บทที่ 806 ลอบยิงอย่างเงียบงัน โดย Ink Stone_Fantasy
ตึกตึกตึก…
เสียงฝีเท้าหลายคู่เข้าใกล้ตึกชั้นที่ 29 อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายก่อนจะถึงดาดฟ้า ทว่าในวินาทีนี้ บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบกริบ ประตูเหล็กซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับดาดฟ้าถูกปิดแน่น กลุ่มคนที่ยืนอยู่ที่นี้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยหมดแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกนั้นรนหาที่ตายกันชัดๆ! ไม่คิดเลยว่าจะโง่วิ่งขึ้นมาบนดาดฟ้ากันเอง…คงไม่คิดจะโดดตึกหนีกันหรอกนะ? เจ้าแซ่หลิง พวกฉันจะยินดีมากถ้าแกเลือกจบชีวิตด้วยตัวเอง!” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจากด้านล่างดังสะท้อนขึ้นมาทางบันได ยิ่งทีมไล่ล่าใกล้ชั้นสุดท้ายขึ้นมาเรื่อยๆ เหล่าสมาชิกนิพพานต่างพากันเนื้อเต้นขึ้นมา
คนที่ตะโกนเป็นชายหนุ่มไว้ผมรองทรงสีแดงคนหนึ่ง เขาวิ่งตามหลังเจ้าเจ็ดที่เป็นผู้นำทีมไปติดๆ ในมือข้างที่ถือมีดตัดฟืนเริ่มมีเหงื่อซึมเล็กน้อย “แม่งเอ๊ย ไล่ตามจนเหนื่อยแทบตายมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็จับพวกนั้นได้ซักที! อย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้อีกเลย ในเมื่อรนหาที่ตายกันนัก ฉันจะเป็นคนสงเคราะห์ให้เอง!”
ถึงแม้เจ้าเจ็ดที่วิ่งนำอยู่หน้าสุดจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาเองก็จ้องทางเลี้ยวข้างหน้าอย่างจดจ่อ และสูดหายใจลึกอย่างไม่รู้ตัว ตอนที่ยังไล่ตามพวกหลิงม่อไม่ทัน บางครั้งเขาก็รู้สึกกังวลใจเหมือนกัน ถึงแม้ตัวเขาไม่เคยเจอหลิงม่อเอง และคนที่เคยเจอกับตัวก็ไม่กล้าเล่ารายละเอียดอะไรมาก แต่แค่ดูจากท่าทางระมัดระวังของเบื้องบน เขาก็พอรู้แล้วคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ
แต่ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หากไม่อยากออกไปเสี่ยงอันตรายข้างนอกในระยะยาว และอยากใช้ชีวิตอย่างมั่นคงหรูหรา ภารกิจครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว! ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่คิดอย่างนี้ แต่ทุกคนที่เข้าร่วมทีมไล่ล่าล้วนคิดเหมือนเขา ในสายตาพวกเขา พวกหลิงม่อไม่ใช่คนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นรางวัลมูลค่าสูงที่พวกเขาต้องนำกลับไปจากการต่อสู้ครั้งนี้ให้ได้!
เพราะเหตุนี้ หนุ่มผมแดงถึงได้ตื่นเต้นดีใจถึงขั้นนี้
“ฟังให้ดี ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย! พวกเรามีรางวัลชีวิตรออยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าต้องเสี่ยงอันตรายด้วยชีวิตถึงจะได้มันมา ตั้งสติให้ดี! หากใครเป็นตัวถ่วง จะต่อว่าที่พวกเราทิ้งคนคนนั้นไม่ได้!” เจ้าเจ็ดคำรามเสียงฮึกเหิม
ทุกคนตอบรับเสียงแข็งขัน ในขณะที่สีหน้ากลับเรียบเฉย พวกเขาเอาชีวิตรอดด้วยปลายดาบมาโดยตลอด เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องกำชับซ้ำก็รู้ดีแก่ใจ แค่ฆ่าคนไม่กี่คน จะยากกว่าฆ่าซอมบี้ซักแค่ไหนกันเชียว? ถ้าหากต้องสู้กันบนถนน คนพวกนี้อาจกังวลอยู่บ้าง แต่ในสถานที่อย่างนี้ เป็นที่ที่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายที่มีจำนวนคนมากกว่าได้เป็นอย่างดี!
