บทที่ 16 เข้าเลือดเข้าเนื้อ (4) โดย Ink Stone_Romance
ชิงหลัวที่ถูกช่วยชีวิตไว้กลางคันเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง
ชายคนนั้นขมวดคิ้วพลางจ้องมองนางสักพัก แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“เมื่อตอนกลางวันข้าบังเอิญเจอนางระหว่างทางจึงพานางกลับมา” หญิงคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องกับคนของจวนอ๋องฉางซุ่น ฐานะของซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นไม่ธรรมดา ข้าไม่อาจแตะต้องเขาได้ จึงพานางกลับมาด้วย”
“บาดเจ็บสาหัสหรือ?” เขาถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนกำลังเป็นเดือดเป็นร้อน
หญิงคนนั้นเห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหลีกทางให้เขา
ชายคนนั้นขยับไปนั่งข้างเตียง แล้วยื่นมือไปตรวจชีพจรให้ชิงหลัว และขมวดคิ้วแน่นขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเหม่อลอย ผ่านไปสักพักก็สงบจิตใจอย่างรวดเร็ว แล้วก็พูดไปตามอาการว่า “บาดเจ็บหนักทีเดียว แผลที่ไหล่ไม่ถึงตาย แต่บาดแผลตรงช่วงท้องบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน ข้าจัดการให้นางแล้ว แต่ไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะรอดหรือไม่ อีกอย่างนางจะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจคาดเดาได้”
ชิงหลัวบาดเจ็บเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะนางจิตใจเข้มแข็ง ต่อให้ถูกพากลับมาก็เป็นศพไปตั้งนานแล้ว
การทุ่มเทเวลาและแรงกายเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นนางคงไม่สนใจ แต่ก็บังเอิญมาเจอชิงหลัวจนได้
ความคิดของหญิงคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ถามต่อไปอีกว่า “ท่านคิดว่าอย่างไร? ข้าไม่แน่ใจว่าจะรักษาชีวิตนางไว้ได้ จะส่งนางกลับไปหรือไม่? ได้ยินว่าตอนนี้คนของวังบูรพากำลังตามหานางกันให้วุ่น”
ชายนั้นลองจับชีพจรให้นางดูอีกครั้ง ผลออกมาก็เหมือนเดิม…
ชีพจรเต้นสับสน อาการน่าเป็นห่วงยิ่งนัก
เขาสะบัดเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้น สายตาหันไปมองหน้าของหญิงคนนั้น ครุ่นคิดแล้วถามว่า “นางเห็นหน้าเจ้าแล้วรึ?”
“อืม!” หญิงคนนั้นพยักหน้า “แต่ว่าตอนนั้นนางเจ็บหนัก ต่อให้ฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้ บางที…”
นางพูดไปก็ชะงักและลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ชายคนนั้นเงยหน้ามองนาง ชั่วพริบตานั้นก็เข้าใจความคิดของนาง
“ไม่ได้! ต่อให้นางไม่ตาย ช่วงนี้นางก็ปรากฏตัวอีกไม่ได้” ชายคนนั้นหลับตาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนผ่านไปสักพักก็ค่อยๆ เอ่ยไม่เชิงสั่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ่งชัดเจนว่าไม่ใช่น้ำเสียงปรึกษา “เจ้าพยายามให้เต็มที่เถอะ ส่วนจะรอดหรือไม่นั้น…แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต!”
“อืม! ข้าจะจัดการ” หญิงสาวคนนั้นไม่ได้พูดอะไรมาก เดินไปเก็บมุมผ้าห่มให้ชิงหลัว สีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก
ชายคนนั้นมองท่าทางระมัดระวังมากและใบหน้าไร้อารมณ์ของนาง สีหน้าแลดูจนใจ แต่ตอนที่นางขยับตัวชิงหลัวเรียบร้อยแล้วและหันมา สีหน้าของนางก็กลับมามีชีวิตชีวาเป็นเหมือนเดิม
ทั้งสองคนบังเอิญสบตากัน
หญิงคนนั้นดูราวกับมีเรื่องจะพูด แต่นางขยับริมฝีปากเล็กน้อย สุดท้ายกลับเม้มปากแล้วนิ่งเงียบไป
“บาดแผลของเจ้า…” สายตาของชายคนนั้นกวาดตาไปยังใต้ซี่โครงของนาง เขากำลังจะเอ่ยปากแล้ว แต่กลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทบจะทันที “ช่วงนี้ให้หยุดภารกิจทุกอย่าง หากมีเรื่องอะไรก็ให้คนอื่นไปจัดการแทน”
“อืม!” หญิงคนนั้นเหลือบตาลง พลางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในห้องเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงไหม้ของเปลวแสงเทียน
ภายใต้บรรยากาศสงบเงียบ ในที่สุดก็ยังเป็นชายหนุ่มที่ยอมให้และล้วงขวดแก้วเล็กออกมาจากในอกเสื้อส่งให้นาง
หญิงคนนั้นรับมาโดยไม่ถามสักคำ
ชายคนนั้นพูดว่า “นี่เป็นยาเม็ดเซวี่ยซานที่ปนมาในของบรรณาการของชาวต่างชาติและทิ้งอยู่ในห้องเก็บของ ว่ากันว่าผ่านการสกัดเป็นอย่างดี มีประโยชน์ช่วยให้แผลสมานกลับมาเป็นเหมือนเดิม เจ้าเอาไปเถอะ”
เขาพูดจบก็หยุดไปชั่วครู่ แล้วมองชิงหลัวที่อยู่บนเตียงอีกครั้ง พลางเอ่ยเสริมว่า “เจ้ากับนางกินคนละเม็ด ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลก็ได้!”
