บทที่ 807 นี่แหละคือทางหนีของเรา โดย Ink Stone_Fantasy
ในหลายนาทีต่อมา ทีมไล่ล่าของเจ้าเจ็ดก็ถูกซุ่มโจมตีหลายต่อหลายครั้ง
ถึงแม้พวกเขาจะระมัดระวังอย่างดีแล้ว แต่วิธีการซุ่มโจมตีของพวกหลิงม่อกลับเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นอกจากการถูกโจมตีด้วยวัตถุแล้ว ก็ยังใช้พลังจิตโจมตีร่วมด้วยหลายครั้ง กอปรกับมีโลกมายาคอยเป็นกำบังอำพรางเป็นบางครั้ง การซุ่มโจมตีของอีกฝ่ายจึงมีประสิทธิภาพที่น่าทึ่งมาก และหลังจากถูกซุ่มโจมตีหลายครั้งติดกัน ในที่สุด ทีมไล่ล่าก็มีคนตายไปแล้วหนึ่งคน
ความจริงการล้มตายเพียงเล็กน้อยเท่านี้ไม่ถือเป็นผลกระทบร้ายแรงสำหรับพวกเขา แต่ถึงแม้การตายนี้จะไม่ได้ปลุกความตื่นกลัวของทุกคนขึ้นมา แต่กลับทำให้พวกเขาเริ่มลนลานขึ้นมาบ้างแล้ว เงามืดที่ปกคลุมจิตใจพวกเขาเมื่อกี้ ตอนนี้ได้กลายเป็นแรงกดดันอย่างหนึ่ง ทำให้พวกเขาหายใจติดขัดเพราะความอึดอัด
ทั้งที่เขียนข้อความโอหังขนาดนั้น แต่คำพูดกับการกระทำกลับไม่เหมือนกันเลยซักนิดนี่!
ทุกคนในนี้ที่นี่ล้วนบุกเข้ามาด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเลือดร้อนและกระหายการต่อสู้เต็มที่ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เจอกลับเป็นเพียงการโจมตีแบบสร้างความวุ่นวายเท่านั้น!
ปัญหาคือการใช้กลยุทธ์แบบนี้ในสถานที่ที่คับแคบอย่างนี้ มันมีประโยชน์อะไรกันแน่!
การดิ้นรนอันไร้ความหมายของเหยื่อรังแต่จะทำให้ผู้ล่ารู้สึกบ้าคลั่ง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจประมาทได้ สรุปก็คือ พวกเขาถูกถ่วงเวลาทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าลงนั่นเอง…
ในที่สุด หลังจากที่เจ้าเจ็ดหน้าเปลี่ยนสีไปมาอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเคลื่อนไหว
เขาสั่งให้คนสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าของสองบริษัท จากนั้นก็เริ่มทุบเคาน์เตอร์ต้อนรับของหนึ่งในสองบริษัทนั้น… “ตึงตัง ตึงตัง” เสียงสะท้อนดังก้องอยู่ในทางเดิน ขณะเดียวกัน เจ้าเจ็ดยืนจ้องห้องทำงานใหญ่มืดๆ ห้องหนึ่งอย่างไม่ละสายตา
“พวกนั้นทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมออกมาสู้ซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ทำให้คนของเราเริ่มลนลาน คิดจะถ่วงเวลางั้นหรอ? พวกเรามีเวลาเหลือเฟือพอให้ถ่วงอยู่แล้ว ในเมื่อพวกแกไม่ยอมออกมาเอง ถ้าอย่างนั้นพวกฉันจะคิดหาทาง บีบให้พวกแกออกมาเอง ฉันจะรอดู ว่าใครจะอดทนได้นานกว่ากัน…”
หลังจากผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว เจ้าเจ็ดกลับตัดสินใจได้อย่างนี้…
………..