แต่ในเสี้ยววินาทีที่เจ้าเจ็ดก้าวเท้าเหยียบขั้นบันไดตรงทางเลี้ยว จู่ๆ เขากลับชะงักเท้าทันที
“เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนจะมีบางอย่าง…”
อาศัยแสงสว่างอันน้อยนิด เขามองตรงตามแนวผนังขึ้นไป
ตัวเลข “28F” ที่ถูกทาด้วยสีเริ่มหลุดลอกและเลือนรางเต็มที แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือตัวหนังสือสีดำที่เพิ่งถูกเขียนขึ้นใหม่ข้างล่างตัวเลขนั่น
ดูจากลายมือ คนที่เขียนตัวหนังสือบรรทัดนี้คงกำลังรีบร้อน แต่ถึงอย่างนั้น ตัวหนังสือก็ถูกเขียนขึ้นด้วยขนาดที่ใหญ่ไม่น้อย ราวกับว่ากลัวพวกเขาจะมองไม่เห็นมัน
“ใครไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”
พอเจ้าเจ็ดอ่านประโยคนั้นจบ เสียงก่นด่าก็ดังสวนมาจากกลุ่มคนทันที “ไอ้เชี่ย ใกล้จะตายอยู่แล้วยังจะจองหองพองขนขนาดนี้อีก!ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม!”
“สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา! คิดจะทำให้พวกเราตกใจถอยกลับด้วยตัวหนังสือบรรทัดเดียวน่ะสิ!” มีคนพูดเสริม
“หึหึ อับจนหนทางแล้วสินะ” เสียงหัวเราะเย็นชาดังขึ้น
เจ้าเจ็ดกลับยกมือขึ้น แล้วบอกว่า “อย่าประมาทเกินไป มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากพวกนั้นไม่มีแผนการอะไร คงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์อย่างนี้…ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้ายแล้ว ถ้าหากพวกนั้นยังคิดจะขัดขืน ก็มีแค่ทางเดียวคือสู้สุดชีวิต…”
“แล้วพวกนั้นจะมาไม้ไหนได้อีก?” ชายหนุ่มผมยาวคนหนึ่งถามขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่รู้…แต่ระวังไว้ก่อนไม่มีอะไรเสียหาย…”
สิ้นเสียงพูดของเจ้าเจ็ด ทันใดนั้น เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านข้าง
“ตรงนี้มีคนเข้าไป!
