ตอนที่ 166 ลืมตาอ้าปาก

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 166 ลืมตาอ้าปาก

เว่ยซื่อสังเกตสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่ง พอเห็นแววตาอ้างว้างของอีกฝ่าย นางก็เข้าใจทันทีว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดอันใดอยู่จึงกล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดก็รู้ว่าท่านแม่กลับเรือนบรรพบุรุษเพราะหวังดีต่อจวนโหว แล้วท่านจักตำหนิตนเองด้วยเหตุใดเจ้าคะ ? ถ้าในตอนนั้นท่านมิกลับเรือนบรรพบุรุษ จวนโหวในทุกวันนี้จักเป็นเยี่ยงไรก็หารู้ได้เจ้าค่ะ”

ในตอนที่นางรับใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่อันก็เคยได้ยินเรื่องของฮูหยินผู้เฒ่ามิน้อย ในเวลานี้จึงรู้ดีว่าควรปลอบใจเยี่ยงไร

ฮูหยินผู้เฒ่าจิบชาฟังเว่ยซื่อ ดวงตาก็ไปหยุดอยู่ที่มือขาวสะอาดของอีกฝ่ายและทันใดนั้นเองก็มีความคิดบางอย่างปรากฎขึ้น

ในเมื่อหลี่ซื่อสามารถดูแลจวนโหวได้ เยี่ยงนั้นเว่ยซื่อที่มีคุณสมบัติมากกว่าย่อมดูแลจวนโหวได้เช่นกัน

ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเคลื่อนไปอยู่ที่ถ้วยชาสีเขียว ไอร้อนที่ลอยขึ้นทำให้แววตาเป็นประกายของนางขุ่นมัว

“ได้ยินว่าตอนสะใภ้ใหญ่อันยังชีวิตอยู่ เจ้าเคยช่วยนางดูแลจวนใช่หรือไม่ ? ”

 เว่ยซื่อตกตะลึงในคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า มิรู้ว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา

แต่นางก็ตอบตามความจริง “เรียนท่านแม่ ตอนนั้นฮูหยินใหญ่อันเป็นผู้ดูแลเรื่องทุกอย่างในจวนโหว ข้าเป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินจึงได้ทำบางเรื่องอยู่บ้างเจ้าค่ะ”

หรือจักบอกว่านางเองก็เคยดูแลจวนโหวมาบ้างนั่นเอง

ฮูหยินผู้เฒ่าขานรับ  “อืม เยี่ยงนั้นเจ้าก็เคยช่วยสะใภ้ใหญ่อันดูแลจวนโหวมาก่อนใช่หรือไม่ ? ”

เว่ยซื่อก้มหน้าท่าทางค่อนข้างเขินอาย “ในเวลานั้นฮูหยินใหญ่ให้พวกเราทำอันใด พวกเราก็ทำเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ แต่มิได้ทำเรื่องเฉพาะเจาะจงอันใดเจ้าค่ะ”

การบอกว่ามิได้ทำเรื่องเฉพาะเจาะจง หมายถึงได้ทำงานทุกอย่างในจวน

ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจยิ่งนัก ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลจวนโหวร่วมกับหลี่ซื่อ เจ้าจักยอมทำหรือไม่ ? ”

“ข้าโง่เขลา เกรงว่ารับภาระหนักเยี่ยงนี้มิได้เจ้าค่ะ” เว่ยซื่อรีบส่ายหน้า

ฮูหยินผู้เฒ่ามองนาง หลังจากนั้นคำที่เอ่ยออกมาก็มีน้ำเสียงโน้มน้าวและออกคำสั่งในคราเดียวกัน “หลี่ซื่อสร้างปัญหาให้จวนโหว ถ้าให้นางดูแลจวนต่อ ข้าย่อมมิวางใจ อีกทั้งสะใภ้หวังก็กำลังตั้งครรภ์จึงทำงานหนักมิได้ พอลองคิดแล้วก็มีเพียงเจ้าที่เหมาะดูแลจวนได้ดีที่สุดในเวลานี้ เช่นนั้นหลี่ซื่อจักอยู่มิสุขและก่อปัญหามิเว้นวันอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเว่ยซื่อยังปฏิเสธอีกก็ถือว่ามิรู้จักดีชั่วแล้ว

