บทที่ 17 ขิงก็ราข่าก็แรง… เผชิญหน้าในห้องพิจารณาคดี (1) โดย Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางแย้มยิ้มขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางฝูงชน จากนั้นก็ฟาดแส้หวดก้นม้าหมุนกายตามคนกลุ่มนั้นไปทางด้านหน้า
ถ้าจะให้พูดตามตรงวังบูรพาก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือบริเวณวังหลวง โดยใช้กำแพงสูงตระหง่านเป็นตัวแบ่งกั้น นอกจากนั้นก็มีประตูจวนแยกเป็นอิสระออกมา
ฉู่ฉีเฟิงกลับจวนทางเดียวกับฉู่สวินหยาง เพียงแต่เวลานี้แม้จะใช้ถนนเส้นเดียวกันแต่กลับคนละทาง
เขาส่งสายตามองฉู่สวินหยางและคนกลุ่มนั้นห่างออกไป ประกายตาทอดยาวไปสุดถนนจนกระทั่งลับตา ฉู่ฉีเฟิงนั่งนิ่งบนหลังม้าไม่ขยับไปไหน ขมวดคิ้วด้วยท่าทีหนักแน่นและจริงจังจ้องมองไปทางทิศนั้น
“ท่านชาย เวลานี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดีขอรับ?” เจี่ยงลิ่วขี่ม้าตัวใหญ่ตามขึ้นมาจากด้านหลัง มีท่าทีหนักอึ้งเช่นกัน “กลับวังบูรพา? หรือจะไปศาลาว่าการพระนครเพื่อสอบถามสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนดีกว่าขอรับ?”
“กลับวังบูรพา!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอย่างไม่ลังเล เมื่อสติกลับคืนมา ก็ฟาดแส้ม้าเดินไปยังด้านหน้า “กระจายคำสั่งออกไป ไม่อนุญาตให้ผู้ใดลงมือบุ่มบ่าม ไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามไปแทรกแซงคดีของกู้ฉางเฟิง”
“ท่านชาย แต่ว่าท่านหญิง นาง…” จูหยวนซานขี่ม้าขึ้นตามมาเช่นกัน ใบหน้าดูกังวลใจ
“ข้าพูดว่าหากไม่อนุญาตไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามบุ่มบ่ามลงมือ!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว น้ำเสียงเยียบเย็นทั้งยังแฝงด้วยความหนักแน่น “สวินหยางไปศาลาว่าการพระนคร พริบตาเดียวก็ถูกคนใช้ประโยชน์โยนความผิดมาให้เช่นนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นว่าเบื้องหลังของคนผู้นั้นมีความสามารถมากน้อยเพียงใด หากพวกจ้าไม่อยากให้นางได้รับโทษร้ายแรงกว่านี้ก็อยู่เงียบๆ ทำตามคำสั่งของข้า ไม่อนุญาตให้ใครยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งนั้น”
เวลานี้ หากมีใครเก็บอารมณ์ส่วนตัวของตนเองไม่อยู่วิ่งโร่ออกไปหาหลักฐาน แปดถึงเก้าส่วนต้องถูกดึงไปพัวพันเป็นแน่ จะกลายเป็นว่าพวกเขาระแวงผู้อื่นล่วงรู้ว่าทำความผิด เพื่อที่จะปกป้องฉู่สวินหยางให้พ้นโทษจึงลอบทำเช่นนี้
“ขอรับ บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ!” จูหยวนซานและคนอื่นๆ ล้วนทราบดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกความคิดเห็นอีก ตามฉู่ฉีเฟิงกลับวังบูรพาไป
“ท่านชาย ท่านกลับมาแล้ว!” ประตูจวนของวังบูรพาเปิดออก เจิงจีที่เฝ้าประตูจวนด้วยตนเอง เมื่อพบว่าเขากลับมาเพียงผู้เดียวก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ “ท่านหญิงถูกพวกเขาพาตัวไปแล้วหรือขอรับ?”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า แทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าฮ่องเต้ออกคำสั่งนำตัวไป อย่างแรกคือจะต้องรีบพุ่งมายังวังบูรพาอย่างแน่นอน หลังจากสมปรารถนาแล้วครึ่งทางจึงค่อยไปสกัดกั้น