เรื่องเช่นนี้ยิ่งปกปิดก็ยิ่งเห็นได้ชัด ถึงจะเป็นความเป็นห่วงใยต่อนางก็ไม่อาจเผชิญหน้าตรงๆ ได้
เรื่องระหว่างพวกเขาสองคนจะจบลงเช่นนี้หรือ?
หญิงคนนั้นกำขวดยานั้นไว้แน่น พยักหน้าขณะที่สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึก “อืม!”
ก่อนที่บรรยากาศภายในห้องจะยิ่งเยือกเย็นไปมากกว่านี้ ชายคนนั้นก็ตัดสินใจเอ่ย “งั้นข้าไปล่ะ!”
“อืม!” หญิงคนนั้นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้กระทั่งคำว่า ‘ระวังตัวด้วย’ นางยังไม่เอ่ยออกมา แค่มองเขาผลักประตูออกไป แล้วหันมาปิดประตูห้อง จนตอนหลังเงาของเขาที่ตกบนกระดาษปิดหน้าต่างค่อยๆ เล็กลงและเลือนราง สุดท้ายก็เป็นเสียงเปิดและปิดประตูเรือนอีกครั้งดังมาแว่วๆ
ชิงหลัวอยู่ในสภาพสลบไม่ได้สติ ชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย กระทั่งหายใจยังแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
เปลวไฟในกระถางไฟภายในห้องสว่างไสว ความเงียบเหงาอ้างว้างเช่นนี้ยิ่งทำให้หนาวเหน็บไปถึงกระดูก
หญิงคนนั้นยืนเงียบๆ นานมาก แล้วก็หันหลังกลับไปข้างเตียง และหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะข้างๆ มา
เนื่องจากเครื่องบรรณาการนี้เป็นของล้ำค่า ฉะนั้นยาเม็ดสีขาวกึ่งใสที่อยู่ในขวดจึงมีแค่สองเม็ด เมื่อเปิดขวดออกมาก็ได้กลิ่นยาสมุนไพรที่สดชื่นเย็นสบาย
นางเทยาหนึ่งเม็ดออกมา ใช้น้ำอุณหภูมิปานกลางละลายยา จากนั้นนางก็นั่งลงบนเตียงประคองชิงหลัวที่อาการร่อแร่ให้ลุกขึ้นนั่งแล้วก็บรรจงป้อนยาครึ่งถ้วยชาเข้าปากชิงหลัว จนกระทั่งแน่ใจว่าชิงหลัวกลืนลงไปหมดแล้วถึงวางกลับไปบนเตียงอีกครั้ง แล้วก็เก็บยาเม็ดที่เหลือซ่อนไว้อย่างมิดชิด
เหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางรวมตัวกันออกตามหา ฉู่ฉีเฟิงก็โยกย้ายกำลังคนขององครักษ์ของวังบูรพาและกองกำลังรักษาพระนครบางส่วน เหยียนหลิงจวินยังใช้กระทั่งเครือข่ายของหอเชียนจีของซูอี้ให้ตามหาเบาะแสของชิงหลัวอย่างเต็มกำลังด้วย
แรกสุดขอบเขตการค้นหาเริ่มจากเส้นหอยลนทีแล้วก็ขยายไปทั่วทั้งเมือง แม้จะใช้วิธีการมากมายก็ยังไม่ได้ผล
เวลาเลยยามสามเกิงไปแล้ว ทั้งฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางต่างไม่อาจทำอะไรได้จึงขี่ม้าทยอยกลับ
“หรือว่านางจะถูกคนพาตัวออกไปนอกเมืองแล้ว?” ฉู่ฉีเฟิงเริ่มไม่แน่ใจ ถึงอย่างไรจากคำสารภาพขององครักษ์คนนั้นชิงหลัวก็ได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้วหากนางชักช้าอีกนิดเดียวก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
“ไม่แน่ว่าเหยียนหลิงอาจจะมีข่าวความคืบหน้าบ้างแล้ว!” ฉู่สวินหยางพยายามฝืนยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าจะปลอบใจฉู่ฉีเฟิงหรือปลอบใจตัวเองกันแน่
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางขมวดคิ้วแน่นก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เขายกมือลูบผมด้านหลังนางเบาๆ แล้วสายตาเขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นปิ่นปักผมหยกที่อยู่บนศีรษะนาง
ปิ่นปักผมนั้นฝีมือและการแกะสลักดูไม่ธรรมดา เขาไม่เคยเห็นนางใช้ปักผมมาก่อน
ฉู่ฉีเฟิงจ้องมองไม่ละสายตา
ฉู่สวินหยางเห็นเขาเงียบไปนาน จึงเหลือบไปมองว่า “ท่านพี่ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไรหรอก!”