คนที่ตะโกนคือหนุ่มแดงนั่นเอง ตอนนี้เขากำลังแนบแผ่นหลังชิดผนังข้างประตูห้องบันไดบานหนึ่ง และกำลังชะโงกศีรษะเข้าไปดูอย่างระมัดระวัง
พอเห็นเจ้าเจ็ดมองมา เขาก็รีบผลักประตูที่เปิดแง้มไว้ออกเบาๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่มือจับประตู และร่องรอยบนพื้น “ดูสิ รอยนิ้วมือใหม่ แถมยังมีคราบฝุ่นบนพื้นพวกนี้อีก มีคนเปิดประตูบานนี้” พูดไป เขาก็ทำท่าทางประกอบไปด้วย และร่องรอยที่เกิดตอนผลักประตูออก ก็ตรงกับเส้นโค้งบนคราบฝุ่นบนพื้นพอดี
“พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปบนดาดฟ้าหรอ?” เจ้าเจ็ดเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพลันก้าวออกมา เขาหลับตาแน่น แต่ก็ต้องสะบัดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ทันที “ใช้พลังไม่ได้เลย อีกฝ่ายปิดกั้นการสำรวจทางจิตของฉันไว้ ดูท่าคงจะเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเบาๆ ดังมาจากข้างหลังพวกเขา
หนุ่มผมแดงก้าวถอยไปหนึ่งก้าวทันที และท่ามกลางสายตาของทุกคน ประตูใหญ่บายนี้กลับเปิดออกช้าๆ พร้อมเสียง “แอ๊ดด…”
ขณะเดียวกันบนพื้นด้านหลังประตู ก็มีตัวหนังสือบรรทัดหนึ่งปรากฏขึ้น “ในเมื่ออยากตาย ก็เข้ามาเลยสิ”
ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้ทุกคนต่างพากันเงียบกริบ ขณะเดียวกันมันก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปที่ทางเดินด้านหลังประตูบานนี้…
เจ้าเจ็ดจ้องตัวหนังสือบรรทัดนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็เชื่อคำพูดของหนุ่มผมแดง “ดูเหมือน พวกนั้นจะถอยเข้าไปในอาคารชั้นนี้แล้ว…แต่ยังไงก็ต้องเผื่อเอาไว้ก่อน พวกเราให้คนขึ้นไปตรวจสอบดูก่อนไหม?”
พอเขาพูดอย่างนี้ กลุ่มคนก็แตกฮือขึ้นมา “แต่จะให้ขึ้นไปคนเดียวก็ไม่ได้…”
“หรือจะให้คนเฝ้าที่นี่ไว้ซักสองสามคนงั้นหรอ?”
“ไม่ได้! ต้องอยู่รวมกัน พวกเราถึงจะได้เปรียบเรื่องจำนวนคน” เจ้าเจ็ดขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่นานเขาก็พูดตัดบทคนเหล่านี้ว่า “สภาพแวดล้อมบนดาดฟ้าอาจไม่ได้โล่งแจ้งอย่างที่เราคิดก็ได้…แต่ที่นี่…” เขามองประตู แล้วบอกว่า “ข้างหลังนี้ต้องมีคนอยู่แน่ๆ พวกเขากำลังเชิญท่านลงโอ่ง…” (เชิญท่านลงโอ่ง หมายถึงการใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง นอกจากนี้ยังแฝงความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “ดาบนั้นคืนสนอง” อีกด้วย // ที่มา : MGR ONLINE)
“จะเข้าไปงั้นหรอ?” มีคนถาม
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เจ้าเจ็ดก็เดินเข้าไปใกล้จากด้านข้างประตู เขาล้วงไฟฉายขนาดพกพาขึ้นมาแล้วส่องเข้าไป ไม่นานก็หันมาบอกว่า “ทางเดินมีแค่เส้นเดียว แต่ดูมีเหมือนจะมีอยู่สองบริษัท จากจุดที่ฉันยืนอยู่เห็นประตูใหญ่สองบาน ประตูลิฟท์สี่บาน และอีกด้านหนึ่งน่าจะเป็นห้องน้ำ…”
“สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้ถือว่าซับซ้อนมาก” หนุ่มบอกแดงบอก
เจ้าเจ็ดพยักหน้า “ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้ธรรมดาด้วย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ข้างนอกเยอะ สรุปคือ ห้ามทิ้งข้อได้เปรียบของเราไปเด็ดขาด ทุกคนรอฟังคำสั่งเท่านั้น…ไป!”