นางจึงฝืนพยักหน้ารับ พอเห็นเยี่ยงนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ฉีกยิ้มด้วยความดีใจ “เจ้าออกไปเตรียมตัวเริ่มทำงาน ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้า หลี่ซื่อและสะใภ้หวังจักช่วยกันดูแลจวน”

“เจ้าค่ะ ข้าจักมิทำให้ท่านแม่ผิดหวัง” เว่ยซื่อคำนับฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็ถอยออกไป

จนกระทั่งเดินออกมาจากเรือนชิงเฟิง เว่ยซื่อก็ยังมิอยากเชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าจักกล้ามอบอำนาจดูแลจวนให้นางง่ายถึงเพียงนี้

แม้จวนแห่งนี้มีหลี่ซื่อและหวังซื่อคอยดูแล แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิเชื่อใจหลี่ซื่อแล้ว ส่วนหวังซื่อกำลังตั้งครรภ์อยู่ ท้ายที่สุดงานกว่าครึ่งของจวนก็จักอยู่ในมือนาง

ในขณะที่นางครุ่นคิดก็เดินข้ามประตูเรือนชิงเฟิงแล้ว ทว่าสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีร่างของคนอยู่สองคน นั่นก็คือหลี่ซื่อกับเจียวโมโม่

หลี่ซื่อกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เพียงโดนแสงแดดสาดส่องใบหน้าจึงค่อนข้างแดง ส่วนเจียวโมโม่ยืนหลบร้อนอยู่ด้านข้างและจิบชาอย่างมีความสุข

เว่ยซื่อเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มตัวลงแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินรองยังคุกเข่าอยู่ที่นี่อยู่อีกหรือ อากาศร้อนเพียงนี้ก็ระวังสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”

เว่ยซื่อเผยใบหน้าใจดีมีเมตตา การฉีกยิ้มให้หลี่ซื่อในเวลานี้จึงเต็มไปด้วยความห่วงใย

ทว่าเมื่อครู่นางเป็นคนช่วยอันหลิงเกอเยี่ยงไร หลี่ซื่อยังจำได้ขึ้นใจ

“แม้ข้ารับผิดคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ทว่าต้องมีสักวันที่ได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง มิเหมือนเจ้าที่ตามเอาใจผู้อื่นเยี่ยงสุนัขเพื่อรักษาชีวิต ช่างน่าสมเพชเสียจริง”

หลี่ซื่อกล่าวประชดว่าอีกฝ่ายเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำให้มีชีวิตรอดอยู่ได้

เว่ยซื่อมิได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดเพราะเดิมทีตัวนางก็เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง มิมีชาติตระกูลหรือเบื้องหลังเหมือนผู้อื่น หากมิประจบฮูหยินผู้เฒ่า แล้ววันนี้จักมีโอกาสมายืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ซื่อได้เยี่ยงไร ?

เมื่อก่อนนางได้แต่สังเกตสีหน้าหลี่ซื่อก่อนทำอันใด นางมิกล้าอวดดีแม้แต่น้อยเพราะกลัวทำให้อีกฝ่ายโมโหแล้วทำให้ตนเดือดร้อนได้

ทว่าตอนนี้นางเป็นฝ่ายยืน ส่วนหลี่ซื่อคุกเข่าอยู่ที่พื้น นี่ก็คือสัญญาณของลมเปลี่ยนทิศ

เวลานี้เว่ยซื่อรู้สึกว่าความอัปยศในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มลายหายไปจนหมด รู้สึกสบายไปทั้งกายใจ

ทำให้แววตาของนางเจือไปด้วยรอยยิ้ม แต่คำกล่าวกลับทำให้หลี่ซื่อรู้สึกหนาวเหน็บทั้งที่เป็นฤดูร้อน