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มให้นาง แต่สายตาก็ยังอดที่จะมองปิ่นปักผมของนางไม่ได้ เขาอยากจะเอ่ยปากถามหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดทั้งที่อยากพูด
เดินทางต่อไปอย่างเงียบเชียบได้ระยะหนึ่ง ผ่านอีกสามตรอกก็จะถึงวัง แต่กลับเห็นแสงไฟแผ่ออกไปและบุกเข้ามาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
พลังแข็งแกร่งและอานุภาพรุนแรงมากเกินกว่าจะขัดขวางได้
ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงต่างทำใจให้สงบและสบตากัน
“พวกเจ้าเป็นใคร?” เจี่ยงลิ่วขี่ม้าเข้าไปขวางหน้าไว้ก่อน
คนกลุ่มนั้นมาเร็วมาก แท้จริงเป็นเครื่องแบบของกองทหารองครักษ์ในวังหลวง ผู้บัญชาการทหารขี่ม้าเข้ามาด้านหน้า แสงไฟกระทบราชโองการที่อยู่ในมือเขา “ท่านหญิงฉู่สวินหยางใจกล้ามาก สั่งบ่าวรับใช้ของตนเองให้บุกเข้าไปลอบสังหารใต้เท้ากู้ที่ศาลาว่าการพระนคร ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้คุมตัวไปขังคุกหลวงเดี๋ยวนี้ และมอบหมายให้ศาลต้าหลี่ไต่สวนตัดสินโทษ!”
ลอบสังหารกู้ฉางเฟิง?
ฉู่สวินหยางรู้สึกว่าช่างน่าขำ…
กู้ฉางเฟิงคนคนนี้ไม่ยอมนิ่งเฉย ทว่าเรื่องนี้จะมากเกินไปแล้ว!
“เจ้าบอกว่าข้าให้คนลอบทำร้ายใต้เท้ากู้รึ?” ฉู่สวินหยางยิ้ม แล้วเหลือบตาลงไปหยิบแส้ม้าขึ้นมาดู “ในเมื่อท่านมีราชโองการในมือ เช่นนั้นก็น่าจะมีพยานและหลักฐานครบหมดแล้วใช่หรือไม่?”
คนนั้นหน้าตาไม่แยแส แล้วยังเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าสนใจแค่ว่าได้รับคำสั่งให้มาเอาตัวไป ไม่สนว่าท่านหญิงจะยอมรับผิดหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ท่านต้องไปให้การกับศาลหลังจากนี้ ตอนนี้ขอเชิญท่านหญิงและคังจวิ้นอ๋องตามข้ากลับไปรายงานก่อนเถิด!”
ระหว่างที่พูดเขาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้องครักษ์ที่ติดตามมามาเอาตัวคนไป
เขามีราชโองการอยู่ในมือ ฉะนั้นฉู่ฉีเฟิงกับฉู่สวินหยางจึงไม่อาจต่อกรกับเขาได้
แต่ฉู่ฉีเฟิงเข้าไปกางแขนขวางเอาไว้และไม่ให้องครักษ์เหล่านั้นเข้าใกล้ฉู่สวินหยาง
คนนั้นก็รู้ดี จึงขี่ม้าไปถวายราชโองการให้ฉู่ฉีเฟิงด้วยสองมือทันที
หลังจากฉู่ฉีเฟิงยืนยันว่าราชโองการฉบับนี้เป็นลายพระหัตถ์และเป็นตราประทับของฮ่องเต้ไม่มีผิดแล้ว สีหน้าก็จริงจังมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่สีหน้าของเขากลับเยือกเย็นตลอด เขาคืนราชโองการกลับไปและขยับเสื้อคลุมของฉู่สวินหยางให้เข้าที่ว่า “เจ้าตามพวกเขาไปเถอะ ไม่ต้องกลัวนะ เจ้ายังมีข้ากับท่านพ่อ ข้าจะไม่ให้เจ้าถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยเด็ดขาด!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางยิ้ม “ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า!”
นางเอ่ยจบก็ขี่ม้าเข้าไปรวมกลุ่มกับกองทหารของอีกฝ่าย และถูกองครักษ์หลายสิบคนที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา
“ขอบคุณท่านหญิงและคังจวิ้นอ๋องที่เข้าใจ!” ผู้บัญชาการทหารที่รับคำสั่งให้มาคุมตัวเห็นทั้งสองคนเยือกเย็นเช่นนี้ สีหน้ากลับอึ้งไป ก่อนที่เขาจะหันไปก็กดเสียงต่ำลงและบอกเป็นนัยกับฉู่ฉีเฟิงว่า “คังจวิ้นอ๋อง ใต้เท้ากู้ถูกลอบฆ่าตาย ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ขอท่านโปรดเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ!”
ไม่ใช่กลอุบายทำร้ายตนเองเพื่อหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อหรือ? กู้ฉางเฟิง…
ตายแล้วหรือ?
—————————————————-