“แค่ชั้นนี้ชั้นเดียว พวกเราจะสามารถจัดการพวกนั้นได้หมดหรอ?” ไม่กี่นาทีก่อน เหล่าเจิ้งถามขึ้นด้วยความสงสัย
คำถามนี้ หลิงม่อได้ตอบเขาไปว่า “นายคิดมากไปแล้ว…ข้อแรก การทำอย่างนั้นเป็นเรื่องยากเกินไป ข้อสอง เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่ก็ยังต้องแสดงละครว่ากำลังสู้ตายอยู่ อย่างน้อยก็ต้องทำให้พวกนั้นเข้าใจอย่างนี้ พอเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็จะเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความรอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกนั้นก็จะไตร่ตรองอย่างละเอียด แต่ในความเป็นจริงล่ะ? สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ก็คือการถ่วงเวลาเท่านั้น…ความแตกต่างระหว่างความทรงจำและความจริงจะทำให้พวกนั้นตัดสินใจผิดพลาด และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนถ่วงเวลา”
“ฟังดูเหมือนร้ายกาจมาก…” เหล่าเจิ้งชื่นชม
“ก็แค่ใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาของพวกเขาเล็กน้อย…แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาไม่มีทางยอมปล่อยให้รางวัลในมือหลุดลอยไปอย่างแน่นอน และในความคิดของพวกนั้น การที่พวกเราหนีเข้ามาในนี้ ก็เหมือนพวกเรากระโดดเข้ามาในกรงกับดักด้วยตัวเอง พวกนั้นเห็นเราเป็นแค่สัตว์ร้ายที่ต้องการดิ้นรนเอาตัวรอดในเฮือกสุดท้าย พวกนั้นไม่อยากเสียเวลากับเรา แต่ก็ไม่กล้าวิ่งเข้ามาไล่ล่าโดยตรง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดของพวกนั้นก็คือ ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของแต่ละคน และเลือกใช้วิธีที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่า แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในความคิดพวกเขา…”
จนกระทั่งตอนนี้ เหล่าเจิ้งจึงเพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่หลิงม่อบอกจริงๆ
เมื่อเสียงผ่าไม้ดังมากจากด้านนอก หลิงม่อที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ ห้องหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย ทว่าเขาไม่ได้มองไปทางประตู แต่กลับมองไปที่หน้าต่างแทน…
“ถ่วงเวลาก็ถ่วงไปแล้ว ต่อไปพวกเราจะทำยังไงต่อ? ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ช้าเร็วยังไงก็ต้องโผล่หน้าออกไปอยู่ดี” เหล่าเจิ้งถามอย่างร้อนรนเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั้นกันแน่ แต่แค่ฟังจากเสียงนี้ก็เดาได้ไม่ยากแล้ว และการที่หลิงม่อพาพวกเขามาซ่อนตัวที่นี่ ก็ไม่ค่อยเหมือนว่ามีทางหนีทีไล่อื่นอยู่อีก!
“รออีกเดี๋ยว” หลิงม่อกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ตึงตัง ตึงตัง…”
ท่ามกลางเสียงตึงตังที่ยังคงดังต่อเนื่องเรื่อยๆ เหล่าเจิ้งอดทนรออย่างทุกข์ทรมานไปอีกพักใหญ่…ในระหว่างนั้น ไม่ใช่แค่หลิงม่อคนเดียวที่ดูไม่สนใจอะไรเลย แม้แต่เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยซักนิด…พวกเธอถึงขนาดค้นห้องไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปรากฏว่ากลับเจอเหล้าแดงราคาแพงสองขวดเข้าโดยบังเอิญ
แต่ใครจะไปสนเหล้าแดงกันเล่า! อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะสำลักควันตายกันอยู่แล้วเนี่ย!