“ท่านพ่อคงทราบเรื่องแล้วใช่หรือไม่? เขาอยู่ที่ไหนกัน?” ฉู่ฉีเฟิงยื่นบังเหียนม้าให้เจี่ยงลิ่ว เท้าก็ก้าวเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว “ไปจัดเตรียมเสื้อผ้าและของว่าง สักพักข้าจะนำไปส่งให้สวินหยาง”
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วรับคำสั่ง
เจิงจีสั่งคนไปปิดประตูจวน เดินตามฉู่ฉีเฟิงไปยังด้านใน ทั้งกล่าวไปพลาง “องค์รัชทายาทยังอยู่ในห้องอ่านหนังสือ พูดว่า หากท่านชายกลับมาแล้วให้เข้าไปหาขอรับ ช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปีนี้ดวงตกหรือป่าว จึงมีเรื่องมีราวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้พูดอันใด รีบก้าวเดินไปยังเรือนซืออี้ห้องหนังสือของฉู่อี้อัน
เวลานี้ฉู่อี้อันกำลังพลิกอ่านคดีความต่างๆ หลังตั่งอ่านหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงเขาผลักประตูเข้ามาจึงเงยหน้ามอง
“ท่านพ่อ!” ฉู่ฉีเฟิงปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไป
“อืม!” ฉู่อี้อันวางพู่กัน ยกมือนวดเหนือหว่างคิ้ว ผลักกองคดีที่มือไปด้านหน้าเขา “คดีความของน้องสาวเจ้า ฝ่าบาทถ่ายโอนอำนาจศาลต้าหลี่ให้เหยาก่วงไท่รับผิดชอบหมดแล้ว นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆ ที่ข้าให้คนเก็บรวบรวมมา เจ้าลองอ่านดู”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง นั่งลงบนตั่งด้านข้าง ขมวดคิ้วกวาดตาอ่านเนื้อหาของกระดาษปึกใหญ่อย่างละเอียดไปหนึ่งครั้ง
“หลังจากเข้าสู่ยามค่ำคืนกู้ฉางเฟิงที่หมกตัวอยู่ด้านหลังศาลาว่าการพระนครก็ถูกลอบสังหารตายคาที่ ผู้ลงมือนั้นถูกสังหารไปแล้ว กล่าวว่าเป็นชิงหลัว” ฉู่อี้อันกล่าว “ส่วนศพนั้นถูกคนของศาลต้าหลี่นำไปแล้ว เจิงจีช้าเกินไป จึงไม่ทันได้เห็น”
ตอนที่ได้ยินชื่อของชิงหลัว ในใจของฉู่ฉีเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านออกมา…
พวกเขาแทบจะค้นหาทั่วทั้งเมืองหลวงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังหาเบาะแสของชิงหลัวไม่พบ แม้จะกล่าวว่าชิงหลัวลอบสังหารกู้ฉางเฟิงอย่างไรก็ไม่มีน้ำหนักที่เพียงพอ ทว่าที่เห็นได้ชัดคือมีคนแอบใช้โอกาสจากเรื่องที่ชิงหลัวหายตัวไป อย่างไรพวกเขาก็ยังคงหาชิงหลัวไม่พบ คงไม่ใช่ว่าชิงหลัวถูกหลอกใช้ ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นแล้วจริงๆ?
หากอีกฝ่ายมีศพของชิงหลัวมาเป็นหลักฐาน เช่นนั้นเรื่องราวก็ยากขึ้นมาแล้ว
“แล้วความเห็นของฝ่าบาท? เขาก็คิดว่าสวินหยางเป็นคนทำเช่นนั้นหรือ?” ฉู่ฉีเฟิงถามอย่างพินิจ
“พอรู้ข่าวเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ข้าไปขอเข้าเฝ้าก็ถูกเขาปฏิเสธจึงต้องกลับมา” ฉู่อี้อันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก สีหน้านั้นไม่พบความเศร้าใจใดใด แต่กลับเป็นความผิดหวังที่เห็นได้ชัด “เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่ห้ามข้าเข้าร่วมการพิจารณาคดีนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่หากว่าข้ายืนหยัดจะแทรกแซง เขาจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน จะมีโทษมากกว่าดีต่อสถานการณ์ของน้องสาวเจ้า”
ในขณะที่ฉู่อี้อันพูดอยู่ก็เปลี่ยนประเด็นไปอีกเรื่อง “น้องเจ้าทางนั้นว่าอย่างไรบ้าง?”
