออกไปเบาๆ

หมัดนี้ดูเบาหวิวอยู่บ้าง แต่หลิงหลานรู้ดีว่าเธอใช้หมัดหนึ่งนิ้วในกระบวนท่านี้ อย่างไรก็ตาม การแสดงออกที่ดูสง่างามอย่างยิ่งยวดของอีกฝ่ายทำให้หลิงหลานไม่อยากทำเกินเลยไปเหมือนกัน ดังนั้นจึงใช้แค่หมัดหนึ่งนิ้วขั้นสามเท่านั้น