และในตอนที่เหล่าเจิ้งแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป จู่ๆ หลิงม่อที่เอาแต่จ้องหน้าต่างมาโดยตลอดก็ลุกขึ้นยืน
เมื่อเสียง “จุดไฟ” ดังมาจากข้างนอก หลิงม่อก็ผลักบานหน้าต่างให้เปิดออก
เขากระโดดขึ้นไปยืนบนขอบหน้าต่างก่อนเป็นคนแรก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองข้างบน
ไม่นาน ราวกับว่าข้างบนมีคนสัมผัสได้ จู่ๆ เชือกเส้นหนึ่งก็ถูกทิ้งลงมา
“เด็กโง่ มานี่” หลิงม่อคว้าเชือกไว้ แล้วหันกลับไปเรียก
เหล่าเจิ้งจ้องเชือกเส้นนั้นอย่างตกตะลึง บอกว่า “นี่คือทางหนีหรอ? แต่ถึงจะหนีขึ้นไปบนดาดฟ้า…”
แต่ในขณะที่เขากำลังพูด เย่เลี่ยนกลับคว้าเชือกแล้วปีนขึ้นไปอย่างง่ายดาย ผ่านไปไม่กี่วินาที หลี่ย่าหลินก็ปีนตามขึ้นไปอีกคน
“นายผูกตัวเองไว้กับเชือกแล้วกัน…” หลิงม่อมองพิจารณาเหล่าเจิ้ง แล้วพูดขึ้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าเจิ้งตะลึงคือ หลิงม่อไม่ต้องใช้เชือกเส้นนั้นเลย…เขาเพียงก้าวเท้าออกไปข้างนอกเบาๆ จากนั้นก็ “ลอยขึ้น” ไปข้างบนด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ…
“อย่ามองลงไปข้างล่างล่ะ” ขณะที่ลอยผ่านตัวเหล่าเจิ้ง หลิงม่อพูดเตือนเขาเล็กน้อย
แต่ในวินาทีถัดมา เสียงลั่นร้องหลงๆ ที่พยายามร้องออกมาให้เบาที่สุดของเหล่าเจิ้งก็ดังขึ้น…
เมื่อควันไฟเริ่มก่อตัวขึ้นในห้อง เหล่าทีมไล่ล่าของเจ้าเจ็ดกลับถอยออกไปอยู่ที่บันได
หลายคนในทีมยกปืนขึ้นเล็งไปที่ทางเดินเส้นนั้น สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอย
“ถ้าไม่อยากถูกเผาตาย หรือสำลักควันตาย สุดท้ายพวกนั้นก็ต้องออกมา ถ้าที่นี่เป็นตึกที่ไม่สูงมาก พวกนั้นอาจกระโดดลงไป แต่ตอนนี้พวกนั้นกลับหนีไปไหนไม่ได้แล้ว”
ฟังเสียงพูดคุยกันของสมาชิกทีม เจ้าเจ็ดกลับเงยหน้ามองไปทางประตูเหล็กบนดาดฟ้า ทว่าหลังจากมองแค่ครู่เดียว เขาก็ละสายตาออกไป “ขอแค่เฝ้าอยู่ตรงนี้ ถึงบนดาดฟ้าจะมีคนอยู่ ยังไงก็ต้องลงมาอยู่ดี ทันทีที่เปิดประตู พวกเขาก็จะถูกกระสุนสาดใส่ทันที สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน…”
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียง “พึ่บๆๆๆ” ดังขึ้น
เริ่มแรก เสียงนี้ยังดัง “หึ่งๆ” เหมือนแมลงวัน แต่ไม่นานมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้าย สมาชิกทีมไล่ล่าต่างพากันช็อกค้างไปตามๆ กัน
สมาชิกทีมหนึ่งในกลุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตะลึง จากนั้นก็หันไปมองหน้าต่างบานเล็กๆ ที่อยู่ตรงทางเลี้ยวบันได “เสียงนี้มัน…ทำไมเหมือนเสียงเครื่องบินเลยล่ะ?”