“นางไปศาลาว่าการพระนครมาครั้งหนึ่ง เกิดขัดแย้งกับกู้ฉางเฟิง คาดว่าคงจะถูกคนที่เพ่งเล็งโอกาสนี้อยู่เล่นงานเข้าแล้ว”
ฉู่สวินหยางไม่ว่าจะทำเรื่องอันใดแต่ไหนแต่ไรก็ทำด้วยความพอดี แม้ว่านางจะปิดประตูทำให้กู้ฉางเฟิงกลัวจนฉี่ราดอย่างไรก็ไม่อาจเหลือจุดอ่อนไว้ให้ผู้อื่นใช้เล่นงานได้
ฉู่อี้อันเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็เคาะนิ้วลงบนตั่งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ “เดี๋ยวสักพักเจ้าจะไปคุกหลวงหรือ?”
“อืม สวินหยางไปอย่างเร่งด่วน ข้าจะเอาพวกเสื้อผ้าไปส่งให้นาง ทั้งยังถือโอกาสพูดคุยเรื่องด้านนอกกับนางสักสองสามประโยค ให้นางได้มีเวลาไตร่ตรองล่วงหน้าเสียก่อน” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว เหลือบมองไปทางฉู่อี้อัน “ท่านพ่อมีเรื่องอันใดจะกำชับกับนางหรือไม่?”
“ไม่มี” ฉู่อี้อันส่ายหน้า จากนั้นก็หยิบพู่กันเขียนชื่อหนึ่งลงบนกระดาษแล้วจึงผลักไปด้านหน้าเขา “คดีครั้งนี้เจ้าไม่ต้องสอดมือยุ่ง ให้น้องของเจ้าดึงเวลาเอาไว้ ส่วนเจ้าเมื่อไปหานางแล้วก็ไปตามหาคนผู้นี้ซะ ควรจะทำอย่างไรในใจเจ้าคงจะรู้ดี!”
คดีความนี้ในเมื่อมีคนเล่นงานฉู่สวินหยางเพื่อพุ่งเป้ามาทางวังบูรพา เช่นนั้นคนทั้งหมดของวังบูรพาก็จำต้องตกอยู่ในแผนการ หากว่าพวกเขามีการเคลื่อนไหวใดใด ก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกอีกฝ่ายใช้ประโยชน์นั้นมาเล่นงานอีก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือคอยดูสถานการณ์และนิ่งเฉยเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น…ศพที่ถูกศาลต้าหลี่พาไป…” นี่เป็นส่วนที่น่ากังวลที่สุด ฉู่ฉีเฟิงยังคงยากที่จะวางใจ
“พวกเราในตอนนี้ไม่สามารถจะยุ่งได้!” ฉู่อี้อันกล่าวพลางลุกยืนขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าต่างบานหนึ่งก่อนจะผลักออก “เจ้าไปทำเรื่องที่พ่อสั่งให้เรียบร้อยก็พอแล้ว เพียงแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้แม้จะแตะนิดหน่อยก็ไม่ได้!”