เมื่อเขาโบกมือสั่ง คนเหล่านี้ก็ทยอยเดินเข้าไปช้าๆ แสงไฟฉายที่สาดส่องไปมาทำให้ทางเดินอันมืดมิดสว่างขึ้น บนแผ่นป้ายที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นฝุ่นยังมีรอยเลือดให้เห็นรางๆ ด้านนอกประตูลิฟท์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง มีโครงกระดูกสีขาวโผล่ออกมาข้างนอกครึ่งส่วน และมีวัตถุสีดำเข้มมากมายเติมร่องประตูจนเต็ม…
อาคารทั้งชั้นนอกจากเสียงฝีเท้าและลมหายใจอันแผ่วเบาของพวกเขา ก็แทบไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดอีก…แต่ทุกคนกลับรู้ดี ว่าภายใต้ความเงียบสงบเพียงเปลือกนอกนี้ กลับเต็มไปด้วยดินปืนที่รอเวลาระเบิด…
ทว่าหากดูจากภายนอกแล้ว อย่างน้อยคนกลุ่มนี้ก็ไม่กล้าปะทะกับพวกเขาซึ่งๆ หน้า…
“หรือพวกนั้นคิดว่าตัวเองอยู่ในที่ลับ แล้วจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ?” มีคนพูดขึ้นเสียงเบา
แต่ในตอนนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีปืนประบอกหนึ่งยื่นออกมาจากประตูลิฟท์
แทบจะในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่ปากปืนปรากฏ เสียงคนกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน
เจ้าเจ็ดตกใจ แต่เขาไม่มีเวลาหันไปสนใจผู้โชคร้ายที่ถูกยิง เขาหันขวับไปมองทางประตูลิฟท์ พร้อมกับยกปืนขึ้นเล็งทันที
ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ปากปืนถูกชักกลับเข้าไปในลิฟท์ บนทางเดินกลับมีหมอกควันประหลาดสีขาวโผล่ขึ้นมา และปกคลุมประตูลิฟท์จนมองไม่เห็นทันที
“โลกมายางั้นหรอ? ไม่มีประโยชน์หรอก!” เจ้าเจ็ดคำรามลั่น
สิ้นเสียงคำรามของเขา ทันใดนั้น หมอกควันประหลาดที่พวยพุ่งออกมาเรื่อยๆ พลันปรากฏช่องโหว่ขึ้นมาทันที
แต่เมื่อเขาพาทีมวิ่งไปยังประตูลิฟท์ด้วยความเร็ว ข้างในนั้นกลับไม่มีคนอยู่แล้ว…
“เร็วมาก…เร็วทั้งยิงปืน แล้วก็วิ่งหนีด้วย” เจ้าเจ็ดขมวดคิ้วแน่น “ดูเหมือนพวกนั้นจะใช้วิธีนี้กับเราไปเรื่อยๆ สินะ? ใช้โลกมายาเป็นเหมือนระเบิดควัน ช่างเป็นอุบายที่เจ้าเล่ห์ แต่พลังจิตของคนคนนั้นจะยืนหยัดไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว? แถมโจมตีสำเร็จหนึ่งครั้ง แล้วคิดว่าจะโจมตีสำเร็จทุกครั้งไปงั้นหรอ? หากใช้พลังจิตอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ สถานการณ์พวกเขาจะยิ่งเลวร้ายลง…”
“ที่สำคัญคือ ทำไมต้องเลือกชั้นนี้ด้วย? ชั้นถัดไปก็เป็นดาดฟ้าแล้ว ทันทีที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาก็จะไม่เหลือแม้กระทั่งพื้นที่ให้ขัดขืนได้อีกแล้วนะ…”
เจ้าเจ็ดครุ่นคิดในใจ ขณะเดียวกันก็หันกลับไปมองด้านหลังกลุ่มคน
สมาชิกทีมที่ถูกยิงล้มอยู่บนพื้นแล้ว ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ถูกยิงเขากลับเบี่ยงกายหลบได้ทันเวลา ดังนั้นจึงถูกยิงแค่ถากๆ เท่านั้น และคนที่ได้รับบาดเจ็บนี้ ก็เป็นหนุ่มผมแดงที่ก่อนหน้านี้พูดจาโอหังกว่าคนอื่นนั่นเอง…
ถึงแม้จะไม่ตายในทันที แต่ตอนนี้ทุกคนกลับรู้สึกได้ถึงเงามืดที่เข้าปกคลุมจิตใจอย่างเงียบๆ
“ลางไม่ดีซะแล้ว…”
—————————————————————————–