“คงไม่ใช่เครื่องบินหรอกมั้ง? ตอนนี้ยังมีเครื่องบินอยู่ที่ไหน…” มีเสียงคนคัดค้านขึ้นมา แต่จู่ๆ เขากลับพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “เดี๋ยวก่อน…ในข้อมูลที่เคยอ่านผ่านตา เหมือนจะเคยพูดถึงกองทัพอากาศอะไรซักอย่าง…”
“แต่พวกนั้นจะมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง?” ยังมีคนพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
แต่ในใจของหลายๆ คนในเวลานี้ กลับเริ่มมีเค้าลางร้ายปรากฏขึ้นมารางๆ แล้ว…
และในตอนนี้เองที่มีคนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเจ้าเจ็ดเปลี่ยนไป!
สีหน้าของเขาดูดันและเย็นชาขึ้นหลายเท่า เขากำหมัดแน่น “ถูกหลอกเข้าแล้ว! ไป ตามขึ้นไป!”
สิ้นเสียงสั่ง เขาก็หันกายออกวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
“โครม!”
หลังจากที่เขาถีบประตูเหล็กบานนั้นเต็มแรง ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม แถมยังดูไม่ค่อยแข็งแรงบานนี้กลับทนรับไว้ได้ โดยไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย
พอเห็นอย่านั้น สีหน้าของเจ้าเจ็ดก็ยิ่งเกรี้ยวกราดกว่าเดิม เขาเบี่ยงกายหลบออกไปด้านข้าง และตะโกนสั่ง “ยิงเดี๋ยวนี้! ต้องมีคนยันประตูอยู่แน่นอน ยิงให้เละทั้งคนทั้งประตู!”
หนึ่งนาทีต่อมา เมื่อประตูเหล็กถูกยิงจนแทบจะพรุนไปทั้งบาน ในที่สุดประตูบานนี้ก็สั่นคลอน
เจ้าเจ็ดยังไม่ทันได้ยกเท้าถีบประตู แต่ทันใดนั้นประตูเหล็กกลับลอยพุ่งกลับมาทางเขาดัง “เคร้งคร้าง”
ในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว เจ้าเจ็ดถูกประจูเหล็กกระแทกร่างเต็มๆ จนต้องถอยกรูดไปหลายก้าวติดกัน เลือดอุ่นๆ ไหลออกมาจากรูจมูกเขาเป็นทาง ขณะเดียวกันก็รูสึกมึนไปทั้งหัว
เขาไม่มีเวลาเช็ดเลือดกำเดา กลับรีบตะโกนสั่งให้เปิดประตูเสียงเกรี้ยวกราด แล้วมองขึ้นไปบนดาดฟ้าทันที
ด้านหลังสิ่งกีดขวางมากมายกองพะเนิน เขาเห็นภาพที่เกือบจะทำให้เขากระอักเลือดออกมาทั้งเป็น
เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ และหลังประตูเครื่องที่ยังไม่ได้ปิด เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาทางเขาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ยิงให้ร่วงเดี๋ยวนี้!”
เจ้าเจ็ดยกปืนพกขึ้นเล็งพร้อมตะโกนสั่งเสียงแข็ง แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นปากปืนกระบอกหนึ่งยื่นออกมาจากตัวเครื่องเฮลิคอปเตอร์
เมื่อเปลวไฟจากปากปืนสว่าง เสียงยิง “ตึงๆๆๆ” ก็ดังขึ้นทันที…
และท่ามกลางเสียงลั่นไกปืนผสมเสียงเครื่องยนต์คำรามก้อง เจ้าเจ็ดที่กำลังรีบร้อนยกมือขึ้นกุมศีรษะหลบลูกกระสุนให้วุ่นก็ยังได้ยินเสียงรางๆ ดังมาว่า “ไว้พบกันใหม่น้าา…”
ชิท! ใครจะไปอยากพบกันใหม่กับแกอีก!
—————————————————————————–