ไม่ใช่แค่ว่าลอบวางแผนทำลายฉู่สวินหยางอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่กลัวว่าพวกเขาทั้งวังบูรพาในตอนนี้ ล้วนแต่เป็นเป้าในการตรวจสอบของฮ่องเต้ทั้งหมดแล้ว เรื่องราวภายนอกดูเหมือนจะเงียบสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะอยู่ในสถาน การณ์ที่พร้อมจะระเบิดปะทุออกมาได้ทุกเวลา
“ลูกเข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง เก็บกระดาษกองนั้นกลับไปวางบนตั่งเช่นเดิม “หากท่านพ่อไม่มีคำสั่งอันใดแล้ว เช่นนั้นลูกขอตัวไปจัดการเรื่องราวก่อน”
“ไปเถิด!” ฉู่อี้อันโบกมือเล็กน้อย
ฉู่ฉีเฟิงหมุนกายออกไปทางด้านนอก เดินไปเพียงสองก้าวก็หันกลับมา มองฉากเบื้องหลังที่เขายืนมือไขว่หลังหันไปนอกหน้าต่าง ท่าทีก็เปลี่ยนไปอย่างซับซ้อน ลังเลอยู่นานก็ยังคงเอ่ยปากออกไป “ท่านพ่อ แล้วเรื่องของพี่ใหญ่…”
หลังจากที่ฉู่ฉีฮุยเกิดเรื่อง ระหว่างพวกเขาพ่อลูกก็เหมือนกับเข้าใจจนเห็นพ้องตรงกันก็มิปาน เมื่ออยู่ต่อหน้ากันและกันต่างก็ไม่เอ่ยถึง ทว่าเวลานี้ล้วนชัดเจนขึ้นไปอีก…
เรื่องนี้ แม้ว่าจะสามารถหลบหลีกได้ทั้งชีวิต แต่ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเสี้ยนหนามในใจของกันและกัน
เพียงแต่…
ความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
หลังจากที่ฉู่ฉีฮุยตาย ท่าทีของฉู่อี้อันก็นิ่งสงบมาโดยตลอด คนส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่คิดว่าเขาทอดทิ้งไม่สนใจลูกคนนั้นของเขาแล้วจริงๆ แต่ทว่ามีเพียงฉู่ฉีเฟิงเท่านั้นที่มองเห็น ในตอนที่เขากล่าวถึงชื่อของผู้นั้น ร่างกายที่สูงใหญ่มั่นคงของเขาคล้ายกับยังมีความรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยยากที่จะมองเห็นปรากฏขึ้นมา
ฉู่อี้อันหันหน้ากลับมา ขมวดคิ้วเป็นปม ใบหน้ายังคงเผยท่าทีเคร่งขรึมและเย็นชา “นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องเข้าไปยุ่ง ในเมื่อผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีก ไปทำเรื่องของเจ้าเถอะ!”
ฉู่ฉีเฟิงเม้มปาก ลังเลไปสักครู่ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ขัดอะไรหมุนกายออกไป ออกมาจากประตูเรือน เจี่ยงลิ่วก็รออยู่ที่นั่นแล้ว “ท่านชาย เตรียมของเรียบร้อยแล้วขอรับ พวกเราจะไปตอนนี้เลยใช่หรือไม่?”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า เดินตรงไปทางประตูใหญ่ทันที
ที่นั่นมีรถม้าจอดเตรียมพร้อมไว้แล้ว ชิงเถิงเดินไปเดินมาด้วยความกระสับกระส่ายอยู่ที่ประตูใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็เร่งรีบเดินเข้ามา “ท่านชาย ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองนาง ออกคำสั่งด้วยเสียงราบเรียบ “เจ้าไม่จำเป็นจะต้องตามไป กลับไปรอที่เรือนจิ่นฮว่าเถอะ”
“ท่านหญิง?” ชิงเถิงอึ้งไป ดวงตาเบิกค้าง กล่าวอย่างร้องขอ “บ่าวอยากเจอท่านหญิงเจ้าค่ะ ท่านหญิงตั้งแต่เด็กจนโตก็ไม่เคยเจอกับความลำบากเช่นนี้…”
ชิงเถิงพูดไป ดวงตาก็แดงก่ำ รีบยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ด
“กลับไป!” ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่พูดมาก กล่าวด้วยเสียงดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนกายขึ้นไปบนหลังม้าหวดแส้นำคนกลุ่มนั้นออกไป
ชิงเถิงยังยืนอยู่ที่หน้าประตู มองจนคนกลุ่มนั้นห่างไกลออกไป น้ำตาที่กักเก็บไว้ก็เอ่อล้นไหลลงจากขอบตาอีกครั้ง
——————————————–