“กล่าวถึงเรื่องนี้ข้าก็นึกขึ้นได้พอดี ฮูหยินรองทำงานหนักเพื่อจวนโหวมาหลายปี ลำบากท่านแล้วจริง ๆ ท่านแม่จึงเห็นใจในความลำบากของท่านและสั่งให้ข้ามาช่วยท่านและนายหญิงรองดูแลจวน”

“เป็นไปมิได้ ! ” หลี่ซื่อกรีดร้องออกมา เสียงแหลมจนดึงดูดให้เจียวโมโม่เดินมาดู

นางจ้องเว่ยซื่ออย่างดุดัน “ข้าเป็นผู้ดูแลจวนโหวมาโดยตลอด แล้วท่านแม่จักให้เจ้ายื่นมือมายุ่งงานในจวนได้เยี่ยงไร ? ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยซื่อก็ยิ่งกว้างและดูอ่อนโยนกว่าเดิม ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสุข

“ถ้าฮูหยินรองมิเชื่อ ท่านก็สามารถไปถามท่านแม่ได้เจ้าค่ะ ส่วนข้าขอตัวกลับเรือนไปพักก่อน ท่านเองก็คุกเข่าอยู่ที่นี่ต่อเถิด เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านแม่กล่าวว่าเห็นท่านยอมรับผิดอย่างจริงใจจึงอนุญาตให้คุกเข่าจนถึงเย็นแล้วจักปล่อยให้เรื่องวันนี้ผ่านไปเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อได้ฟังก็โกรธจนปากสั่น มือที่ขนาบข้างกายกำแน่นกว่าเดิมจนเล็บแทงทะลุเข้าไปในมือ ดวงตาก็แดงก่ำ

เดิมทีนางสามารถแกล้งหมดสติแล้วให้คนไปส่งที่เรือนได้ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเยี่ยงนั้นแล้ว นางจึงต้องคุกเข่าอีกสองถึงสามชั่วยาม มิเช่นนั้นก็จักถูกกล่าวหาว่ามิจริงใจและมิได้รู้สึกสำนึกผิดอย่างแท้จริง

วันนี้นางโดนฮูหยินผู้เฒ่าสั่งตบปากและยังต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่กว่าครึ่งค่อนวัน หากฮูหยินผู้เฒ่าให้เว่ยซื่อยึดอำนาจดูแลจวนไปจากมือนางอีกก็คงโหดร้ายเกินไปแล้ว

นี่เป็นการตบหน้านางก่อน หลังจากนั้นค่อยยึดอำนาจเพื่อให้นางกลายเป็นเสือไร้เล็บ !

เจียวโมโม่ทำท่ายืดเส้นสายใต้ร่มไม้ เมื่อเห็นเว่ยซื่อกล่าวกับหลี่ซื่อจบแล้ว นางก็เดินเข้ามา

นางคำนับเว่ยซื่อพร้อมรอยยิ้ม “อนุเว่ยวางใจเถิดเจ้าค่ะ ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่งเยี่ยงนั้นแล้ว บ่าวจักเฝ้าฮูหยินรองอย่างดี เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว บ่าวจักให้คนไปส่งฮูหยินรองกลับเรือนเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นเว่ยซื่อก็เดินจากไป ส่วนหลี่ซื่อที่มิพอใจแต่ก็ต้องคุกเข่าอยู่บนพื้น แววตาเคียดแค้นจ้องมองไปยังทิศทางที่เว่ยซื่อจากไปโดยมิมีใครทราบว่านางกำลังคิดอันใดอยู่

กระทั่งเวลาผ่านมาถึงช่วงค่ำ หลี่ซื่อจึงได้กลับเรือนของตน

หลังจากนั้นนางก็เรียกเถ่าหงเข้ามาพบ เมื่อกระซิบคำสั่งข้างหูครู่หนึ่ง ร่างกายของหลี่ซื่อก็ค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้น

“ฮูหยินรองเป็นอันใดเจ้าคะ เหตุใดจึงหมดสติเยี่ยงนี้ ? ”

เถ่าหงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งกับสาวใช้กวาดพื้นเรือน “รีบไปตามนายท่านมาเร็วเข้า”